ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 492 ความลับยิ่งใหญ่ที่อาจถูกฆ่าปิดปาก
ยามนี้ ซื่อมั่วกับจีเฉวียนทั้งสองคนต่างก็นั่งอยู่บนโซฟาคนละด้าน
พอภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นมา สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เคร่งขรึมลง ท่านอาจารย์ยังคงรักษาสีหน้าเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าแววตากลับขุ่นข้นขึ้นมา
ทั้งสองลงมือพร้อมกัน ทำเอาทีวีเครื่องใหญ่ของนางเครื่องนั้นพังเป็นชิ้นๆ
“ซืด ซ่า ซ่า ….” เสียงไฟฟ้าช๊อตดังออกมาจากกระจกที่แตกร้าวและหล่นลงไปบนพื้น
ตู๋กูซิงหลันได้แต่ร้องด่าอยู่ในใจ นางมองดูผิวกระจกด้านหน้าที่แตกร้าว ในใจก็คิดว่าน่าจะเสียหายไปสักหนึ่งล้าน
เครื่องเรือนเครื่องใช้ในบ้านของนาง ทุกชิ้นล้วนเป็นของคุณภาพระดับโลกที่ผลิตมาอย่างจำกัด แค่แตกหักเสียหายไปสักชิ้น ก็ทำเอาหัวใจเลือดไหลซิบๆแล้ว
“อาจารย์….” นางรีบดื่มน้ำค้างจากภูเขาหิมะในชามลงกระเพาะไป ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความปวดร้าว
“เสี่ยวเฉวียนเฉวียนไม่รู้เรื่องอะไรถึงได้ลงมือวุ่นวาย แต่ทำไมผู้ใหญ่อย่างท่านถึงได้เป็นไปด้วย…”
ตู๋กูซิงหลันอยากจะย้ำให้เขาฟังอีกสักประโยคว่า ว่าท่านผู้เฒ่าลืมไปแล้วหรือไร ….ว่าตอนนี้นางยากจนขนาดไหน สมบัติใกล้จะถึงขั้นติดลบแล้ว!
เร็วๆนี้ยังต้องจ่ายเงินเดือนให้กับเสินฟางอีกไม่ใช่หรือ
“เขาก็ใกล้จะสามสิบแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ” ซื่อมั่วที่นั่งอยู่บนโซฟา ทำท่าเหมือนไม่ได้เห็นจีเฉวียนอยู่ในสายตา “ศิษย์น้อยจะเรียกเขาว่าอย่างไรก็เรียกไปเถอะ แต่อย่าได้เรียกเขาเป็นเด็กเล็กๆ”
วิญญาณทมิฬ ‘ท่านอาจารย์….ท่านกำลังอิจฉาที่หลันหลันเรียกฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นอย่างสนิทสนมเกินไปใช่หรือเปล่า’
จะต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน!
ทันทีที่ซื่อมั่วพูดจบ ก็ได้ยินจีเฉวียนที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกด้านหนึ่งเอ่ยปากขึ้นมาทันที
“ได้ยินมาว่าท่านคงอยู่ในโลกหล้ามานานจนไม่รู้ว่ากี่ปีมาแล้ว หากเปรียบเทียบกับท่านแล้ว เราย่อมเป็นผู้เยาว์ที่อายุน้อยจริงๆ” จากนั้นพระองค์ก็ยังย้ำเตือนซื่อมั่วอย่างไม่กลัวตายไปอีกประโยคว่า “ที่ซิงซิงเรียกเราว่าเสี่ยวเฉวียนเฉวียน ก็ไม่ถือว่าเกินเลย”
ซื่อมั่ว “…..” หากมิใช่เพราะศิษย์รักของร้องเอาไว้ว่าไม่อาจให้เขาตาย เขาจะต้องทุบเจ้าร่างแบ่งภาคผู้นี้ให้แหลกเป็นผุยผงเสียเดี๋ยวนี้
ซื่อมั่วได้แต่รักษาสีหน้าที่เคร่งขรึมเย็นชาเอาไว้ ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ยังเป็นคนที่เก็บงำอารมณ์อย่างมิดชิดอยู่เสมอ
แม้แต่สถานการณ์ในยามนี้ ก็ยังยากที่จะได้เห็นเขาเปิดเผยอารมณ์ใดๆออกมา
บางที…..ที่จีเฉวียนเป็นคนที่ไม่รู้จักยินดียินร้ายอยู่เสมอก็คงจะเป็นเพราะได้รับอุปนิสัยส่วนนี้มาจากเขาเช่นกัน
ซื่อมั่วไม่สนใจจีเฉวียน ครู่ต่อมาก็ทุ่มความสนใจทั้งหมดมาไว้ที่ตู๋กูซิงหลัน “ได้ยินมาว่าเจ้ารับละครเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่ง กินอาหารเช้าเสร็จแล้ว อาจารย์จะส่งเจ้าไปที่กองถ่าย”
ซื่อมั่วจงใจยกหัวข้อนี้ขึ้นมา เขาย่อมไม่ต้องการเห็นคนทั้งสองใกล้ชิดสนิทสนมกันต่อหน้าตนเอง
ตู๋กูซิงหลันดื่มน้ำค้างบนยอดภูเขาหิมะลงไปแล้ว สีหน้าที่เดิมก็ซีดขาว ก็ค่อยคืนสู่ความสดใสเยาว์วัยเช่นสาวน้อยอีกครั้ง
ต่อให้ยังไม่ได้ล้างหน้า แต่ว่าผิวพรรณก็เปลี่ยนเป็นกระจ่างขึ้นมา
น้ำค้างยอดเขาหิมะ ถือเป็นสิ่งยอดปรารถนาที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งหลายต้องการเพื่อรักษาความงาม ได้ดื่มลงไปอึกหนึ่ง ผิวพรรณก็จะขาวกระจ่างและนุ่มนวล เปล่งประกายจากภายใน
หากดื่มเข้าไปหลายๆครั้งเข้า ก็จะมีผลชะลอวัย
ทุกสิ่งที่อาจารย์มอบให้นาง ล้วนมอบให้ด้วยความตั้งใจ
“ข้าไปเองได้เจ้าค่ะ” นางวางชามในมือลง สบตากับซื่อมั่วอย่างระมัดระวัง
หากให้ท่านอาจารย์ไปส่งนางละก็ ….จีเฉวียนก็จะต้องยืนยันจะตามไปด้วยให้ได้อย่างแน่นอน มีคนทั้งสองอยู่ข้างกายพร้อมๆกันเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม
“อาจารย์บอกว่าจะไปส่ง ก็คือจะไปส่ง” อาจารย์มิได้เปิดโอกาสให้นางได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย
“ยามนี้โลกปัจจุบันไม่ค่อยสงบ ที่ด้านนอกมีอันตรายมากมาย “ เขาว่าต่อไป “เจ้าเป็นสตรีออกไปข้างนอกเพียงลำพังอาจารย์ไม่อาจวางใจ”
น้ำเสียงนิ่งเรียบเด็ดขาด ไร้อารมณ์ เสมือนผู้ใหญ่ในบ้านที่มีอำนาจสั่งการ
“เราจะคอยคุ้มครองซิงซิงเอง ท่านมิจำเป็นต้องกังวลใจไป” ฮ่องเต้ย่อมไม่ทรงยอมนั่งอยู่เฉยๆ
เนื่องเพราะหากเปรียบเทียบกับโลกโบราณแล้ว โลกปัจจุบันใบนี้ยังสงบสุขกว่ามากนัก ต่อให้มีอันตรายก็ยังเทียบไม่ได้กับอันตรายในโลกโบราณ
ถึงแม้ว่าพระวรกายของพระองค์จะยังไม่ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ แต่ว่าแค่คุ้มครองอยู่ข้างกายนาง เท่านี้ก็นับว่าเกินพออยู่แล้ว
เห็นอยู่ว่า ทั้งสองกำลังแย่งชิงกัน ‘ปกป้อง’ อย่างเกินกว่าเหตุจนใกล้จะต่อสู้กันขึ้นมาแล้ว…..
ตู๋กูซิงหลันก็ตัดสินใจวางชามวางตะเกียบลง ให้ทั้งสองคนเดินทางไปด้วย
ถึงอย่างไรไม่ว่าคนไหนก็ทิ้งไม่ได้อยู่แล้ว
ตามที่Sherryได้โทรศัพท์ มาบอก พอรู้สถานที่ที่จะใช้ถ่ายทำ ตู๋กูซิงหลันก็ขับรถQQของนางไปในทันที
เพียงแต่เมื่อเทียบกับครั้งก่อนแล้ว บนรถเพิ่มคนขึ้นมาอีกผู้หนึ่ง
ท่านอาจารย์จะอย่างไรก็เป็นคนรู้จักความเหมาะสม จึงไม่ไปแย่งชิงที่นั่งข้างคนขับกับจีเฉวียน
เขานั่งอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง และเพราะแขนขายาว ศีรษะจึงเกือบจะชนกับหลังคารถอยู่แล้ว เขานั่งอยู่เพียงคนเดียวที่แถวหลังของรถQQก็ต้องถือว่าแน่นจนน่าอึดอัดแล้ว
คนสวมใส่ชุดแบบตะวันตกสีม่วง ทั้งยังไว้ทรงผมเสยไปด้านหลังจนหมด แต่ว่าบุคลิกของคนผู้นี้กลับสูงส่งเกินใดเปรียบ ราวกับเชื้อพระวงศ์ที่ถูกส่งไปเรียนหนังสือในต่างแดนอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนฮ่องเต้สุนัขก็เปลี่ยนเป็นใส่ชุดแบบตะวันตกที่ตู๋กูซิงหลันซื้อมาจากห้างสือไต้ในวันก่อน เป็นชุดสีน้ำเงินเข้มที่มีลวดลายพิเศษดูทันสมัย
เสื้อผ้าที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ พอสวมใส่ก็ดูเหมาะเจาะกับพระองค์อย่างยิ่ง
จีเฉวียนทรงมีรูปร่างที่ดีเยี่ยม ชุดแบบตะวันตกยิ่งขับเน้นรูปร่างของเขาให้สูงโปร่งดุจพู่กัน ราวกับนักรบสวรรค์ที่หลุดออกมาจากภาพวาด
รอบกายยังกำจายกลิ่นอายของคุณชายที่สูงศักดิ์และลึกลับออกมา
เพียงแต่ว่าเส้นผมที่ยาวมากนั้นออกจะจัดการได้ยากอยู่สักหน่อย แต่ก็ถูกตู๋กูซิงหลันใช้เวทย์บางอย่างปกปิดไว้ คนทั่วไปมองดู ก็จะเห็นเป็นทรงผมที่หนุ่มหน้าใสทั่วๆไปนิยมตัดกันเท่านั้น แต่ก็ยังเท่ห์สุดใจ
…….เหมาะสมกับฮ่องเต้สุนัขอย่างยิ่ง ทำให้คนดูอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมาก
ตลอดทางมานี้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นวาบอยู่ตลอดเวลา นางรู้สึกว่าถูกอาจารย์จับตาดูอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ตลอดเวลาจนขับรถอย่างยากลำบาก
ส่วนฮ่องเต้สุนัขเพราะพระนาสิกที่ไวเกินไปเป็นเหตุให้….เมารถอย่างแรง
พระองค์ไม่โปรดกลิ่นน้ำมันจากรถยนต์อย่างยิ่ง กลิ่นรุนแรงเสียดแทงจมูก
พระองค์ไม่ตรัสอะไรทั้งสิ้น เอาแต่ฝืนทนต่ออาการคลื่นไส้
ส่วนท่านอาจารย์เองก็ไม่พูดไม่จา ดูๆไปแล้วสีหน้าก็ไม่ค่อยดีเช่นกัน
วิญญาณทมิฬนั่งอยู่ข้างๆท่านอาจารย์ในมุมหนึ่งด้วยอาการตัวสั่นเทา จบกันแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะค้นพบความลับบางประการที่อาจจะถูกฆ่าปิดปากได้!
ท่านอาจารย์…..ดูท่าว่าจะเมารถ!
ที่จริงมีหลายครั้งแล้ว ที่มันเห็นลูกกระเดือกของซื่อมั่วขยับขึ้นลง….สุดท้ายก็ค่อยๆสงบนิ่งลงไป
เขายังเสแสร้งปิดบังได้แนบเนียนกว่าฮ่องเต้สุนัขเสียอีก!
ภายใต้ท่าทางภายนอกที่ดูสงบนิ่ง…..ที่จริงข้างในมวนท้องจนพลิกกลับเป็นท้องทะเลไปแล้ว
ปกติแล้วน้อยครั้งมากที่นางจะได้เห็นอาจารย์นั่งรถไปไหนมาไหน …..อาจารย์เคยขึ้นรถนางครั้งเดียวตอนที่นางได้ใบขับขี่ครั้งแรกเท่านั้น…..
ตอนนั้น…..นางขับรถไมบัค (Maybach รถแบรนด์เยอรมัน) วนรอบหุบเขาปีศาจ สีหน้าของอาจารย์ยามลงจากรถ…..ย่ำแย่กว่าที่นางเคยเห็นมาชั่วชีวิตเสียอีก
เขาไม่พูดไม่จาก็กลับไปที่เรือนของตนเองทันที หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยขึ้นรถที่นางขับอีกเลย
เป็นเช่นนี้มาตลอด……แล้วทำไมจู่ๆถึงได้กระโดดมาขึ้นรถนางอีก
…………………………
สถานที่ถ่ายทำเรื่อง 《พระสนมคลั่ง》ตั้งอยู่บนถนนวงแหวนเส้นที่สองนอกเมือง…..เมืองถ่ายทำภาพยนตร์เสวียนเฉิง
เสวียนเฉิงสร้างขึ้นเพื่อการถ่ายทำภาพยนตร์โดยเฉพาะ มีสิ่งก่อสร้างแบบโบราณมากมาย พอผ่านเข้าไปก็เป็นเหมือนอีกโลกหนึ่ง เมื่อผ่านตึกเล็กๆหลายหลังมองเข้าไปล้วนเป็นบ้านเรือนแบบโบราณ
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนนมีไม่น้อยที่สวมใส่ชุดยาวโบราณฮั่นฝู
เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่ต่างก็เริ่มนิยมกลับมาใส่ชุดฮั่นฝู …..เมื่ออยู่ในเมืองถ่ายทำภาพยนตร์เสวียนเฉิงการได้เห็นหนุ่มๆสาวๆมากมายใส่ชุดฮั่นฝูในแบบต่างๆจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป