ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 524 อย่างน้อยๆก็ต้องผ่านการทดสอบยอมรับเป็นนายเสียก่อน
- Home
- ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง
- ตอนที่ 524 อย่างน้อยๆก็ต้องผ่านการทดสอบยอมรับเป็นนายเสียก่อน
ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ ผลักไสความคิดไร้สาระเหล่านั้นออกไปจากสมอง
“เรื่องสำคัญในชีวิตของพี่ใหญ่ บิดามิต้องเป็นห่วงไป” ตู๋กูซิงหลันพูดไปพลาง ในสมองก็ปรากฏดวงหน้าขององค์หญิงใหญ่และหยวนเฟยขึ้นมา
หลังจากที่นางกลับมายังโลกโบราณแล้ว ก็กลับไปที่จวนตระกูลตู๋กูอยู่หลายครั้ง พอหยวนเฟยได้รับอิสระก็พาตัวเองย้ายไปอยู่ในจวนแล้ว
ส่วนองค์หญิงใหญ่ ทุกสามวันห้าวันเป็นต้องพาเสี่ยวซุ่นเอ๋อร์ไปเล่นในจวนตระกูลตู๋กู ดูท่าความเข้าใจผิดเรื่องการตายของราชบุตรเขยคงจะได้รับการคลี่คลายแล้วเป็นแน่ องค์หญิงใหญ่จีฉุนและพี่ชายคงจะจับมือคืนดีกันไปแล้ว
ตอนที่ยังเยาว์วัย พี่ใหญ่ก็เคยชอบจีฉุนมาก่อนด้วย….
เพียงแต่ว่าตอนนี้ดูๆแล้ว เสี่ยวหยวนเฟยที่โผงผางผู้นั้น ก็ใส่ใจพี่ใหญ่มากอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเรื่องนี้ไปๆมาๆจึงกลายเป็นรักสามเศร้าอันยุ่งเหยิงขึ้นมาเสียแล้ว
เรื่องที่ยุ่งเหยิงเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันไม่ได้บอกกับบิดา
“จะอย่างไรก็เป็นบุตรของตนเอง ย่อมต้องใส่ใจห่วงใยอยู่แล้ว” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะ เขานั่งอยู่ข้างตู๋กูซิงหลัน ยกมือขยับนิ้วเล็กน้อย “บิดาเคยลองทำนายทายทักดู….”
ตู๋กูซิงหลันคิดว่าจะได้ยินเขากล่าวอะไรออกมา แต่กลับเป็นว่าได้ยินเขาถอนหายใจยาวแท้ “บิดาเคยลองทำนายดูแล้ว กลับไม่ได้เรื่องอะไรทั้งสิ้น”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ถึงกับมิได้เปลี่ยนสีเลยสักนิด พอทิ้งความรู้สึกเคอะเขินเมื่อครู่ไปแล้ว ก็หันกลับมาถามตู๋กูซิงหลันต่อว่า “บุตรสาวสุดที่รัก ก้าวต่อไปเจ้าวางแผนเอาไว้อย่างไร?”
“ก็ไปชมดูแดนสวรรค์จิ่วโจวสักรอบ เสาะหาพี่รองกลับมา ถือโอกาสตามหาพญายมอีกเจ็ดคนไปด้วย” ตู๋กูซิงหลันกล่าวอย่างมีเป้าหมาย
เยี่ยจ้านได้ยินแล้ว ก็ครุ่นคิดไปมาอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนี้ก็ได้อยู่ แต่หากว่าพวกชาวสวรรค์รู้ตัวขึ้นมา จะต้องไม่ยอมให้เจ้าฟื้นฟูเผ่าหมิงได้อย่างง่ายๆแน่นอน การเดินทางครั้งนี้มีอันตรายอย่างยิ่ง เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากๆ”
เยี่ยจ้านพูดพลาง ก็ครุ่นคิดไปว่ายังพอจะมีอะไรมามอบให้กับบุตรสาวสุดที่รักได้อีก
หากมิใช่เพราะว่าเขาเสาะหาจิตวิญญาณอันบอบบางของชิงชิงพบแล้ว เขาจะต้องไปเป็นเพื่อนนางที่จิ่วโจวอย่างแน่นอน และทำทุกสิ่งเหล่านั้นแทนนาง
แต่ว่าตอนนี้เขาไม่อาจไปจากที่นี่ได้ จนกว่าเขาจะรวบรวมดวงจิตของชิงชิงกลับมาได้ครบ
“บิดาท่านว่าใจเถอะ ข้ามีบุญมีวาสนา ไม่ตายง่ายๆหรอก” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมา ใต้ต้นไม้มังกร แสงจากแมลงกัดวิญญาณ ส่องแสงระยิบลงมาบนร่างนาง กลายเป็นความงดงามอันละเอียดอ่อนอีกแบบ
น่าเสียดายที่เยี่ยจ้านมองไม่เห็น
เขามองไม่เห็นราศีอันเฉิดฉายบนใบหน้าของนาง ทั้งยังมองไม่เห็นแววตาสุกสกาวจากดวงตาดอกท้อทั้งสอง
หลังจากนั้น ตู๋กูซิงหลันก็นำไม้คฑาของตนเองที่ได้จากต้นฮว๋ายโบราณในธารทรายของน้ำพุเหลืองออกมา ส่งให้เยี่ยจ้านชมดู “ขอถามเรื่องสุดท้าย บิดาเคยพบเห็นสิ่งนี้หรรือไม่เจ้าคะ?”
เจ้าอาวุธสุดโกงนี้ จะอย่างไรตู๋กูซิงหลันก็อยากจะรู้ว่า มันมีที่มาที่ไปอย่างไร
หากพูดให้น่าฟังหน่อย ของสิ่งนี้ดูเป็นสมบัติโบราณสุดล้ำค่า หากพูดอย่างไม่น่าฟังมันก็ดูเป็นของเก่าคร่ำครึ แถมยังมีกลิ่นไม้ผุๆอีกต่างหาก แต่ว่าเจ้าไม้คฑาที่ดูไปไม่น่าพิศมัยท่อนนี้ กลับมีพลังที่สามารถจะดูดซับพลังจิตของผู้คน และถ่ายเทออกมาใช้สอยได้
ตามธรรมดาแล้ว สิ่งของเช่นนี้ หากคิดจะครอบครองมัน จะมากจะน้อยก็ต้องมีการทดสอบก่อนยอมรับเป็นเจ้านายเสียก่อน ….
แต่ว่าเจ้าสิ่งนี้ นางกลับสามารถใช้สอยมันได้อย่างง่ายดาย
เยี่ยจ้านยื่นมือออกมา ปลายนิ้วที่เรียวยาวพึ่งจะสัมผัสโดนมันเล็กน้อย ก็ได้ยินเขาส่งเสียงเจ็บปวดออกมา ‘อ้ายโย้ว’
ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดู ก็เห็นไม้คฑาพลันมีหนามแหลมงอกออกมา ปลายหนามมีหยดเลือดติดอยู่ เป็นเลือดที่มาจากปลายนิ้วของบิดาคนงาม
“เจ้าสิ่งนี้ก็กัดคนได้หรือ?” เยี่ยจ้านยังไม่ทันได้สัมผัสโดนมันเสียด้วยซ้ำ ก็ถูกไม้คฑานี้ปฏิเสธเสียแล้ว
ไม้คฑาดูดซับเลือดของเยี่ยจ้านเข้าไป จากนั้นก็เรืองแสงสีแดงเข้มออกมาแวบหนึ่ง
จากนั้นแสงสว่างก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
พอตู๋กูซิงหลันพลิกดูอย่างละเอียด ถึงได้เห็นว่าหนามเล็กที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อครู่นี้ ที่จริงแล้วก็คืองูตัวน้อย
หนามเล็กๆนั่นยุบหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดมาก่อน
เยี่ยจ้านยกปลายนิ้วของตนเองขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะได้สัมผัสเพียงชั่วแวบ แต่ว่าเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ถูก ราวกับว่าเป็นสิ่งที่มาจากเทพเจ้าในบรรพกาล เพราะแม้แต่ตัวเขายังรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกจนเสียดกระดูก
เขาคือราชามังกรแห่งเผ่ามังกรทมิฬ ในหกภพภูมินับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างยิ่งผู้หนึ่ง แต่ว่าหากเปรียบเทียบกับเหล่าเทพผู้ยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาล นั่นย่อมไม่อาจเทียบกันได้จริงๆ
เพราะแม้แต่เผ่าเทพในแดนสวรรค์ ทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับเทพผู้ยิ่งใหญ่ในยุคบรรพกาลเช่นกัน
เทพเจ้าในยุคบรรพกาล ถือว่าเป็นต้นกำเนิดบรรพบุรุษของเทพเจ้าทั้งหลาย หากว่าปรากฏตัวขึ้นมาเพียงหนึ่ง เกรงว่าทั้งหกภพภูมิคงต้องคุกเข่าลงและเรียกขานเป็นบรรพชนแล้วกระมัง?
น่าเสียดายที่ว่า หลังสิ้นสุดยุคบรรพกาลแล้ว เหล่าเทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างก็หายสาปสูญไป จากนั้นถึงได้เกิดเป็นเทพเซียนภูติมารต่างๆขึ้นมา
เยี่ยจ้านปาดเช็ดรอยเลือดบนปลายนิ้วออกไป จากนั้นถึงได้กล่าวว่า “สามารถระบุได้เรื่องหนึ่ง นี่เป็นสมบัติในยุคบรรพกาลอย่างแน่นอน ค่อนข้างกระหายเลือด หากว่าควบคุมได้ไม่ดี ก็จะ….
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยตอบอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ก็จะเที่ยวกัดคนไปทั่ว”
ที่จริงตู๋กูซิงหลันเตรียมใจรับฟังเอาไว้พร้อมแล้ว นางนึกว่าหากควบคุมไม่ดีมันก็จะระเบิดได้ หรือไม่ก็ย้อนเข้าใส่ตัวอะไรทำนองนั้น…..
แต่สุดท้ายเขากลับสรุปลงเช่นนี้
“สมแล้วที่เป็นบุตรีของข้า มีโชคลาภมหาศาล ขนาดสมบัติในยุคบรรพกาลยังถูกเจ้าค้นพบ” จากนั้น เยี่ยจ้านก็ทำท่าทำทางภาคภูมิใจออกมา
ตู๋กูซิงหลันมองดูไม้คฑาในมือรอบหนึ่ง ก็เก็บมันกลับไป โดดเด่นถึงเพียงนี้ แล้วจะมองข้ามได้อย่างไร?
ดูจากท่าทางของบิดาคนงาม คงจะไม่รู้จักเจ้าสิ่งนี้สักเท่าไร นางจึงไม่ได้ถามอะไรอีกต่อไป เพียงพูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อยๆ
เยี่ยจ้านอยู่ใต้หุบเหวไร้ก้นเพียงลำพังมาเนิ่นนาน ยากนักที่บุตรสาวจะมาเยี่ยมได้สักครั้ง จะเป็นจะตายอย่างไรก็ต้องรั้งนางเอาไว้ให้ได้สักวันสองวัน
ตู๋กูซิงหลันขัดใจเขาไม่ได้ จึงรั้งอยู่ที่ใต้หุบเหวไร้ก้นสองวัน
ในช่วงเวลานี้ก็ได้โอกาสขี่เจ้าจอระเข้ผีดิบวนไปวนมาอยู่ในธารน้ำสีดำอีกหลายรอบ จนบังเอิญเก็บหินสีดำที่แวววาวได้ก้อนหนึ่ง
นางคิดไปว่าดาบยักษ์ของพี่ใหญ่ถูกเจาะจนเป็นรูใหญ่ หากใช้หินก้อนนี้ไปปิดเอาไว้น่าจะพอซ่อมได้พอดิบพอดี
เยี่ยจ้านได้ฟังความคิดของนาง ก็ไปคลำเอากิ่งของต้นไม้มังกรมากิ่งหนึ่ง ค่อยๆหลอมรวมมันเข้ากับหินก้อนนั้น
ดาบยักษ์ที่มอบให้กับเจ้าใหญ่หลอมขึ้นจากเขามังกรของเขา หากอยากจะซ่อมแซม ย่อมต้องอาศัยวัตถุดิบจากร่างของเขา
ต้นไม้มังกรนี้กำเนิดจากร่างกายของเขา กิ่งก้านที่เขาดึงออกมาคือกระดูกสันหลัง สำหรับเขาที่เป็นถึงอดีตราชามังกร……นี่คือส่วนที่****ที่สุดในร่างกาย
ยามที่ตู๋กูซิงหลันจะไปนั้น บิดาคนงามถึงกับยากจะทำใจร่ำลา ได้แต่บอกให้นางมาเยี่ยมเขาบ่อยๆ ทางที่ดีครั้งหน้าให้พาเจ้าใหญ่และสะใภ้ของเจ้าใหญ่มาด้วยพร้อมกัน
ในคำพูดของเขาไม่ได้เอ่ยถึงพี่รองที่ไม่รู้ว่าหายไปที่ใดเลยสักนิดเดียว
พี่รองช่างน่าสงสาร หากมีโอกาสพี่รองจะต้องบ่นออกมาแน่นอน
…………………….
ตู๋กูซิงหลันยังไม่ได้กลับไปที่ต้าโจว แต่ว่ากลับเดินทางไปยังเขาฝูซางซาน ในเขตเมืองกู่เย่วแทน
เปรียบเทียบกับยามที่ได้มาครั้งก่อน ไอหยินในภูเขาฝูซางซานจางลงไปมากแล้ว
เพระก่อนหน้านี้อู๋เจินได้รับพระบัญชาจากจีเฉวียน ให้มาที่นี่ด้วยตนเองเพื่อชำระวิญญาณ งานชิ้นนี้นับว่าเขาทำได้เป็นอย่างดี วิญญาณแค้นบนภูเขาแทบจะสลายไปจนหมดแล้ว ภูเขาฝูซางซานที่เดิมทีมีแต่หมอกสีเลือดปกคลุมอยู่ตลอด ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวสดใสขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันเข้าไปในภูเขาวนไปวนมาอยู่รอบหนึ่ง ก็ต้องแปลกใจที่จิตวิญญาณในที่นี่บริสุทธิ์ขึ้นมาก
……………………………………….