ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 530 แม้แต่ชื่อของเขาก็ยังไม่รู้จัก
ภายในห้อง ใต้แสงเทียน ปลายนิ้วของผู้นั้นขาวกระจ่างจนเรืองรอง
ทั่วร่างของเขาเปี่ยมไปด้วยไอหนาว แม้แต่แสงเทียนสีส้มอันอบอุ่นเมื่อส่องลงบนร่างของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นไอน้ำแข็งหนาวเย็นระเหยขึ้นมา
เขาหลุบตาลง ขนตาที่ทั้งยาวและหนาปิดบังแววตาเอาไว้
จนทำให้ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไรอยู่
“ท่านเจ้าสำนัก เจ้าวัง วังตันติ่งกงขอเข้าพบขอรับ” ทันใดนั้น ปรากฏศิษย์สำนักในชุดสีดำผู้หนึ่งเข้ามารายงาน
ศิษย์ผู้นั้นพึ่งจะพูดจบ เจ้าวังของวังตันติ่งกงก็บุกเข้าไปแล้ว
สตรีผู้นี้สวมใส่ชุดสีขาวตลอดร่าง รูปโฉมดุจนางเซียน หัวคิ้วหางตาดั่งภาพวาด ผิวพรรณขาวกระจ่าง
หากมองดูให้ละเอียด ก็จะเห็นว่าเส้นคิ้วและดวงตาของนางมีส่วนคล้ายคลึงกับซ่งเจียงเสวียอยู่สองถึงสามส่วน
ทันทีที่นางปรากฏตัว เหล่าศิษย์สตรีในสำนักก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไร้หมดรูป แต่ละคนเหมือนดั่งถ่านหินที่ขุดขึ้นมาจากเหมือง ทั้งดำทั้งอัปลักษณ์
“เจ้าวัง วังตันติ่งกง …..เจ้าสำนักของพวกเรายังไม่ทันได้อนุญาต ท่านก็บุกเข้ามาเช่นนี้ ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่กระมัง?” ศิษย์ชายที่เข้ามารายงานก่อนทำสีหน้าไม่พอใจ เพียงแต่เมื่อได้พบเห็นรูปโฉมดุจนางเซียนของเจ้าวังตันติ่งกง ก็จำต้องอดทนถอยให้อยู่บ้าง
ใครๆต่างก็รู้ว่า เจ้าวังของวังตันติ่งกงคนปัจจุบัน คือโฉมงามอันดับหนึ่งในดินแดนจิ่วโจว รูปโฉมของนางงดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ พลังบำเพ็ญเพียรก็สูงส่ง ทั้งยังมีพรสวรรค์ในการหลอมยาตันอย่างล้ำเลิศ
ยาตัน นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจำเป็นต้องใช้ในการฝึกฝน มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายเท่าใดที่เฝ้าฝันถึงยาตันสักเม็ดแต่ก็ไม่เคยได้มา
แต่ว่าวังตันติ่งกงนั้น คือแหล่งที่มาของยาตันกว่าครึ่งในดินแดนจิ่วโจว ดังนั้นผู้คนทั้งหลายจึงมีแต่เคารพนบนอบต่อนาง
ยิ่งไปกว่านั้นในดินแดนจิ่วโจวนี้ ยังมีผู้ที่แอบหลงใหลและใฝ่ฝันถึงเจ้าวังผู้นี้อยู่มากมายจนไม่อาจนับได้
บุรุษที่ไล่ตามนางมีมากเสียจนสามารถจะยืนเรียงกันวนรอบแดนจิ่วโจวได้
อย่าว่าแต่นางก็ไม่เคยลดสายตาอันสูงส่งมาเหลือบแลผู้ใด แม้แต่หางตาก็ยังไม่เคยทอดมาแลดูเหล่าบุรุษที่ไล่ตามนางเลยสักนิด
หากแต่วันนี้นางกลับยอมวางศักดิ์ฐานะลง เดินทางมาเยี่ยมคาราวะประมุขคนใหม่ของจิ่วโจว เจ้าสำหนักหยินหยาง ด้วยตัวของนางเอง
หากว่าเปลี่ยนเป็นบุรุษอื่น ย่อมต้องเห็นว่านี่เป็นเกียรติอันสูงส่งเพียงไหน
แม้แต่เหล่าศิษย์สตรีในสำนักหยินหยางต่างก็ยังรู้สึกละอายใจต่อตัวเอง เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าวังของวังตันติ่งกง ซ่งชิงอีผู้นี้แล้ว พวกนางก็ดูไปช่างอัปลักษณ์เสียจริงๆ
ใต้หล้านี้ ดูเหมือนว่าคงจะมีแต่เพียงสตรีเช่นซ่งชิงอีเท่านั้น จึงจะเหมาะสมคู่ควรกับเจ้าสำนักของพวกนางละมั้ง?
แต่ว่ายามนี้ ท่านเจ้าสำนักที่นั่งอยู่ในห้องกลับมีแต่ความเย็นชา ไม่พูดไม่จาอะไรแม้แต่คำเดียว ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังคงมีแต่เงาอันงดงามทอดลงบนหน้าต่างเท่านั้น
เจ้าวังตันติ่งกง ซ่งชิงอีชักจะไม่พอใจขึ้นมาบ้าง แต่นางก็ต้องเก็บงำความไม่พอใจเหล่านี้เอาไว้
หันไปยิ้มจางๆให้กับเงาที่ทอดอยู่บนหน้าต่างห้องนั้น “เจ้าสำนักหยินหยางช่างสูงส่งจนเย็นชา ข้าอุตส่าห์มาเยี่ยมคาราวะด้วยตนเอง แม้แต่หน้าของท่านก็ยังจะไม่มีโอกาสได้เห็นกระนั้นหรือ?”
จนถึงตอนนี้ พอคิดย้อนไปถึงตอนที่ได้เห็นแม้เพียงแวบเดียวในสุดยอดการประลอง หัวใจของนางก็ยังคงเต้นกระหน่ำอยู่
นางไม่เคยเห็นบุรุษใดที่ทั้งงดงาม และแข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อนเลย!
เนื่องเพราะเรื่องของซ่งชิงไต้ในตอนอดีต ทำให้นางไม่เคยคิดจะเหลือบแล เหล่าบุรุษหน้าเหม็นในใต้หล้าอีกแม้แต่แวบเดียวแต่ว่าตอนนี้บุรุษผู้นี้กลับทำลายความตั้งใจนี้ลงไป
เขาช่างพิเศษอย่างยิ่ง
พิเศษถึงขนาดที่ว่าใครได้เห็นหน้าเขาเพียงแวบเดียว ก็ต้องบังเกิดความรู้สึกไม่ธรรมดา ที่อธิบายไม่ถูกขึ้นมา คิดแต่จะแต่งเอาบุรุษผู้นี้กลับไปให้ได้ ต่อให้ไปเป็นเพียงแจกันวางเอาไว้ในบ้านก็ยังดี
ดังนั้น…..นางจึงเดินทางมาด้วยตนเอง
ที่นางพูดออกไปเมื่อครู่ หากมองจากสถานะของนาง ก็ต้องถือว่ายอมอ่อนให้จนน่าอับอายมากแล้ว แต่ว่าผ่านไปอีกเนิ่นนาน ก็ยังไม่ได้ยินเสียงคนตอบกลับมาแม้แต่ครึ่งคำ
สีหน้าไม่ยินดีที่ซ่งชิงอีพึ่งจะเก็บงำลงไปได้เมื่อครู่ ต้องเผยออกมาอีกครั้ง
“เจ้าสำนักหยินหยาง ท่านนี่ไม่รู้จักรับน้ำใจของผู้อื่นบ้างเลยหรือไง?” นางพูดพลาง ปลายนิ้วก็ขยับเล็กน้อย พลังวิญญาณอันบริสุทธ์สายหนึ่งเคลื่อนไหว คิดจะใช้กำลังผลักประตูของเขาให้เปิดออก
“ตอนนั้นที่อยู่ในสุดยอดการประลอง เป็นเพราะไม่ทันระวัง ข้ากับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน จึงได้พ่ายแพ้ให้แก่ท่าน วันนี้ข้าเป็นตัวแทนวังตันติ่งกงมาเยี่ยมคาราวะ ท่านกลับมีทีท่าเช่นนี้? มิใช่ว่ารีบร้อนผลักไสข้าไปทางตำหนักซิวหลัวเตี้ยนหรอกหรือ?”
ใช่สิ ถึงแม้ว่านางจะต้องตาในตัวเขาตั้งแต่แวบแรก แต่ว่าคนผู้นี้มีนามว่าอะไรก็ยังไม่รู้
นางกำลังใช้อำนาจของชื่อเสียงมาข่มขู่เขา
เหล่าศิษย์ในสำนักหยินหยางพอได้ยินแล้ว หัวใจก็ต้องสั่นสะท้านขึ้นมา
หากว่าวังตันติ่งกงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยนร่วมมือกันขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นสำนักหยินหยางของพวกเขายังจะมีที่ยืนหยัดอยู่อีกหรือไม่?
ว่าตามจริงแล้ว ตอนนั้นในสุดยอดการประลอง ท่านเจ้าสำนักแทบจะไม่ได้ลงมืออะไรเลย ด้วยซ้ำ ….แม้แต่พวกเขาเองก็มองเห็นไม่ชัดเจนว่าเขาทำอย่างไรจึงทำให้ผู้อื่นพ่ายแพ้ไป
ดังนั้นในเรื่องของวรยุทธ์และพลังของท่านเจ้าสำนัก พวกเขาเองก็มีข้อกังขาเช่นกัน
บางที ท่านเจ้าสำนักคนใหม่อาจจะบังเอิญได้รับอาวุธเซียนวิเศษบางอย่างมา จึงได้……
เนื่องเพราะวิธีการคัดเลือกเจ้าสำนัก อันแปลกประหลาดของสำนักหยินหยาง ทำให้ในสำนักไม่ค่อยจะมีความสามัคคีกันเท่าไรนัก ทั้งยังเต็มไปด้วยข้อกังขา
ดังนั้นสำหรับเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้ ในใจของพวกเขาจึงมีแต่คำถามมากมายเต็มไปหมด
เขาไม่เคยห่างจากพิณโบราณนั่นเลยแม้แต่ก้าวเดียว ….ประหลาดหรือไม่?
ซ่งชิงอีเห็นผู้คนส่วนใหญ่พากันหน้าเปลี่ยนสี ก็เกิดความได้ใจขึ้นมา
เห็นหรือไม่ ที่สุดแล้วสำนักหยินหยางก็ยังคงเกรงกลัววังตันติ่งกงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยน
ริมฝีปากสีแดงของนางขยับน้อยๆ คิดจะข่มขู่บีบคั้นเขาต่อไป
แต่ว่าคำพูดยังไม่ทันจะได้ออกจากปาก ก็ได้ยินเสียงของบุรุษดังขึ้นในที่สุด
“ไสหัวไป” คำเดียว รวบรัดหมดจด ทั้งยังตัดรอดอย่างเย็นชา ราวกับว่าเขากำลังถูกตัวอัปลักษณ์อะไรสักอย่างรังควานอย่างไรอย่างนั้น
คำไล่คำนั้น เป็นเหมือนดั่งน้ำเย็นทั้งอ่างที่ราดรดลงมาบนศีรษะของซ่งชิงอี
แต่ไหนแต่ไรนางก็เย่อหยิ่งดั่งนางหงส์มาโดยตลอด นางที่สูงส่งมีแต่ผู้คนเคารพเทิดทูนอยู่เสมอ ตอนนี้กลับถูกประมุขคนใหม่ขับไล่?
ชั่วขณะนั้น ซ่งชิงอีรู้สึกโง่งมไปหมดแล้ว นางแทบจะไม่อยากเชื่อหูของตนเอง
ดังนั้นจึงคิดจะขยับเท้าเข้าไปใกล้อีกนิด แต่ว่ายังไม่ทันจะถึงครึ่งก้าว ก็ได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาอย่างที่สุดของบุรุษดังออกมาว่า “ไสหัวไปให้ไกล”
และพร้อมกับน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกราวน้ำแข็งของเขา เสียงพิณที่เย็นชาจนจับขั้วหัวใจก็ดังสะท้อนออกมา
เสียงพิณที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารดังสะท้อนออกมา ทำเอาต้นไม้ต้นหนึ่งตรงหน้าของซ่งชิงอีถึงกับหักครึ่งโค่นลงมา เสียงพิณนี้ยังดังออกไป โดยไม่ยอมหยุด เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าของนาง
ซ่งชิงอีไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลยว่า เขาจะลงมือกับนางเช่นนี้
นางตกตะลึงไปครู่หนึ่งจึงค่อยมีปฏิกริยาขึ้นมา ได้แต่พลิกร่างดุจนางเซียนถอยหลังออกไป
แต่ว่าก็ไม่ทันการเสียแล้ว เสียงพิณนั้นพุ่งผ่านร่างของนางออกไป บาดเนื้อบนหัวไหล่ขาดออกมาชิ้นหนึ่ง เลือดสดๆย้อมชุดสีขาวของนางจนแดงฉาน
ซ่งชิงอีเจ็บจนส่งเสียงร้องออกมา สีหน้าที่ทำเป็นขึงขังเมื่อครู่พังทลายลง
นางฝืนทนความเจ็บปวด ยกคิ้วมองเข้าไปในห้อง แต่กลับเห็นว่าคนที่อยู่ในห้องแทบจะไม่ได้ขยับเขยื้อนใดๆทั้งสิ้น
คนผู้นั้นเพียงแต่ดีดลงไปบนพิณเพียงเบาๆเท่านั้น
แม้แต่เงาบนหน้าต่างก็แทบจะไม่มีอะไรขยับ
บุรุษผู้นี้….ไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาสักนิดจริงๆ!
นางมีฐานะเป็นถึงเจ้าวังตันติ่งกงแท้ๆ ทั้งยังเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งจิ่วโจว ถึงกลับไม่คู่ควรแม้แต่จะได้พบหน้าเขาสักครั้ง
นางประคองหัวไหล่ที่มีเลือดไหลรินเอาไว้ ผ่านไปอีกพักใหญ่ค่อยเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าสำนักหยินหยาง ท่านตั้งใจจะเป็นอริกับข้าจริงๆอย่างนั้นหรือ?”
……………………