ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 549 นามของเขา
ติดหนี้ต้องคืนเงิน ฆ่าคนต้องชดใช้ชีวิต นี่เป็นเหตุผลของฟ้าดิน
ยิ่งไปกว่านั้น ฝีมือของซ่งชิงอีนับว่าร้ายกาจเกินกว่าจะทนได้ ตอนที่นางกระทำเรื่องโหดเ**้ยมชั่วร้ายก็สมควรคิดเอาไว้แล้วว่า สักวันหนึ่งจะต้องได้รับผลสนองเช่นนี้
ความยุติธรรมอาจมาถึงล่าช้า แต่ต้องมิใช่พร่องไป
“อ๋อ เจ้ายังคิดจะครอบครองคนของข้า ยิ่งสมควรตายแล้ว” ตู๋กูซิงหลันเอ่ยออกมาอย่างหยามหยันและเย็นชา
ทันทีที่นางเอ่ยจบ ผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้นก็ย่างเข้ามาที่ละก้าวรายล้อมซ่งชิงอีเข้าไป
ซ่งชิงอีใกล้จะคลุ้มคลั่งเข้าไปแล้ว
สายตาของนางมองผ่านผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้นไปยังบุรุษที่งดงามเหนือมนุษย์ในท้องฟ้า
นางคำรามออกมาจากหัวใจที่เดือดดาล “เจ้าคิดหรือว่า….เจ้าฆ่าข้าแล้วเจ้าจะได้ครองครองเขา?”
“เขามันไร้ความรู้สึกไม่มีหัวใจ เย็นชาอย่างที่สุด ไม่มีทางชอบเดรัจฉานน้อยอย่างเจ้าได้เด็ดขาด!”
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเดินหันหลังจากนางไปได้สองก้าว เท้าที่ก้าวเดินอยู่ก็พลันหยุดลง หันศีรษะกลับมาเหลือบดูนางแวบหนึ่ง “เจ้ามันตัวอะไร? คนของข้าย่อมไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตาอยู่แล้ว”
ว่าแล้วนางก็เก็บสายตากลับไป เอ่ยอย่างเย็นชากับบรรดาผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้น “ระบายความแค้นออกมา จากวันนี้ไป นายน้อยอย่างข้าจะหนุนพวกเจ้าเอง”
ผีกุ่ยหลัวซาแปดสิบกว่าตัวนั้น ต่างก็ตกตะลึงไป มองดูเงาหลังที่ทอดยาวออกไปของนาง สายลมแห่งความมืดพัดโชย ปัดเป่าเสื้อผ้าและเส้นผมของนางจนพลิ้วขึ้นไป ทั้งๆที่ตลอดทั้งร่างสวมใส่ชุดสีดำสนิท แต่ไม่รู้ว่าทำไม กลับดูเหมือนว่าในความดำมืดนั้นมีหัวใจที่ส่องแสงสกาวอยู่ดวงหนึ่ง
เดิมทีพวกมันไม่ควรมีอารมณ์ความรู้สึกใดๆหลงเหลืออยู่อีก….
แต่ว่าในยามนี้ในหัวใจพลันเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา….เคารพ
ราวกับว่า….พวกมันสมควรมอบความเคารพให้กับคนผู้นี้อยู่แล้ว
ทันทีที่ตู๋กูซิงหลันชักเท้าเดินจากไป ก็ได้ยินเสียงซ่งชิงอีกรีดร้องมาจากด้านหลัง เสียงนั้นยังยากจะทนฟังยิ่งกว่าเสียงเป่าขลุ่ยของนางเสียอีก
เสียงนั้นแหวกอากาศไปทั่วท้องฟ้า
เลือดสดไหลนองทั่วทุกทิศ ผีกุ่ยหลัวซาที่มาเพื่อทวงชีวิตย่อมไม่ยินยอมให้นางได้ตายดี…..
อีกทั้งผีกุ่ยหลัวซายังโหดเ**้ยมหาใดเทียบ ไม่มีผู้ใดในวังตันติ่งกงสามารถช่วยเหลือนางได้
พวกเขา……ได้แต่มองดู
อ๋อ เหล่าคนที่ชั่วช้าพวกนั้น ยังถูกวิญญาณแค้นควักหัวใจออกมาอีกด้วย
เพียงไม่นาน ทั่วทั้งวังตันติ่งกงก็ถูกย้อมไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เสียงกรีดร้องโหยหวนดังไม่จบสิ้น กลายเป็นสภาพที่น่าหวาดกลัวเช่นเดียวกับในห้องใต้ดินห้องนั้น
ตู๋กูซิงหลันมิใช่พระโพธิสัตว์ นางก็มีอีกด้านของความเมตตาอยู่
ซ่งชิงอีสมควรตาย แต่มิใช่เพราะนางถวิลหาคนของตน
บาปที่นางก่อจากการเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายนั้น ย่อมต้องใช้เลือดและชีวิตมาเป็นสิ่งชดเชย
………………….
ตู๋กูซิงหลันกลับไปที่ข้างกายคนผู้นั้นท่ามกลางเสียงโหยหวนและกลิ่นคาวเลือด
เขาเก็บพิณในมือไปแล้ว ดวงหน้าที่งดงามนั้นมิได้เปลี่ยนแปลงใดๆแม้แต่น้อย แม้ได้เห็นสภาพของนรกบนดินที่ตรงหน้า ดวงตาหงส์ทั้งคู่ก็มิได้มีระลอกคลื่นใดๆ
ไม่เหมือนกับตอนที่เขามองเห็นเศษหมั่นโถบนมุมปากของนางสักนิดเดียว
ตู๋กูซิงหลันจับชายแขนเสื้อของเขาขึ้นมาเบา แกว่งไปมาเล็กน้อย “ข้าจะกลับไปกับเจ้า”
ยากนักที่เขามิได้ทิ้งนางแล้วหนีไป ตู๋กูซิงหลันคิดดูแล้ว ทันทีที่พิสูจน์ฐานะของเขาได้แล้ว…..นางจะต้องให้รางวัลเขาสักหน่อย อย่างเช่นทำอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง
เขาไม่ได้มองดูสภาพที่เบื้องล่างแม้แต่น้อย สายตากวาดผ่านนางแวบหนึ่ง “สำนักหยินหยางของข้าไม่ต้อนรับคนนอก”
ท่าทางของเขาขึงขังจริงจัง ราวกับวัตถุโบราณพันปี
“เช่นนั้นข้าไปเป็นศิษย์ในสำนักหยินหยางของเจ้าก็ได้” ตู๋กูซิงหลันคิดๆดู ก็ถามเขาอย่างจริงจัง “ท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ ท่านขาดแคลนศิษย์หรือไม่? คนที่ทั้งหน้าตาดีและมีทรัพย์ ความสามารถก็ยอดเยี่ยมแบบนั้น”
ท่านเจ้าสำนัก “เจ้ากำลังพูดถึงผู้ใด?”
ว่าแล้ว เขาก็มองออกไปรอบด้าน “ข้าไม่เห็นเลยสักคน”
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้โกรธเคือง นางหัวเราะเบา ทำหน้าหนาใส่เขา “ก็ข้ายังไงล่ะ ข้าเอง ที่บ้านข้ามีตำแหน่งฮ่องเต้ให้สืบทอด ท่านจะไม่ลองพิจารณาดูหน่อยหรือ?”
คำพูดนี้ของนางย่อมไม่แปลกปลอม แผ่นดินโบราณทั้งหมดเป็นของนาง….จะอย่างไรนางก็เป็นถึงฮ่องเต้หญิงเชียวนะ
ท่านเจ้าสำนัก “…..”
……………..
สำนักหยินหยางไม่สงบสุขอีกต่อไป
ท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ออกไปด้านนอกครั้งหนึ่ง ก็พาหนุ่มน้อยในชุดดำกลับมา
หนุ่มน้อยผู้นั้นหน้าตาดีมาก รูปโฉมเมื่อเปรียบเทียบกับท่านเจ้าสำนักแล้ว ก็ถือว่าไม่ได้ด้อยกว่าเลย
เพียงไม่นาน เหล่าศิษย์ในสำนักหยินหยางต่างก็ต้องร้อนรนขึ้นมา
นับตั้งแต่ท่านเจ้าสำนักขึ้นดำรงตำแหน่ง ในสำนักหยินหยางก็ไม่ได้มีคนใหม่เข้ามา แม้แต่ศิษย์ใหม่สักคนก็ไม่ได้รับเอาไว้
คนตั้งมากมายที่รุดมายินยอมเป็นวัวเป็นม้าให้กับสำนักหยินหยาง แต่ว่าท่านเจ้าสำนักกลับไม่ได้เหลือบแลแม้แต่แวบเดียว
ใครจะไปคิดว่า เขาออกไปไหนมาก็ไม่รู้ ก็จะพาหนุ่มน้อยกลับมาผู้หนึ่ง
เฮ่อ….หนุ่มน้อยผู้นั้นยังคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้ตอนที่เข้ามาเสียด้วย
ตอนนี้คนทั่วทั้งสำนักหยินหยางต่างก็หวั่นเกรงท่านเจ้าสำนัก แต่ว่าเจ้าหนุ่มน้อยที่ปรากฏตัวข้างกายเขาผู้นี้ กลับฉีกยิ้มสดใสอยู่ตลอดเวลา
เขาดูน่ารักน่าเอ็นดูมาก ในดวงตาดอกท้อคู่นั้นทอประกายสุกใส
ราวกับว่าแสงสว่างทั้งหลายในใต้หล้าต่างรวมเข้ามาอยู่ในดวงตาของเขาอย่างไรอย่างนั้น
………………
ในห้องของท่านเจ้าสำนัก ยามนี้หนุ่มน้อยผู้นั้นก็กำลังใช้แววตาเช่นนั้นมองดูท่านเจ้าสำนักอยู่
“เอ่อ ตามเจ้ากลับมาตลอดทาง เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่า เจ้าชื่ออะไร?”
ตู๋กูซิงหลันไปลากเอาเก้าอี้ตัวเล็กมาด้วยตนเอง นั่งลงตรงหน้าเขา
เขาพิงร่างเข้ากับโต๊ะ ไม่รู้ว่ากำลังมองสิ่งใดอยู่
ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ในห้องมีเพียงแสงเทียนเล็กน้อย
แสงเทียบที่ดูอบอุ่นนั้นเมื่อทอทาบลงบนร่างของเขา ก็เปลี่ยนเป็นเย็นขึ้นมา
เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ตลอดทางมานี้ นางถามคำถามออกไปตั้งมากมาย แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
พูดสักคำทองจะร่วงหรือยังไง ท่านเจ้าสำนักที่ไม่ยอมพูดจาอะไรสักคำเดียว ตอนนี้ต้องติดกับเข้าให้แล้ว
หนุ่มน้อยผู้นี้จะเป็นจะตายอย่างไรก็ต้องตามเขากลับมาที่สำหนักหยินหยางให้จงได้ ไล่อย่างไรก็ไม่ยอมไป
ตอนที่ตู๋กูซิงหลันถามเขาเป็นรอบที่หนึ่งร้อยว่าเขาชื่ออะไรนั้น ในที่สุดเขาก็ยอมวางหนังสือในมือลง เงยหน้าขึ้นมา ใช้ดวงตาหงส์คู่นั้นมองมาที่นาง
เมื่อดวงตาทั้งสี่สบกัน หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็ต้องเต้นตึกตัก
“เรียกว่า ท่านเจ้าสำนัก”
ตู๋กูซิงหลันตะลึงไปชั่วครู่ เกือบจะตกลงมาจากเก้าอี้ตัวเตี้ยอยู่แล้ว “เจ้าล้อข้าเล่นสินะ พวกเราจริงจังกันหน่อยได้หรือไม่ อย่าได้แกล้งข้าสิ”
นางทางหนึ่งพูด อีกทางหนึ่งก็ขยับเก้าอี้เตี้ยเข้าไปใกล้ๆอีกนิด
นางนั่งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะเตี้ยของเขา แทบจะบดบังแสงเทียบให้เขาจนหมดสิ้น
เงาจากใบหน้าของนางทอทาบลงบนใบหน้าของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกฮว๋ายฮวาบนร่าง รำเพยเข้าไปในจมูกของเขา
กลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
สีหน้าของเขายังคงไร้อารมณ์มิได้เปลี่ยนแปลง ผ่านไปอีกครึ่งค่อนวันถึงได้เอ่ยออกมาว่า “ไม่มีชื่อ”นี่เจ้าเล่นอะไรอยู่ …..คำพูดนี้ของเจ้าหมายความว่าอะไร?
ตู๋กูซิงหลันได้แต่คิดเรื่องนี้อยู่ในใจ
นางจ้องมองไปที่เขา โดยมิได้เร่งรัดใดๆ จนกระทั่งเขาจ้องตากลับมา นางถึงได้พุ่งร่างเข้าใส่
ท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ มิทันได้ระวังป้องกัน แทบจะถูกนางชนจนจมูกแนบกัน
ปลายจมูกของทั้งสองห่างกันเพียงนิดเดียวเท่านั้น
สีหน้าของตู๋กูซิงหลันขึงขังจริงจัง ภายใต้สีหน้าที่อึมครึมของเขา นางยื่นมือขึ้นมาลูบศีรษะของเขา
จากนั้น ก็ถามออกไปอย่างตรงประเด็นว่า “มา พวกเรามาคุยกันดีๆสักหน่อย หรือว่าเจ้าบังเอิญไปเกิดเรื่องแบบที่มักจะเกิดแต่ในนิยายเท่านั้น….สูญเสียความทรงจำ ใช่ไหม!”
นางเคยเล่นละครประเภทนี้มาก่อน บทละครน้ำเน่าช่วงที่ต้องทำเป็นสูญเสียความทรงจำไป มีอยู่เยอะแยะถมถืดไปไม่ใช่หรือ?
เรื่องแบบนี้มักจะถูกนักเขียนหยิบยกขึ้นมาให้นักแสดงใช้กับฉากรักรันทนอยู่เสมอไง
………………………