ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 599 พี่สาวผู้งามล้ำเลิศ
ตู๋กูเจวี๋ยยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจน ซูเยาก็ทุบลงมาบนหลังของเขาครั้งหนึ่ง
“ชือหลงชือหลีที่ไหนกัน นี่คือพี่สาวของข้า”
ตู๋กูเจวี๋ยถูกเขาทุบปั้กจนได้สติขึ้นมา ดวงตาที่งุนงงครู่นั้นเปลี่ยนเป็นแจ่มใสขึ้นไม่น้อย
เขาได้แต่จดจ้องไปยังใบหน้าที่หันมาเพียงครึ่งหนึ่งบนเตียง
ทันทีที่มองเห็นชัดเจน ตู๋กูเจวี๋ยก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
เขาได้เฝ้ามองน้องเล็กของตนเองเติบโตมาโดยตลอด ตั้งแต่เขาเล็กจนโตก็ไม่เคยได้เห็นสตรีใดที่งดงามเกินน้องเล็กมาก่อนเลย
แต่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้ เพียงแค่ได้มองดูเสี้ยวหน้า ก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายถูกควักหัวใจออกไปจนว่างเปล่า
ความงามของนาง ไม่เหมือนกับน้องเล็ก
สตรีที่อยู่บนเตียงผู้นี้เย้ายวนไปจนถึงในกระดูก นางเพียงแค่เหลือบตามองท่านแวบหนึ่ง ก็สามารถทำให้คนอยากจะคว้าเอาทุกสิ่งที่ดีที่สุดในโลกหล้ามาประคองใส่สองมือส่งให้นางแล้ว
ชนิดที่เรียกว่าอยากจะคุกเข่าลงไป…..อยู่บนพื้น!
คนอย่างตู๋กูเจวี๋ยที่วันๆถูกความงามของน้องเล็กล้างสมองอยู่เสมอ ยังอดที่จะมีปฏิกริยาขึ้นมาไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าแรงดึงดูดของสตรีผู้นี้มีอยู่มากมายเพียงใด
เห็นเขาจ้องเอาแทบเป็นแทบตาย ซูเยาก็รีบมาบดบังสายตาของเขาเอาไว้ “อย่าได้มองมั่วซั่ว พี่สาวไม่ชอบคนต่างเผ่า”
ไอ้หนุ่มนี่ โดนพิษจนเกือบจะตายอยู่แล้ว แต่กลับมองดูพี่สาวของเขาจนน้ำลายจะหกแล้ว
ช่างกล้าดียิ่งนัก!
แต่ก็ควรอยู่ ความงามของพี่สาวนั้นไร้ที่เปรียบ คนทั่วไปไม่อาจต้านทาน
จากนั้น ซูเยาค่อยหันไปมองสตรีที่อยู่บนฟูกอ่อน คลี่ยิ้มออกมาครั้งหนึ่ง “อาเจ้ วันนี้ท่านตื่นเร็วจริง”
สตรีผู้นั้นเหลือบตาดูเขาแวบหนึ่ง ก็หันไปมองดูตู๋กูเจวี๋ยที่ถูกเขาแบกเอาไว้บนหลังอย่างลวกๆอีกครั้ง
จากนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ เส้นผมของนางงดงามดุจบัวแดงที่มีประกายสีทองแตะแต้มอย่างจางๆ
พอนางลุกขึ้นมา เส้นผมก็ขยับพลิ้วราวเริงระบำ
หากจะบอกว่านางยั่วยวนวิญญาณผู้คน แต่ว่าดวงตาทั้งสองข้างกลับใสกระจ่างอย่างยิ่ง ราวขุนเขาเขียวขจีและท้องทะเลหลังพายุฝนพัดผ่าน ทำให้คนอดที่จะหลงใหลไม่ได้
“นำอาหารกลับมาแล้วหรือ?” นิ้วมือที่ละเอียดนวลขยับอยู่ตรงริมใบหูทัดเส้นผมที่พลิ้วอยู่เอาไว้หลังใบหู
คนงดงามก็แล้วไปเถอะ แต่ว่ากระทั่งน้ำเสียงก็ยังไพเราะไปจนถึงกระดูก
สายตาของตู๋กูเจวี๋ยถูกบดบังไปแล้ว แต่ว่าแค่ได้ยินน้ำเสียงเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายกำลังจะละลาย
ผู้คนต่างบอกว่า จิ้งจอกรู้จักยั่วยวนผู้คนอย่างที่สุด เขาก็พึ่งจะรู้ว่าซูเยาเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง ในระหว่างทางที่มานี้เอง
ซูเยาเคยเป็นถึงกุ้ยเฟยของจีเฉวียน ตอนนั้นเขาได้ชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับสองแห่งต้าโจว งดงามจนสะกดผู้คนทั้งมวล
แต่ว่าประเด็นสำคัญที่มันน่าเจ็บใจก็คือเขาเป็นจิ้งจอกตัวผู้ตัวหนึ่ง!
พอได้รู้ว่าเขาเป็นปีศาจจิ้งจอก ตู๋กูเจวี๋ยก็รู้สึกว่าที่ตอนนั้นเขาได้ตำแหน่งเป็นโฉมงามอันดับสองแห่งต้าโจวก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ที่บ้านของเขายังมีพี่สาวที่งดงามล้ำเลิศอีกคนหนึ่ง
เนื่องเพราะน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วช่างไพเราะเหลือเกิน เขาเพลิดเพลินจนแทบจะหลงลืมไปแล้วว่าพี่สาวจิ้งจอกกำลังพูดถึงอะไรอยู่
ซูเยาส่ายศีรษะไปมาในทันที “อาเจ้ เจ้าของเล่นชิ้นนี้ไม่น่ากินหรอก….พึ่งจะโดนพิษมา พิษยังค้างคาอยู่เลย หากท่านกินเข้าไปแล้วเกิดเลือดออกเจ็ดทวาร นั่นจะไม่คุ้มเอา”
พี่สาวจิ้งจอกหัวเราะออกมาคำหนึ่ง น้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นก็ควักเอาหัวใจออกมา แช่เอาไว้ในสระน้ำใสสักสี่สิบเก้าวัน แล้วถลกหนังออกมา ทำเป็นพัดหนังมนุษย์ให้กับข้า”
ถึงแม้ว่าเรื่องที่พูดออกมาจะโหดเ**้ยม แต่ว่าน้ำเสียงของนางกลับน่าฟังดูเทพธิดา
“อ้อ หน้าตาก็นับว่าโดดเด่นอยู่บ้าง เนื้อและกระดูกเอามาบดละเอียด ทำเป็นปุ๋ยเอาไว้ราดรดบุปผาวิญญาณก็แล้วกัน”
ตู๋กูเจวี๋ยฟังอยู่ครึ่งค่อยวัน ถึงได้ฟังออกว่านางคิดจะเขมือบเขา?
ซูเยาถึงกลับหลั่งเหงื่อเย็นๆออกมาท่วมศีรษะ รอยยิ้มบนใบหน้าก็รักษาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินพี่สาวจิ้งจอกเอ่ยว่า “เจ้าฉวยโอกาสนำบุปผาวิญญาณออกไป แต่จับหนุ่มน้อยที่งดงามกลับมาผู้หนึ่ง ถือว่าเจ้าทำความดีชดใช้ความผิด ครั้งนี้ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าก็แล้วกัน”
ว่าแล้ว พี่สาวจิ้งจอกก็ผุดลุกขึ้นยืน นางสวมใส่รองเท้าแก้วสีแดงคู่หนึ่ง รองเท้าสูงอย่างยิ่ง
เรือนร่างที่เดิมทีก็สูงโปร่งพออยู่บนรองเท้าก็ยิ่งดูสูงขึ้น ดูไปแล้วความสูงแทบจะไม่ต่างจากซูเยา
รูปร่างของนางดีอย่างยิ่ง อกเอวล้วนมีครบ ไม่ใช่หญิงงามที่แห้งแกรนมีแต่กระดูก ตลอดทั่วทั้งร่างให้ความรู้สึกว่ามีผิวพรรณชุ่มฉ่ำนุ่มเด้งที่สวยงาม
ดวงหน้าที่เย้ายวนหัวใจผู้คนนั้น ก็มีเนื้ออวบอิ่มเช่นกัน
เพียงแต่ว่างดงามมาก งดงามน่าดูอย่างที่สุด!
นางเดิมมาหาซูเยาทีละก้าว ปลายนิ้วก็ลูบลงไปบนใบหน้าของตู๋กูเจวี๋ยเบาๆ ใช้เล็บสีแดงเลือดนั่นข่วนลงไปบนใบหน้าของเขารอยหนึ่ง
“อืม ผิวพรรณไม่เลว หากเอามาทำเป็นพัดต้องสวยงามมากแน่ๆ”
ตู๋กูเจวี๋ยถูกนางลูบไล้ไปครั้งหนึ่งก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
เขาอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านขึ้นมา ได้แต่ฝืนประคองลมหายใจเอ่ยว่า “ที่นี่หิมะไม่ละลาย คงไม่จำเป็นจะต้องใช้พัดกระมั้ง….”
หากว่าเขาไม่ได้ถูกพิษ ตอนนี้จะต้องลุกขึ้นมายกเหตุผลทั้งหลายมาเกลี้ยกล่อมนางอย่างแน่นอนว่า การใช้หนังมนุษย์ทำเป็นพัดนั้นเป็นเรื่องที่แย่เพียงไร
มิว่าอย่างไรจะต้องทำให้นางล้มเลิกความคิดที่น่ากลัวเช่นนั้นให้จงได้
“หุบปากเสียเถอะ” ซูเยาที่อยู่ด้านข้างอดจะคว้าปากของเขาเอาไว้ไม่ได้
ตนไม่ควรจะพาเขาเข้ามาทางประตูใหญ่เลย ใครจะไปรู้ว่าจะต้องมาเจอพี่สาวตื่นจากนอนกลางวันที่ตำหนักหลักเข้าโดยบังเอิญ
หรือบางทีอาจจะไม่ใช่เรื่อง ‘บังเอิญ’ ไม่แน่ว่าอาจจะมารออยู่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว
พี่สาวผู้นี้ งามพิลาสโดดเด่นในใต้หล้า ทำให้ผู้คนล้วนหลงใหล
แต่ว่าอารมณ์กลับไม่ดีนัก ทั้งยังชิงชังเผ่ามนุษย์มากเป็นพิเศษ
ตอนที่เขานำบุปผาวิญญาณออกไป ล้วนต้องหลบๆซ่อนๆ ตอนนี้ยังพาเผ่ามนุษย์เข้ามา หากไม่ระมัดระวังมีหวังต้องถูกนางฉีกออกเป็นแปดชิ้นอย่างแน่นอน
ตู๋กูเจวี๋ยยังถูกเขาแขวนเอาไว้บนบ่า แต่ก็ยังไม่วายรวบรวมกำลังพึมพำออกมาว่า “เจ้าจะเอาศีรษะของข้าไปก็ได้ แต่ว่าอย่าได้สั่งให้ข้าหุบปาก”
ซูเยา “……”
พอได้ยินแล้ว พี่สาวจิ้งจอกก็หัวเราะออกมา “น่าสนุกดี”
นางหรี่ตาลง ใช้ปลายนิ้วปิดปากของตู๋กูเจวี๋ย ออกแรงในมือเบาๆ ก็บีบปากเขาจนกลายเป็นปากจู๋
“ลิ้นนี้ช่างมีชีวิตชีวานัก หากเอาไปฝังไว้ในกระถางดอกไม้ ยามว่างไม่มีอะไรทำจะได้ดูมันกระดุกกระดิก”
ตู๋กูเจวี๋ย “ ! ! !”
เอาจริงนะ เขาอยู่มายี่สิบปีแล้ว ยังไม่เคยเจอสตรีที่ดุร้ายเช่นนี้มาก่อนเลย
อ้อ ยกเว้นน้องเล็กคนหนึ่ง
นางจิ้งจอกผู้นี้ทำไมถึงได้ไม่เหมือนกับในเรื่องเล่าเลยสักนิด?
ตัดลิ้นออกมาแล้วยังจะนำไปปลูก? ปลูกแล้วยังจะดูมันกระดุกกระดิก?
นี่มันคือจินตนาการผีสางอันใด?
ที่จริงเขาไม่มีกระใจจะครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว เขาเอาแต่มองดูพี่สาวจิ้งจอกอย่างตกตะลึง พอยิ่งมองต่อไป ก็เกือบจะพุ่งเข้าไปครอบครองแล้ว
เขารีบปิดตาลง ในสมองคิดถึงแต่ภาพของชือหลี
ต่อให้นางมีรูปโฉมงดงามก็ไร้ประโยชน์ หัวใจของเขามีเจ้าของแต่แรกแล้ว นอกจากชือหลีแล้ว เขาก็ไม่มีทางจะมองดูสตรีคนใดในโลกนี้อีกแล้ว
อ้อ แม้แต่นางจิ้งจอกก็ไม่ได้!
ยั่วเขาไม่สำเร็จหรอก
พอเห็นเขาปิดตาเอาไว้ พี่สาวจิ้งจอกก็หัวเราะเสียงเย็นชาออกมาเบาๆ พอนางคลายมือ ก็ปาดมือลงไปบนเสื้อผ้าของซูเยาอย่างรังเกียจสองครั้ง จนนิ้วมือที่สัมผัสโดนตู๋กูเจวี๋ยถูกเช็ดจนสะอาดสะอ้าน
จากนั้นค่อยเอ่ยเสียงเย็นชาต่อไปว่า “ข้ามีความอดทนจำกัด เสี่ยวเยา ทางที่ดีเจ้าจงรีบทำเรื่องนี้ให้เสร็จโดยเร็ว”
ว่าแล้ว นางก็เสริมขึ้นอีกประโยคหนึ่ง “มิเช่นนั้นต้องโดนดีแน่”
แต่ไหนแต่ไรซูเยาก็มีนิสัยเย่อหยิ่งมาโดยตลอด ทั้งยังลำพองอย่างยิ่ง แต่ว่าตอนนี้พออยู่ต่อหน้านาง กลับทำเหมือนหนูกลัวแมวอย่างไรอย่างนั้น ยืนตัวตรงดุจพู่กัน เชื่อฟังและระมัดระวังไม่คล้ายเป็นจิ้งจอกเลย
สีหน้าของเขาย่ำแย่ “อาเจ้ เขาเป็นพี่ชายของนางในดวงใจข้า พอจะปล่อยไปได้หรือไม่?”
……………………….