ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 675 เจ้ากลับทำต่อเราเช่นนี้?
พลังวิญญาณในน้ำเสียงหนักแน่น แม้แต่เสียงคำรามของเหล่าสัตว์อสูรก็ยังไม่อาจกลบเสียงนี้ได้
น้ำเสียงระดับนี้หากว่าเป็นยามปกติ เหล่าเทพทั้งหลายย่อมต้องคิดว่ารุนแรงเกินไป
แต่ว่า ที่เทพสงครามระบุออกมาในยามนี้ คือ นางมารผู้นั้นปลดปล่อยเหล่าสัตว์อสูรออกมา!
เพราะสัตว์อสูรเหล่านั้น เหล่าเทพล้วนได้รับความเดือนร้อนอย่างเหลือแสน ยามนี้พวกเขากำลังโกรธแค้นย่อมไม่สนใจว่า ตู๋กูซิงหลันคือผู้ที่ปล่อยสัตว์อสูรออกมาหรือไม่ ต่างก็มีโทสะพวยพุ่งทั่วศีรษะ คิดแต่จะระบายความเกรี้ยวกราดทั้งหมดลงไปกับนางเท่านั้น
แต่ละคนต่างก็ถลึงตาโต จับจ้องไปที่ควันไฟกองนั้น
ถูกเขตอาคมจากพลังวิญญาณของเทพสงครามครอบลงไป ต่อให้เป็นแมลงวันก็ไม่อาจลอดออกมาได้
นางมารผู้นั้นจะต้องตายสถานเดียว!
ควันไฟยังไม่ทันจาง บางคนก็เริ่มหันไปมองดูตี้เสียแล้ว
บนยอดเจดีย์ พระเนตรสีทองของตี้เสียต้องเคร่งขรึมลง
“เทียนตี้พะยะค่ะ นับตั้งแต่นางมารบุกเข้ามาในแดนสวรรค์ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ว่ากลับก่อความเดือดร้อนไปทั่วทั้งสรวงสวรรค์ กระทั่งวันนี้ก็ยังก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา นางสมควรตายอย่างยิ่ง!”
“ขอเทียนตี้โปรดทรงสังเวยนางให้กับเหล่าสัตว์อสูร คืนความสงบสุขให้แก่แดนสวรรค์!”
เหล่าเทพต่างพากันตื่นตัวขึ้นมา ทุกคนต่างก็รู้ว่า เทียนตี้ทรงพอพระทัยในตัวของนางมารจากโลกเบื้องล่างผู้นี้ ข่าวที่ว่าเทียนตี้จะทรงรับนางเป็นสนม เป็นที่รับรู้กันทั่ว!
ดังนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะพากันเกลียดชังตู๋กูซิงหลันเข้ากระดูกดำ แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือกับนาง
หากจะฆ่า ย่อมสมควรให้เทียนตี้เป็นผู้ลงมือด้วยพระองค์เองจุดนี้ เทพสงครามนับว่ากระทำได้อย่างยอดเยี่ยม
หากเทียนตี้ทรงสังหารนางด้วยพระองค์เอง ต่อให้ทรงอยากจะคิดบัญชีในภายหลัง ก็ไม่อาจตำหนิเหล่าเทพทั้งหลายได้
นี่เรียกว่า กฏหมายไม่อาจเอาผิดกับมหาชน
บนยอดเจดีย์ สีพระพักตร์ของตี้เสียอึมครึม ฮว๋ายยู่เองก็ยังคงซุกอยู่ในอ้อมพระพาหา
เดิมที ฮว๋ายยู่คิดจะก่นด่าว่าซือเป่ยเป็นตัวโง่งม แต่ตอนนี้พอได้เห็นฝีมือการจัดการเรื่องราวของซือเป่ย ความกังวลใจของนางก็พอจะคลายลงไปได้บ้าง
เชื่อว่านางมารผู้นี้จะต้องเป็นจู่ฮว๋ายกลับชาติมาเกิดถึงเก้าในสิบส่วน เช่นนั้นจะให้ผู้ใดฆ่านาง ก็มิสะใจเท่าให้เทียนตี้ทรงสังหารนางด้วยพระองค์เอง
เทียนตี้เอ๋ย ถึงท่านจะรักใคร่นางสักเท่าไรแล้วจะมีประโยชน์อะไร?
พระองค์เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์ แล้วจะไปทอดทิ้งแดนสวรรค์เพื่อสตรีเพียงคนเดียวได้อย่างไร?
ในเมื่อนางมารผู้นั้นสร้างความเกลียดชังให้กับกลุ่มคนหมู่มาก ในสถานการณ์เช่นนี้ หากว่าเทียนตี้ไม่อาจให้คำตอบที่น่าพอใจกับทุกคน เกียรติภูมิในฐานะจักรพรรดิแดนสวรรค์ของพระองค์ก็ต้องสั่นคลอนแล้ว
ฮว๋ายยู่รู้ดีว่า เทียนตี้ทรงเป็นคนฉลาดที่รู้จักพิเคราะห์สถานการณ์
ในขณะเดียวกัน อาจเป็นเพราะการปรากฏตัวของตู๋กูซิงหลัน เหล่าสัตว์อสูรที่เมื่อครู่เอาแต่อาละวาดตอนนี้คล้ายจะสงบลงไปอยู่บ้าง
ท่ามกลางควันไฟคละคลุ้งไปทั่ว แต่ละคนต่างก็ชะโงกศีรษะ ไปทางที่ตู๋กูซิงหลันอยู่
“เห็นหรือไม่ พวกสัตว์อสูรเหล่านั้น พอได้เจอกับนางมาร ปฏิกริยาของพวกมันก็เปลี่ยนไป นี่จะต้องเป็นฝีมือของนางแน่ๆ!”
เหล่าทวยเทพยิ่งโกรธเคืองกว่าเดิม พวกเขาไม่สนใจอะไรให้มากความอีกแล้ว แต่ละคนต่างก็เร่งรัดให้เทียนตี้รีบลงมือ
“เทียนตี้เพคะ~” ฮว๋ายยู่ที่อยู่ในอ้อมพระพาหาของเทียนตี้ มีสีพระพักตร์กังวลใจ “แม่นางผู้นั้นดูเหมือนไร้เดียงสา ไม่เหมือนคนที่สามารถกระทำเรื่องเช่นนั้นได้เลยนะเพคะ…”
น้ำเสียงของนางอ่อนโยนอย่างยิ่ง คำพูดที่ใช้ก็เหมือนจะช่วยขอความเห็นใจให้ตู๋กูซิงหลัน
บรรยากาศของพลังรอบกายตี้เสียในวันนี้ดูประหลาดไป พลังของเขาเหมือนถูกสกัดเอาไว้ ไม่อาจแสดงอานุภาพออกมาได้
นางอยู่ในอ้อมพระพาหา ย่อมรู้สึกได้อย่างชัดเจน
การปะทะเมื่อครู่ พระอังสาของเทียนตี้ถูกกรงเล็บของนกยักษ์เข้าครั้งหนึ่ง ฉีกจนโลหิตไหลริน กล้ามเนื้อเหวอะหวะ
นางจำไม่ได้แล้วว่านานเท่าไหร่แล้วที่ตี้เสียเคยได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าครั้งนี้กลับเป็นเพราะเจ้านกยักษ์….
นางช่วยเหลืออะไรไม่ได้ กลับต้องเป็นฝ่ายให้ตี้เสียคอยปกป้องนาง
ยามนี้ ฮว๋ายยู่จึงได้แต่สังเกตดูร่างกายของพระองค์ จนกระทั่งในที่สุดนางก็เห็นอะไรบางอย่าง
เพราะตี้เสียทรงโปรดเปลือยพระองค์ท่อนบนอยู่เสมอ ยิ่งเมื่อมีโลหิตไหล จึงทำให้เห็นว่าที่จุดตันเถียน มีแสงสีแดงเคลื่อนไหวอยู่จางๆ
แสงสีแดงนั้น ดูคล้ายจะเป็นยันต์ใบหนึ่ง
ตี้เสียประทับอยู่ด้านบน สองเนตรเย็นชา เหลือบมองลงมายังเบื้องล่าง ในที่สุดก็ค่อยทอดพระเนตรไปยังซือเป่ย
และกลางกลุ่มควันที่ยังมิได้จางหายไป
พอเหลือบพระเนตรไปทางไท่เหิงกง ก็เห็นแสงสว่างกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ ทำให้มองเห็นได้ท่ามกลางสายลมนั่นเป็น
ตี้ซิน……
ตี้เสียขมวดพระขนงมุ่น เหมือนว่ากำลังจะทรงคิดถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
แต่ในขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงของฮว๋ายยู่ร้องขึ้นด้วยความตกพระทัย “นั่น เทียนตี้เพคะ จุดตันเถียนของพระองค์…..”
ตี้เสียก้มพระพักตร์ลงมาเหลือบมองแวบหนึ่ง ก็เห็นแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งเกาะกุมอยู่ พลังวิญญาณภายในจุดตันเถียนของพระองค์ถูกห่อหุ้มเอาไว้จนกลายเป็นกลุ่มแสงที่เรืองรองอยู่ภายในจนทอแสงเรืองๆออกมาจากร่างกาย
และในใจกลางของกลุ่มแสงสีทองนั้น มีแสงสีแดงที่เหมือนกับยันต์ชนิดหนึ่งเกาะกุมอยู่
หากมิใช่เพราะว่าจุดตันเถียนของพระองค์เคลื่อนไหว ก็คงจะไม่มีทางหายันต์นั่นเจอ
ทันใดนั้น พระหัตถ์ของพระองค์ก็ปรากฏพลังขุมหนึ่ง ฝ่าพระหัตถ์วางลงเหนือจุดตัดเถียน สองพระหัตถ์ปักลงไปในจุดตันเถียน คว้าเอาแสงสีแดงที่อยู่ภายในร่างกายของพระองค์ออกมา
“เทียนตี้!” พอได้เห็นฮว๋ายยู่ก็ต้องตกตะลึงจนต้องตะครุบโอษฐ์ตนเองเอาไว้ ดวงเนตรของนางหลั่งน้ำตาออกมา ปวดพระทัยจนร่ำไห้
จุดตันเถียนของพระองค์แข็งแกร่งดุจศิลา มีแต่พระองค์ที่สามารถทำร้ายพระองค์เองได้
พระหัตถ์ทะลวงลงไป โลหิตไหลนองออกมาจนชุ่ม!
ทั้งยังคีบเอา……ยันต์สีแดงแผ่นหนึ่งออกมาด้วย
ยามที่ตี้เสียทรงทำร้ายพระองค์เอง พระขนงกลับมิได้ขมวดเลยสักนิด
ยันต์สีแดงที่ทรงล้วงออกมาชุ่มโชกไปด้วยพระโลหิตและเศษเนื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถมองเห็นอักษรสองตัวที่เขียนว่า ‘สกัดจิต’
“นี่มัน…..ยันต์คำสาปที่สกัดกั้นพลังจิตวิญญาณ?” ฮวายยู่ป้องโอษฐ์เอาไว้ น้ำตาจากดวงเนตรไหลนอง
“เป็นผู้ใดกันที่มีจิตใจชั่วช้าเช่นนี้ ถึงกับใช้ยันต์นี้ลงมือกับฝ่าบาทในช่วงเวลาเช่นนี้?”
เมื่อเป็นเรื่องยันต์และคาถาอาคม ฮว๋ายยู่นับว่ามีความรู้อย่างลึกซึ้ง
พอนางตรัสคำนั้นออกมา สีพระพักตร์ของตี้เสียก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ไปในทันที…..
ยันต์โลหิตเช่นนี้ พระองค์เคยทอดพระเนตรเห็นมาแล้ว
ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันเคยซัดยันต์โลหิตสองใบเข้าไปในร่างของนกยักษ์ พอนางหลบหนีไปแล้ว พระองค์ถึงได้พบเห็น
พอทรงคิดย้อนไปถึงทุกกริยาของนางยามที่อยู่ในตำหนักไท่เหิงกง เล็บของเทียนตี้ก็ต้องจิกลึกลงไปในพระหัตถ์
เดิมทีดวงเนตรสีทองคู่นั้น มองดูตู๋กูซิงหลันด้วยความอ่อนโยน และความรักอันลึกซึ้ง
แต่ว่ายามนี้ ความอบอุ่นและความรักทั้งหมดกลับถูกฉีกทำลายอย่างโหดเหี้ยม
โทสะของพระองค์พลุ่งพล่านขึ้นมาในทันที
“เพราะอะไร?” ตี้เสียคำรามเสียงต่ำ พอยันต์โลหิตถูกดึงออกมา พลังของพระองค์ก็ไม่ถูกสกัดกั้นอีกต่อไป
พลังวิญญาณของพระองค์แผ่พุ่งออกมาพร้อมกับพระสุรเสียงที่ดังกึกก้องดุจฟ้าผ่า
ทำเอาเหล่าเทพทั้งหลายต่างก็ตกใจจนใจสั่นสะท้าน
ในเขตอาคมของซือเป่ย กลุ่มควันที่ค่อยๆจางหายไปปรากฏ
สตรีผมยาวสีเงินอมดำสยายผมอยู่ในชุดสีแดง
ถึงแม้ว่าจะถูกกักขังอยู่ภายใน แต่ว่านางกลับดูมีสีหน้าสงบนิ่งไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นยังคงมองไปที่พระองค์ด้วยความเย็นชา
แววตาที่ปราศจากน้ำใจใดๆนั้น ยิ่งไปกระตุ้นโทสะของตี้เสียมากกว่าเดิม
“เราเห็นเจ้าเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า แต่ว่าเจ้ากลับปฏิบัติต่อเราเช่นนี้?”
ตี้เสียทรงกำยันต์โลหิตในพระหัตถ์เอาไว้ เขวี้ยงลงมาจากยอดเจดีย์ด้วยความแรง
แค่ยันต์โลหิตแผ่นหนึ่ง แต่พอเขวี้ยงลงมากลับทำให้พื้นดินยุบลงไปกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่
………………….