ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 702 พวกมันล้วนเป็นตัวโกหกกันทั้งนั้น
ฝ่าเท้าที่ขยับเมื่อครู่ยังเตะใส่ร่างของสตรีผู้นั้นจนกระดูกทั่วร่างหักสะบั้น นางถูกเฉือนลิ้นออกมา เจ็บปวดจนต้องเกลือกกลิ้งลงไปอยู่บนพื้น ในปากมีเลือดไหลทะลักออกมาราวน้ำพุส่งเสียงอุกๆอักๆ
ฉากตรงหน้า กลายเป็นภาพระทึกขวัญจนทั้งหมดต้องตกตะลึงไป
นังเด็กบ้านั่น……เสียสติที่ไหนกัน?
ยังน่ากลัวกว่าจอมมารเสียด้วยซ้ำ! ยามลงมือกับผู้คนก็ไม่แม้แต่จะกระพริบตา แววตาอำมหิตยิ่งกว่างูพิษเสียอีก!
ลงมือทำร้ายผู้คนแล้ว แต่ตัวเองทำท่าทำทางเหมือน ‘ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของพวกเจ้า ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์นะ’
พวกมันนับว่าได้เรียนรู้แล้ว!
หรือว่า ที่จริงสาวน้อยผู้นี้อาจจะสังเกตอะไรออกแต่แรกแล้ว จึงได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นคนปัญญาอ่อนมาหลอกลวงพวกเขา!
เกรงว่าคงเป็นเช่นนี้แน่นอน ในใจของทุกผู้ต่างก็คุกรุ่นขึ้นมา หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มีหวังต้องถูกสาวน้อยผู้นี้จัดการตามใจชอบหรอกหรือ?
มิสู่แข็งข้อเสียแต่ตอนนี้ จับตัวนางเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
ถึงแม้ว่าพลังของพวกเขาในตอนนี้จะไม่อาจเทียบนางได้ แต่ว่าจำนวนคนมีเยอะ อย่างมากก็สองฝ่ายล้วนบาดเจ็บ ขอเพียงสามารถยืนหยัดเอาไว้ได้ สุดท้ายยังมีโอกาสได้รับชัยชนะอยู่ดี
ทั้งหมดต่างก็คิดคำนวณเช่นนี้อยู่ในใจ
ทันใดนั้นเอง หมอกสีดำก็ทะลักออกมาจากดวงตาของพวกเขา สีดำทะมึนเหล่านั้นกลืนกินดวงตาขาวไปจนหมดสิ้น ขณะเดียวกันรอบกายของพวกเขาก็ปรากฏหมอกดำทึมทึบออกมา
หากจะบอกว่าหมอกสีดำบนร่างของจีเฉวียนดูลึกลับชั่วร้ายชนิดครอบคลุมฟ้าดิน หมอกสีดำบนร่างของคนเหล่านี้ก็เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศแห่งความตายที่หนักหนา ทำให้ผู้คนต้องอึดอัดไม่สบายตัว
ยามผ่านไปที่ใด ก็เหมือนจะดูดเอาพลังชีวิตออกไปจนต้องแตกดับ
ตู๋กูซิงหลันไม่ชอบกลิ่นอายเช่นนี้จริงๆ
นางกำดาบในมือเอาไว้แนบแน่น ในดวงตาปราศจากความลังเลแม้แต่น้อย มุมปากก็ยังขยับโค้งขึ้นมา เลือดลมภายในร่างสูบฉีด ดูไปคล้ายจะตื่นเต้นสนุกสนานอยู่เหมือนกัน
นางยังไม่ทันได้ลงมือ ก็เห็นว่าคนเหล่านั้นชิงลงมือก่อนแล้ว
ทันทีที่หมอกสีดำแผ่กระจายออกมา ร่างกายของพวกเขาก็เริ่มกระตุก จากนั้นก็ค่อยๆเกิดความเปลี่ยนไป
ร่างกายที่เดิมทีก็สูงใหญ่ ตอนนี้บิดเบี้ยวไปจนส่งเสียงลั่นกรอบแกรบ พวกมันกำลังกลายร่างต่อหน้าต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน
จากที่แต่ละคนมีร่างกายแบบมนุษย์ธรรมดา ตอนนี้กลับกลายเป็นร่างมาร ใบหน้าของพวกมันมีกระดูกปุ่มปมงอกเงย ร่างกายก็เปลี่ยนเป็นทั้งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าเดิมอีกเท่าหนึ่ง บนร่างมีกระดูดปูดโปน ดูแล้วแหลมคมอันตรายที่สุด จนบ้านหินเล็กๆแห่งนี้อึดอัดคับแคบ ใกล้จะพังลงไปทุกทีแล้ว
เมื่อกลายร่างสำเร็จ ร่างกายของพวกมันก็ยังยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิมอีกนับสิบเท่า
แต่ละคนต่างก็ถลึงตาโตจ้องมองไปที่ตู๋กูซิงหลัน ราวกับว่าจะจับนางฉีกเนื้อหักกระดูกกลืนลงไป
พวกมันกลายร่างจนทำให้บ้านหลังนี้แทบจะไม่เหลือพื้นที่ว่างอีกแล้ว ต่อให้ตู๋กูซิงหลันเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วว่องไวเพียงไร ก็ยังคงไม่อาจหลบหนีออกไปได้อยู่ดี
นางหรี่ดวงตาดอกท้อลง จับจ้องมองดูพวกมันเช่นกัน ราวกับต้องการมองดูให้ชัดเจนว่า ตกลงแล้วพวกมันคือตัวอะไรกันแน่
หน้าตาแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ นางพึ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก
พวกมันมิได้ให้เวลาตู๋กูซิงหลันได้ไตร่ตรองแม้แต่น้อย แต่ละตนงอตัวดุจคันธนู พุ่งตัวเข้าใส่นางดุจลูกกระสุน
ไม่เพียงแต่พวกมันที่พุ่งเข้ามา หมอกสีดำที่มีบรรยากาศแห่งความตายรอบกายของพวกมัน ยามพัดผ่านไปที่ใด ก็ทำให้พืชพันธุ์สีเขียวบนกำแพงแห้งเหี่ยวตายไปในทันที
กลิ่นอายเหล่านั้นทำให้คนหายใจไม่ออก
ตู๋กูซิงหลันกุมดาบเอาไว้ ด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะ ‘อับจนหนทาง’ อยู่บ้าง
นางกำลังครุ่นคิดว่า ดาบเล่มนี้ดูเหมือนจะสั้นจนเกินไปแล้ว พวกมันกลายร่างจนใหญ่โตเสียขนาดนี้ ดาบเล่มเล็กแม้จะตัดลิ้นได้ แต่ว่าคงไม่อาจทำให้พวกมันเจ็บปวด
นางควรจะเปลี่ยนเป็นดาบที่เล่มใหญ่กว่านี้สักหน่อยจะดีกว่า
ขณะที่คิดอยู่นั้น เบื้องหน้าก็มองเห็นเงาสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามา จากนั้นก็กลายเป็นเงาของแผ่นหลังสีดำละอองทองสายหนึ่งตรงเบื้องหน้านาง
ตู๋กูซิงหลันมองดูเงาหลังเงานั้น หัวใจก็ต้องกระตุกขึ้นมาด้วยความยินดี นางกระโดดไปเกาะแผ่นหลังของคนตรงหน้า ราวกับเป็นกบเขียวตัวหนึ่ง จากนั้นก็คล้องคอเขาเอาไว้อย่างกระชับแนบแน่น เกาะเกี่ยวเขาราวกับว่าเป็นปลาหมึกยักษ์ตัวหนึ่ง
ใบหน้าน้อยๆนั้นยังยื่นออกมาจากด้านหลังของเขา “พี่ชายคนงาม ท่านมาแล้วววววว….”
นางดีใจมากเลย ราวกับลูกสุนัขตัวน้อยที่ไม่ทันระวังจึงหลงทางไป ตอนนี้ได้โผกลับเข้าไปในอ้อมกอดของเจ้านาย จนนางต้องขย่มตัวด้วยความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา
พวกมันต่างก็ตกตะลึงไป พวกมันพึ่งจะพุ่งเข้ามา ยังไม่ทันได้ลงมือ ก็ต้องถูกเงาร่างของบุรุษที่พึ่งจะโผล่ออกมา ขัดขวางเอาไว้เสียแล้ว
ประเด็นสำคัญก็คือ……บุรุษผู้นั้นก็มีหมอกสีดำครอบคลุมทั่วร่างเช่นกัน
เขาเองก็เป็นคนของเผ่ามารกระนั้นหรือ?
ไม่…..ไม่น่าจะใช่
จีเฉวียนมิได้สนใจพวกมันเลยสักนิด เขาสนใจแค่ว่าเจ้าดวงใจตัวน้อยมิได้เป็นอะไรเท่านั้น
“อืม ข้ามาแล้ว ไม่ต้องกลัว”
เขาตบหลังมือของนางเบาๆ อย่างอ่อนโยน
จากนั้น แววตาที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งก็กวาดมองไปยังร่างเหล่านั้น
ผลึกส่องมารที่พึ่งจะได้รับมา ยังอุ่นๆอยู่เลย ตอนนี้มันเรืองแสงขึ้นมาแล้ว
เพียงแต่ว่า แสงนั้นอ่อนจางมาก
ผลึกส่องมารไม่เพียงแต่ระบุตัวตนของพวกมารออกมา ทั้งยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังมารที่อยู่ในร่างของพวกมัน พลังมารยิ่งแข็งแกร่ง ผลึกส่องมารก็จะยิ่งส่องสว่าง พวกมารยิ่งอ่อนแออ แสงก็ยิ่งสลัว
คนของเผ่ามารกลุ่มนี้ ยังมิได้สะสมพลังเอาไว้มากพอ
ซิงซิงชักนำพวกมันออกมา
เขากวาดตามองไปยังสองคนที่ถูกตัดลิ้นไปแล้วกำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น มุมปากของเขาก็ต้องยิ้มน้อยๆออกมาอย่างเย็นชา
“พี่ชาย พวกมันรังแกข้า!” เมื่อตู๋กูซิงหลันมีที่พึ่งแล้ว ก็รีบดำเนินการฟ้องร้องในทันที “พวกมันล้วนเป็นคนเลว!”
ว่าแล้ว ก็ยังเสริมอีกหนึ่งประโยค “พวกมันยังด่าว่าข้าปัญญาอ่อน นู๋ไม่ได้ปัญญาอ่อนเสียหน่อย นู๋เป็นดวงใจของพี่ชายต่างหาก!”
ตู๋กูซิงหลันยู่ปาก เถียงอย่างจริงจัง
จีเฉวียน “ซิงซิงย่อมไม่ใช่ปัญญาอ่อน พวกมันต่างหากที่ใช่ พวกมันทั้งตระกูลล้วนปัญญาอ่อน”
ตู๋กูซิงหลัน “อืม ใช่แล้ว!”
เหล่ามาร “…..”
พวกมันไม่เพียงแต่รู้สึกว่าตนเองถูกดูถูกเหยียดหยาม ทั้งยังรู้สึกว่าทั้งสองพรอดรักกันอย่างน่าไม่อาย
เห็นแล้ว ต้องขนลุกขนพอง เลี่ยนจนเอียน!
ตู๋กูซิงหลันเกาะหนึบอยู่บนหลังของเขาอย่างสุขใจ หัวเราะคิกคักด้วยความพอใจอย่างที่สุด
เสียงหัวเราะนั่นบาดแก้วหูของคนเหล่านั้น พวกมันกางกรงเล็บขึ้นมา บุกเข้าไปหาคนทั้งสองอย่างไม่สนใจสิ่งใดอีก
แต่ก็ไม่อาจเข้าใกล้จีเฉวียนได้เลย เห็นเขาสะบัดแขนเสื้อขึ้นมาครั้งหนึ่ง ใต้แขนเสื้อก็ปรากฏดาบสีดำอมทองออกมา ดาบนั้นพุ่งออกไปแทงใส่พวกมันดังซวกจนพรุนเป็นกระชอน
แต่ละตนถูกพละกำลังมหาศาลผลักติดกำแพง ราวกับเป็นภาพแขวนใบหนึ่ง
เมื่อเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นี้ พวกมันก็ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะต่อต้าน!
นี่พวกมันได้รับข่าวสารผิดพลาดหรือไม่?
ดินแดนโบราณแห่งนี้มีพลังวิญญาณอ่อนจาง ผู้ฝึกตนมีจำนวนน้อย ผู้ที่บรรลุการบำเพ็ญเพียรยิ่งยากจะหาได้ แล้วทำไมคนสองคนที่ได้พบอย่างบังเอิญ…..ถึงได้เก่งกาจขนาดนี้?
ดาบสีดำอมทองแทงทะลุเลือดเนื้อและกระดูกของพวกมัน ตอกพวกมันตรึงติออยูบนกำแพง เพียงหลีกเลี่ยงจุดตายออกไปเท่านั้น
“ความอดทนของข้ามีจำกัด จะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” จีเฉวียนมองดูพวกมันอย่างเย็นชา ราวกับผู้มีอำนาจจากเบื้องบน
“มาจากที่ใด ยังมีพรรคพวกอยู่เท่าไหร่ มายังต้าโจวด้วยเหตุใด?”
จีเฉวียนไต่ถามแล้ว ก็พาตู๋กูซิงหลันไปนั่งข้างๆ ผลึกส่องมารที่เก็บเอาไว้ในอกยังคงส่องประกาย แต่ประกายแสงนั้นกลับไม่มีคุณค่าใดในสายตาของเขา
เหล่ามารต่างตกตะลึง จากที่คิดจะหุบปากเงียบเป็นเป็ดตาย แต่ว่าบรรยากาศที่ได้จากบุรุษผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
นั่นเป็นแรงกดดันที่ไม่อาจต่อต้านได้……
ต่อให้พวกมันเป็นมาร ก็ยังไม่อาจขัดขืน
ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินหนึ่งในนั้นเอ่ยปากขึ้นมา………………
……………..