ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 712 องค์หญิงหลีเกอ
ในตอนนั้น หยวนเมิ่งพลันหายเมาไปกว่าครึ่ง นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ต้นซิงคล้ายจะมีพลังดึงดูดที่รุนแรงขึ้นมา ทำเอานางจำต้องหยุดอยู่ที่ตรงนั้น
ต้นซิงโคลงเคลงไปมา กลีบดอกไม้สีแดงหล่นกระจาย ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดระเหยออกมาจางๆ
หยวนเมิ่งพึ่งจะปัดกลีบดอกไม้ที่ตกลงบนใบหน้าออกไป ก็เห็นเงาของผึ้งตัวหนึ่งบินออกมาจากในต้นซิง
นางชะงักไปครู่หนึ่ง อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นางกระพริบดวงตาถี่ๆ ค่อยเอ่ยออกไปคำหนึ่งว่า “เสี่ยวเฟิงเฟิงหรือ?”
“ฝ่าบาท” ทันใดนั้น เงาของผึ้งตัวนั้นก็เปลี่ยนเป็นแจ่มชัดขึ้นมา เพียงแต่ว่าหากเปรียบเทียบกับก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้ร่างกายของมันเป็นสีแดงราวโลหิต ร่างที่เป็นสีแดงดุจเลือดยังมีไอสีดำห่อหุ้มอยู่จางๆอีกด้วย ดูแล้วก็ช่างประหลาดนัก
เป็นเช่นนี้ มันกลับดูไปไม่คล้ายกับผึ้งพิษ
หยวนเมิ่งยังไม่ทันได้พูดอะไร ผึ้งตัวนั้นก็พุ่งเข้ามาบินวนอยู่รอบตัวนาง “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงเสียที”
ว่าแล้ว มันก็กระพือปีกรุนแรงกว่าเดิม ไอสีดำในร่างกำจายออกมา จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในหน้าผากของหยวนเมิ่งด้วยความรวดเร็ว
หยวนเมิ่งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พิงร่างเข้ากับลำต้นของต้นซิง ครู่เดียวหลังจากนั้นภาพจำนวนนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นมาในสมองของนาง ภาพมากมายหมุนวนอยู่ในจิตสำนึกของนาง ราวกับคลื่นน้ำทะเลที่ซัดโถมเข้าหานาง
ศีรษะปวดแปลบราวกับว่าสมองจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
นางพิงร่างไปกับลำต้นของต้นซิง ร่างกายเจ็บปวดไปทุกรูขุมขน
จนแทบจะหายใจไม่ออก
นางกดหัวใจเอาไว้ ไม่รู้ว่าใช้พละกำลังไปมากมายเพียงไร ถึงได้สามารถ อดทนจนผ่านพ้นไปได้
พักใหญ่ เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ในดวงตาคู่นั้นก็ปรากฏไอสีดำขึ้นมาจางๆ
ขณะเดียวกัน ผึ้งพิษก็บินออกมาจากหน้าผากของนาง แปลงร่างกายเป็นเงาคนสีดำ เงานั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงเบื้องหน้าของนาง
“องค์หญิงหลีเกอ ทรงเสด็จคืนมาแล้ว”
หยวนเมิ่งค่อยๆคลายมือออกจากหน้าอก ครู่หนึ่ง นางค่อยลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้ ความเจ็บปวดที่เดิมทีค้างคาอยู่บนสีหน้า กลับหายไปจนหมดสิ้น
นางมองดูร่างเงาสีดำที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ค่อยเอ่ยว่า “เจ้ายังมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้อย่างไร?”
“ตอนนั้น เจ้าฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นั้นตบข้าจนแหลกเละไปแล้ว….. แต่ว่าไทเฮาน้อยทรงมีพระเมตตา นำวิญญาณของข้ามาฝากเอาไว้ในต้นซิงต้นนี้ จึงทำให้สามารถเกิดใหม่ได้อีกครั้ง” เงาสีดำนั้นอธิบาย “และเพราะได้สะสมพลังกับต้นซิง ทำให้กระหม่อมจดจำเรื่องราวในชาติก่อนได้”
มันคือมารอสูรประจำตัวขององค์หญิงหลีเกอ ติดตามองค์หญิงมาเกิดใหม่พร้อมกัน จึงได้กลายเป็นผึ้งพิษที่มีจิตวิญญาณ
เดิมทีมันก็ยังคิดว่าตนเอง เป็นเพียงผึ้งพิษธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น จนกระทั่งช่วงที่พึ่งผ่านมานี้พลังมารเกิดความเคลื่อนไหว ในวังหลวงของแคว้นต้าโจวก็อุดมไปด้วยพลังพลังวิญญาณและไอทิพย์ที่แข็งแกร่ง จึงได้ปลุกมันขึ้นมาอีกครั้ง
“ไทเฮาน้อย….” หยวนเมิ่งเอ่ยชื่อนั้นเบาๆ “ที่แท้ตั้งแต่ตอนนั้น นางก็มิใช่ตู๋กูซิงหลันคนเดิมอีกแล้วหรือ?”
“นาง แข็งแกร่งจะตายไปพะยะค่ะ” เงาดำตอบ ตอนนั้นขณะที่ทุกคนยังไม่ทันรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไทเฮาน้อยผู้นั้นก็มีความสามารถถึงขึ้นที่ทำให้มันมาเกิดใหม่ได้แล้ว จุดนี้ แม้ว่าจะเป็นในตอนนี้ ก็ยังคงยากที่จะมีผู้ใดทำได้ละมั้ง
ผึ้งพิษพึ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของเด็กหญิงตัวน้อยดังมาว่า
“เสี่ยวหยวนหยวน!”
ทันทีที่ได้ยินเสียง ตู๋กูซิงหลันก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตรงหน้าของนาง
ไอสีดำในดวงตาของหยวนเมิ่งพลันจางหายไป เงาสีดำที่อยู่ข้างกายนางก็กลับเข้าไปอยู่ในหน้าผากด้วยเช่นกัน
นางดูไปแล้วมิได้มีอะไรผิดไปจากยามปกติที่ผ่านมาแม้แต่น้อย
“เอาแพะย่างทั้งตัวมาให้เจ้า” พอตู๋กูซิงหลันมาถึงตรงหน้า ก็ส่งแพะย่างทั้งตัวให้กับนาง
หยวนเมิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้ามาหาข้า เพราะแค่จะส่งแพะย่างให้เท่านั้นหรือ?”
เมื่อคิดด้วยสติปัญญาของตู๋กูซิงหลันในตอนนี้ นางคิดว่าเวลาที่ตนเองมีความสุขก็คือเวลาที่ได้กินเนื้อ จึงรู้สึกว่าหากหยวนเมิ่งได้กินแล้วก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน
แม้หยวนเมิ่งรู้ว่าสติของตู๋กูซิงหลันยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้ง จึงยื่นมือไปรับแพะตัวนั้นเอาไว้
พอเงยหน้าขึ้นมา เห็นดวงหน้าที่บริสุทธิ์จนไร้เดียงสา ในใจของหยวนเมิ่งก็รู้สึกสับสนจนบอกไม่ถูก
“หากว่ามีวันหนึ่ง สติปัญญาและความจำของเจ้าฟื้นฟูดังเดิม แล้วพบว่าข้า…”
พอพูดถึงตรงนี้ หยวนเมิ่งก็ชะงักไป “มิว่าจะอย่างไร ทุกสิ่งที่หยวนเมิ่งทำต่อเจ้า ล้วนทำด้วยความจริงใจ”
ตู๋กูซิงหลันฟังไม่เข้าใจว่านางกำลังพูดเรื่องอะไร จึงได้แต่เอียงศีรษะมองดูนาง
นางชอบหยวนเมิ่ง รู้สึกว่าหยวนเมิ่งช่างแสนงดงาม
พี่ใหญ่ไม่ชอบหยวนเมิ่ง ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเกินไปแล้ว
ไม่ไกลออกไป จีเฉวียนยืนอยู่บนหลังคาตำหนักหลังหนึ่ง สายลมยามดึกหนาวเย็น พัดจนอาภรณ์สีดำอมทองของเขาพลิ้วไหวขึ้นมา ท่ามกลางความมืดมิด ดวงตาหงส์คู่นั้นมีแต่ความเย็นชา
ผลึกส่องมารในอกเสื้อของเขาส่องประกายออกมา แต่กลับถูกเสื้อผ้าของเขาปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด
“ที่แท้….นางก็คือนาง….”
เขาหรี่ดวงตาลง มองไปยังตำหนักฉางซินกง แต่ก็มิได้ลงมือ
กับหยวนเมิ่ง จีเฉวียนไม่เคยมีความรู้สึกฉันท์ชายหญิงมาก่อน ตอนนั้นที่ตั้งนางเป็นพระสนมหยวนเฟย ก็เพราะเห็นแก่ความดีความชอบของบิดาของนาง
นางเติบโตในวังของแคว้นต้าโจวตั้งแต่เล็ก จีเฉวียนเอ็นดูนางดุจลูกพี่ลูกน้อง ที่มอบยศศักดิ์ให้กับนาง ก็เพราะเห็นว่านางในวัยเด็กช่างน่าสงสาร เขารู้สึกเหมือนได้เห็นเงาของตนเองในวัยเด็กจากตัวนาง จึงอยากให้นางได้มีชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง ก็แค่นั้น
แต่ตอนนี้ หากว่านางกล้าทำร้ายตู๋กูซิงหลันแม้แต่เพียงนิดเดียว จีเฉวียนก็พร้อมที่จะสังหารนางโดยไม่มีความลังเลใดๆ
ใครจะไปคิดว่า หยวนเมิ่งจะเป็นเผ่ามาร
ทั้งยังเป็นมารระดับสูงที่เก่งกาจมากอีกด้วย
……………………
ตำหนักฉางซินกง หยวนเมิ่งพาตู๋กูวิงหลันเข้าไปในเรือน
เหล้าของนางยังดื่มไม่หมด ตู๋กูซิงหลันก็ส่งแพะย่างมาให้ จึงพอดีได้ดื่มกินคู่กัน
ไทเฮาน้อยในตอนนี้ ล่อลวงได้ง่ายดายจะตายไป แค่เอ่ยเพียงไม่กี่คำนางก็ติดตามหยวนเมิ่งเข้าไปในเรือนแล้ว
หลังจากที่ดื่มไปหลายจอก ใบหน้าเล็กๆของตู๋กูซิงหลันก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับผลแอปเปิ้ลขึ้นมา ดูแล้วน่ารักอย่างยิ่ง
หยวนเมิ่งนั่งหลังตรง ดวงตาคู่นั้นตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของตู๋กูซิงหลันอยู่ตลอด
“ฝ่าบาท พลังวิญญาณของไทเฮาน้อยแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากว่าสามารถนำมาใช้ พลังมารที่ถูกผนึกเอาไว้ของท่าน อาจสามารถปลดผนึกออกมาได้อย่างสมบูรณ์”
ผึ้งพิษแฝงตัวอยู่ในจิตสำนึกของตู๋กูซิงหลัน ทั้งยังช่วยนางออกความเห็นอยู่ตลอด
หยวนเมิ่งมิใช่ไม่รู้ ตู๋กูซิงหลันในตอนนี้ก็เหมือนกับเนื้อติดมันชิ้นโต ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็มีคนริษยาอยากจะกลืนกินอยู่ตลอด
“ท่านมัวลังเลอะไรอยู่อีก นางดื่มจนเมามายไปแล้ว นี่นับว่าเป็นโอกาสอันประเสริฐ!”
ผึ้งพิษยังคงยุยงต่อไป “หากว่าฝ่าบาทฟื้นฟูพลังมารคืนมา ก็สามารถกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของโลกใบนี้ได้เลย
“แค่ต้องการพลังวิญญาณของนาง ไม่ใช่ว่าจะเอาชีวิตของนาง อย่าว่าแต่ตอนนี้นางก็ปัญญาอ่อนไปแล้ว ต่อให้มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ยังจะไปมีประโยชน์อะไร สิ้นเปลืองทรัพยากรไปเสียเปล่าๆ”
“เสี่ยวหยวนหยวน เจ้ามองข้าเหมือนเวลาที่นู๋มองเห็นเนื้อย่างเลย” ตู๋กูซิงหลันเมามายแล้ว นางหัวเราะออกมาอย่างขบขัน “เจ้าชอบข้าใช่ไหมเล่า?”
“ข้า….” หยวนเมิ่งอ้าปากค้าง แล้วก็ได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน “แน่นอนว่าต้องชอบเจ้าอยู่แล้ว”
เป็นความชื่นชอบอย่างชื่นชม ชอบอย่างมิตรสหาย
ว่าแล้วนางก็นั่งหลังตรงกว่าเดิม ชะโงกตัวมาด้านหน้า ยื่นมือเข้าไปหาตู๋กูซิงหลัน
ปลายนิ้วยังไม่ทันสัมผัสโดยตู๋กูซิงหลัน ลมเย็นสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง
มือข้างหนึ่งโอบอุ้มตู๋กูซิงหลันเข้าไปในอ้อมกอดของตนอย่างรวดเร็ว
…………..