ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 713 ฝ่าบาทยังติดค้างลาภยศชั่วชีวิตของข้า
ในเวลาเดียวกัน แววตาที่แหลมคมดุจใบมีดก็ทิ่มแทงออกมา
แววตานั่นทิ่มแทงคนจนรู้สึกเจ็บปวด มือของหยวนเมิ่งที่ยื่นออกมาได้แต่ค้างอยู่ที่เดิม
ผิวหนังของนางเจ็บแปลบราวกับถูกบาดออก
พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นจีเฉวียนในชุดสีดำทอดกำลังโอบอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ด้วยท่าทีที่ปกป้องหวงแหน
สายตาของเขาที่มองมายังนาง เย็นยะเยือก ระวังป้องกัน ทั้งยังมีไอสังหารเจือปนอยู่
เมื่อครู่นี้นาง….แค่คิดจะช่วยตู๋กูซิงหลันเช็ดคราบน้ำลายตรงมุมปากเท่านั้น
เรื่องนี้ ต่อให้นางพูดออกไป จีเฉวียนก็อาจจะไม่เชื่ออยู่ดี
“ฝ่าบาท….” ครู่หนึ่ง หยวนเมิ่งค่อยเอ่ยออกมา
จีเฉวียนอุ้มตู๋กูซิงหลันที่เมามายเอาไว้ มองดูนางจากเบื้องบน “เจ้าสมควรเรียกเราว่า ตี้โฮ่ว”
หยวนเมิ่ง “……”
เดี๋ยวก่อนนะ หากว่าเป็นแต่ก่อน คนที่เย่อหยิ่งอย่างจีเฉวียน บุรุษทั้งแท่งเช่นเขา มีหรือจะเต็มใจยอมเป็นตี้โฮ่ว?
หากมิใช่ว่านางรู้จักบุรุษผู้นี้มาสิบกว่าปี มีหวังต้องคิดว่าตนเองต้องหูฝาดไปแน่นอน
“เอาเถอะ ตี้โฮ่ว ก็ได้” หยวนเมิ่งเรียกออกไป ทำไมถึงได้รู้สึกว่าฟังแล้วมันแปลกๆอย่างไรไม่รู้
จีเฉวียนกอดสาวน้อยในอ้อมแขนเอาไว้อย่างแนบแน่น สาวน้อยถูกหยวนเมิ่งกรอกสุราไปไม่น้อย ทั่วทั้งร่างมีแต่กลิ่นสุรา เดิมทีความสามารถในเชิงสุราของนางก็ย่ำแย่อยู่แล้ว หากว่ายังคงดื่มต่อไป มีหวังต้องเกิดเรื่องแน่นอน
ตู๋กูซิงหลันมึนงงอยู่ในอ้อมแขนของเขา หากว่ายังเอ่ยปากพูดต่อไป กระเพาะคงยิ่งอึดอัด แค่อ้าปากก็อยากจะอาเจียนแล้ว
จึงตัดสินใจซุกเข้าไปในอ้อมอกของเขา ปิดตาหลับไปเลยดีกว่า
คราวนี้ จีเฉวียนเหลือบตามองดูหยวนเมิ่งด้วยสายตาที่เย็นชาอีกครั้ง “เจ้าไม่ควรเกิดความคิดอ่าน วางแผนการกับซิงซิง”
หยวนเมิ่ง “ข้าไม่เข้าใจว่าตี้โฮ่วหมายถึงเรื่องอะไร?”
กับไทเฮาน้อย…..นางไม่เคยวางแผนการใดๆทั้งสิ้น
ต่อให้เจ้าผึ้งพิษคอยกระพือไฟยุยงนางอยู่ตลอด หยวนเมิ่งกลับรู้จักตนเองดี นางอาจลงมือกับผู้ใดก็ได้ แต่จะไม่มีทางลงมือกับคนตระกูลตู๋กูอย่างเด็ดขาด
อย่าว่าแต่ นางยังเป็นไทเฮาน้อย
จีเฉวียนย่อมไม่เชื่อถือคำพูดของนางอย่างแน่นอน ดวงตาหงส์คู่นั้นมีแต่ความเย็นยะเยือก ที่ทำให้คนต้องสั่นสะท้าน
“เจ้าย่อมรู้จักตนเองดี อยู่ต่อหน้าเรา ต่อให้เสแสร้งอย่างไรก็ไร้ประโยชน์”
“ครั้งนี้ เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมา จะละเว้นเจ้าสักครั้ง” สายตาของเขาเหมือนจะมองหยวนเมิ่งให้ทะลุไป “หากว่ายังมีครั้งหน้า เจ้าจะต้องถูกแยกกระดูก แผดเผาเป็นเถ้าถ่าน”
หมายความว่า เรื่องนี้หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ก็คงต้องกลายเป็นขี้เถ้าไปตั้งแต่แรกแล้ว
แต่เพราะว่านางคือหยวนเมิ่ง จึงรอดพ้นไป
หยวนเมิ่งอ้าปากค้าง นางคิดจะอธิบาย แต่ว่าเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็พูดอะไรไม่ออก
นางจะอธิบายอะไรได้
นางคือหลีเกอแห่งเผ่ามาร เดิมทีก็ไม่เป็นที่ต้องการของหกภพภูมิอยู่แล้ว
ใครจะไปชื่อว่าเผ่ามารก็จะยังมีพวกที่ดีอยู่กัน?
หยวนเมิ่งเงยหน้าขึ้นไปมองเขา จีเฉวียนยังคงเป็นเช่นที่ผ่านมา ทั้งสูงส่งและดูแล้วเหน็บหนาวเย็นชา
เกรงว่าเขาคงหมายตานางเอาไว้แต่แรกแล้ว …..อาจจะมองฐานะของนางออกตั้งแต่แรกแล้วด้วยกระมั้ง
ส่วนนาง พึ่งจะรู้ฐานะที่แท้จริงของตนเอง….
ก่อนหน้านี้ นางคิดมาตลอดว่า ตนเองเป็นเพียงแค่หยวนเมิ่งเท่านั้น
ดังนั้นคำอธิบายนี้ แม้จะพูดออกไป เกรงว่าผู้อื่นได้ฟังเพียงคำเดียวก็คงคร้านที่จะสนใจต่อไปเสียแล้ว
จีเฉวียนพูดจบแล้ว ก็โอบอุ้มตู๋กูซิงหลันหันหลังจากไป
หยวนเมิ่งลุกขึ้นมา รีบเรียกเขาเอาไว้ “ฝ่าบาทยังทรงติดค้างคำสัญญาที่จะให้ข้าได้เสพสุขมีลาภยศไปชั่วชีวิต ในเมื่อหยวนเมิ่งมิอาจได้สมปรารถนา ยังสามารถวอนขอพระองค์สักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”
จีเฉวียนฝ่าเท้าที่ก้าวออกไปของจีเฉวียนชะงักลง ปรายตามองเล็กน้อย “เจ้าบอกมา”
“ข้าอยากจะ……รอให้ถึงหลังงานอภิเษกของพวกท่านค่อยจากไป ช่วงเวลานี้ โปรดอย่าได้เปิดเผยฐานะของข้าต่อผู้อื่น….”
หยวนเมิ่งปล่อยให้ตนเองจมอยู่ในความมืดมิด
ถึงแม้ว่าในเมื่อนางไม่ปฏิเสธเรื่องฐานะของตนเองจะทำให้เท่ากับว่าตัวนางก็ยอมรับความจริงข้อนี้ แต่ว่านางก็อยากจะหลับหูหลับตาไว้สักพัก นางอยากจะได้เห็นไทเฮาน้อยในวันแห่งความสุข
ในเมื่อนางไม่อาจได้รับความรักจากตู๋กูจุน แต่หากได้มองดูตู๋กูซิงหลันได้ลงเอยกับคนในดวงใจ หัวใจของนางก็ยังปลาบปลื้มไปด้วย
พอตราประทับมารของนางถูกผึ้งพิษปลดผนึกออกมา นางก็จดจำเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตได้มากกว่าครึ่ง ชาติกำเนิดเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่นางจะสามารถเลือกได้
นางกับตู๋กูจุนที่จริงก็ห่างไกลกันอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อมีฐานะเป็นเช่นนี้ เรื่องระหว่างพวกนาง ก็คงไม่มีทางเป็นไปได้เลยสักนิดใช่ไหม?
ตู๋กูจุน……ซือหนาน
หากว่าเขาคือซือหนาน พวกนาง….
หยวนเมิ่งถอนหายใจยาวออกมา หากเป็นยามปกติสีหน้าที่ประหลาดเช่นนี้คงไม่มีทางที่จะปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่เย่อหยิ่งและถือดีของนางได้เลย
จีเฉวียนยังไม่ตกลง
“หยวนเมิ่งวิงวอนท่านแล้ว”
หยวนเมิ่งยอมวางศักดิ์ศรีของตนเองลงแทบเท้าของเขาแล้ว
อยู่ๆตู๋กูซิงหลันที่เมามายจนหลับไปในอ้อมแขนของจีเฉวียน ก็พลันพึมพำออกมาว่า “อย่าได้ทำให้เสี่ยวหยวนหยวนเป็นทุกข์…..”
หัวใจของจีเฉวียนพลันอ่อนยวบลง
“ตกลง” เขาเอ่ยออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ถือโอกาสหยิบเอาหยกที่สุกใสชิ้นหนึ่งออกมาจากในถุงเฉียนคุน
หยกที่มีเนื้อนวลเนียนสีขาวสะอาด ภายในมีไอทิพย์ที่บริสุทธิ์เปล่งประกายออกมา
หยกชิ้นนี้ได้มาจากหินวิญญาณ จากหินวิญญาณที่บริสุทธิ์ผุดผ่องนับพันๆชิ้น จะสามารถเสาะหาหยกบริสุทธิ์ขนาดนิ้วโป้งเช่นนี้ได้สักชิ้นหนึ่ง มันจึงมีคุณค่าควรเมือง ต่อให้เป็นทองคำพันตำลึงก็ยังไม่อาจหาซื้อได้
แต่ว่าจีเฉวียนกลับยกหยกชิ้นนี้ให้กับหยวนเมิ่ง
“หยกชิ้นนี้สามารถสะกัดพลังมารของเจ้าเอาไว้ได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จงเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี”
หยวนเมิ่งประหลาดใจมาก นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า เพราะเพียงแค่คำพูดเพียงคำเดียวของไทเฮาน้อย เขาก็จะยอมรับปากตามคำขอของนาง ทั้งยังมอบของวิเศษเช่นนี้ให้กับนางอีกด้วย
ที่แท้เขา ….ก็มองฐานะของนางออกตั้งแต่แรกแล้วจริงๆด้วย
ตกลงแล้วจีเฉวียนมีพลังตบะถึงขั้นไหน หรือว่าจะมีฐานะเป็นผู้ใดที่มิอาจให้ผู้ใดรู้กันแน่ ตอนนี้นางก็ยังไม่รู้จริงๆ ทั้งยังไม่อยากจะรู้อีกด้วย
“ขอบพระทัย…..ตี้โฮ่ว” นางรับหยกชิ้นมามา อย่างมิได้คิดจะวางท่ายึกยักปฏิเสธแต่อย่างใด
หยกชิ้นนี้อุ่นมาก อบอุ่นเช่นเดียวกับมือของไทเฮาน้อย
“ไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณข้า เป็นซิงซิงที่ต้องการปกป้องเจ้า”
จีเฉวียนทิ้งคำพูดเอาไว้แล้ว ก็โอบอุ้มตู๋กูซิงหลันจากไป
บรรยากาศในตำหนักฉางซินกงเหน็บหนาวลงไปอีกในทันที สายลมหนาวพัดมาไม่มีหยึด
ครู่ต่อมา จิตมารของอสูรประจำตัวก็ค่อยออกมาจากหน้าผากของนาง
“องค์หญิงหลีเกอ …..หากว่าเมื่อครู่พระองค์ทรงลงมือให้เร็วกว่านี้อีกสักนิด ก็คงจะได้รับพลังวิญญาณจากไทเฮาน้อยผู้นั้นมาแล้ว……”
มันคล้ายจะไม่เข้าใจอะไรอยู่บ้าง ทั้งยังรู้สึกแสนเสียดาย โอกาสที่ดีงามเช่นนี้ กลับถูกฝ่าบาทละเลยไปทั้งๆอย่างนี้
“หุบปาก” หยวนเมิ่งถลึงดวงตาจ้องมองไปที่มัน “ไทเฮาน้อยมีพระคุณต่อเจ้า ต่อไปไม่อนุญาตให้พูดจาเช่นนี้อีก”
มารอสูร “……”
ก็มันเป็นอสูรของเผ่ามารมิใช่หรือ?
ในเมื่อเป็นมาร ก็สมควรมีแบบฉบับของมารสิ จะให้ไปรู้จักกตัญญูอะไรกัน?
นั่นมันมิใช่วิธีแบบมารอย่างพวกมันเสียหน่อย
แทนคุณด้วยความแค้น แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ จึงจะสมกับเป็นธาตุแท้ของมารอย่างพวกมันต่างหาก
สงสัยนางจะเป็นมนุษย์นานไปแล้ว ถึงได้ลืมแม้แต่อุปนิสัยของเผ่ามารเสียสนิท
หยวนเมิ่งเก็บรักษาหยกชิ้นนั้นเอาไว้อย่างดี “ในใต้หล้านี้ คนของตระกูลตู๋กู เจ้าและข้าจะไม่แตะต้องแม้แต่น้อย”
“องค์หญิง หรือนี่จะเป็นเพราะว่าท่านแม่ทัพใหญ่ซือหนาน…..” สัตว์อสูรมารไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนาง
“ตู๋กูจุนผู้นั้น อาจจะไม่ใช่ซือหนานก็เป็นได้ ต่อให้ใช่ องค์หญิงก็มิได้ทรงติดค้างอะไรเขา แล้วใยยังจะต้องรักษาน้ำใจฉันท์พวกมนุษย์เอาไว้ด้วยเล่า”
“นิสัยของพวกมนุษย์ คือสิ่งที่ใช้การไม่ได้ที่สุดในใต้หล้านี้”
หยวนเมิ่งมองดูมัน เสี่ยวเฟิงๆในตอนนนี้ มิได้เหมือนกับเสี่ยวเฟิงๆในตอนนั้นอีกแล้ว
โลกของเผ่ามารนั้นไร้น้ำจิตไร้น้ำใจ
มิว่าเรื่องใดๆ มันก็จะคำนึงถึงผลประโยชน์มาก่อนอยู่เสมอ นี่จึงจะเป็นอุปนิสัยของพวกมาร
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ให้แตะต้องก็ไม่อาจแตะต้อง หากว่าเจ้ากล้าฝ่าฝืน ก็ไม่ต้องมาเป็นอสูรของข้าอีกแล้ว”
…………………………