ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 722 ความจริง
สายตาของจีเฉวียน แม้ว่าจะกวาดมองมาจากจุดที่ห่างไกล แต่ก็สามารถทำให้หัวใจของผู้คนเหน็บหนาวขึ้นมา
ต่อให้เป็นจีเย่ว์ก็ไม่มีข้อยกเว้น
เขายืนตัวตรงดุจพู่กัน ดวงตาคู่นั้นมองไปยังเกี้ยวมงคลที่งดงามหลังนั้น
ฉางซุนซิ่วเห็นท่าทางที่อืดอาดยืดยาดของเขาก็ชักจะร้อนใจขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะเร่งเสียงสูงกว่าเดิม “อี้อ๋องพะยะค่ะ ท่านยังทรงรีรออะไรอยู่? คงมิใช่ว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่ากับตระกูลตู๋กูหรอกนะพะยะค่ะ? อย่าทรงลืมว่าที่อยู่ตรงหน้านี้คือนังตัวปลอมชัดๆ จะใจอ่อนไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”
เจ้าจีเย่ว์ผู้นี้ ช่างใช้การไม่ได้จริงๆ หากว่าเป็นตัวเขาละก็ จะต้องทำให้นังแพศยานั้นถูกกระชากหน้ากากลงมาเรียบร้อยไปแล้ว
พอถูกฉางซุนซิ่วเร่งรัด จีเย่ว์ก็ค่อยยกขลุ่ยในมือขึ้นมา เขามิได้พูด เพียงวางขลุ่ยไว้บนริมฝีปาก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของขลุ่ยดังออกมา
เสียงขลุ่ยเริ่มจากเสียงต่ำๆ เปี่ยมไปด้วยความเจ็บช้ำอย่างลึกล้ำ
เพียงแค่ได้ยินเสียงท่อนแรก ฝูงชนก็เกิดความรู้สึกเหมือนถูกก้อนหินก้อนใหญ่กดทับเอาไว้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรปลายจมูกแสบร้อนขึ้นมา
เสียงขลุ่ยบรรเลงไปครู่หนึ่ง ท้องฟ้าที่เมื่อครู่ยังคงสดใส ก็ถูกเมฆครึ้มปิดบังเอาไว้จนหมดสิ้น
สายลมเริ่มพัด ส่งเสียงดังหวีดหวิว
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในเกี้ยวมงคล ก็ยังได้ยินเสียงขลุ่ยนั้นด้วยเช่นกัน
เมื่อมองเข้าไปในม่านโปร่งสีแดง สายตาของนางอยู่ที่ร่างของจีเย่ว์ ด้วยความรู้สึกว่า เหมือนเคยเห็นคนผู้นั้นจากที่ใดมาก่อน
จีเฉวียนอยู่ข้างกายนาง คนหนึ่งอยู่ในเกี้ยว อีกคนอยู่นอกเกี้ยว มือของคนทั้งสองเกาะกุมกันเอาไว้อย่างแนบแน่น
เสียงขลุ่ยดังอยู่ในสายลม เหมือนจะแฝงด้วยกลิ่นเลือดจางๆ
ฉางซุนซิ่วมองดูอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่กล้าไปรบกวนจีเย่ว์ ได้แต่คิดว่าเขาคงกำลังจะเรียกจิตวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมออกมา
เขาและซือหลินต่างก็เคยเห็นเขาเรียกวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมออกมา ดังนั้นทั้งสองจึงเชื่อมั่นว่าจีเย่ว์สามารถจัดการกับนังตัวปลอมนั่นได้
เพียงแต่ว่าการเรียกออกมาในครั้งนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน ทำเอาเขารอไม่ไหวอยู่บ้าง
เขาจึงใช้เวลาที่ว่างอยู่ในขณะนี้ เล่นงานตู๋กูซิงหลันต่อไป “ทุกคนจงเบิกตามองดูให้ชัดเจน อีกเดี๋ยว ฮ่องเต้หญิงตัวจริงก็จะปรากฏออกมาแล้ว! นางจะต้องมาเผชิญหน้ากับนังตัวปลอมนี้อย่างแน่นอน!”
ทุกคนต่างก็ได้ยินคำพูดของเขา แต่ว่าไม่มีผู้ใดตอบรับ
หากมิได้เห็นด้วยตาของตนเอง พวกเขาจะไม่ยินยอมเชื่ออย่างเด็ดขาด
มิว่าราชครูจะป่าวร้องอย่างไร เหล่าราษฎรก็ยังคงรักษาความสงบนิ่งและความเชื่อมั่นเอาไว้ ไม่เชื่อถือหรือสรุปไปง่ายๆ
พวกเขาเอาแต่มองดูจีเย่ว์ ดูสิว่าตกลงแล้วคนผู้นี้กำลังจะทำอะไร
ทันทีที่ฉางซุนซิ่วพึ่งจะพูดจบ สายลมก็โหมแรงขึ้นมามากกว่าเดิม ปิ่นไม้ไห่ถางบนศีรษะของเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว
จากนั้น ก็เห็นบางสิ่งที่เหมือนกึ่งหมอกกึ่งควันลอยออกมาจากในปิ่นไม้
จากนั้นหมอกควันนั้นก็ลอยขึ้นไปยังเมฆทึบบนฟ้า ค่อยๆกลายเป็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง
คราวนี้ ทั้งหมดถึงได้เห็นชัดเจนขึ้นมา เงาร่างของคนผู้นั้น ช่างเหมือนกับฮ่องเต้หญิงไม่มีผิด!
อ้อ ดูเหมือนว่าจะอ่อนเยาว์กว่าฮ่องเต้หญิงอยู่สักสองปี เส้นผมก็เป็นสีดำ
พระเกศาของฮ่องเต้หญิงกลายเป็นสีเงินอมดำไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
พอได้เห็นรูปลักษณ์วิญญาณของร่างจริงปรากฏขึ้นมา ฉางซุนซิ่วก็วางใจแล้ว
เขาจะดูสิว่า คราวนี้ นังแพศยาตัวปลอมนั่นจะทำอย่างไร?
ส่วนจีเฉวียน ถึงตอนนี้ ก็คงจะสำนึกเสียใจอยู่ละมั้ง?
ในใจของฉางซุนซิ่วเบิกบานอย่างยิ่ง เขาไม่ได้รู้สึกยินดีเช่นนี้มานานแล้ว
ซือหลินเองก็กำลังจับตาดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ เห็นจีเย่ว์จัดการมาได้ถึงตรงนี้ นางเองก็วางใจแล้วเช่นกัน
จึงสั่งให้มารอสูรเสาะหาร่องรอยขององค์หญิงเผ่ามารต่อไป เจ้าตัวนี้มีพรสวรรค์ในการรับรู้ถึงความคงอยู่ของราชวงศ์ในเผ่ามารเป็นพิเศษ ขอเพียงวันนี้คนอยู่ที่นี่ เจ้าอสูรตนนี้จะต้องเสาะหาจนเจออย่างแน่นอน
ตอนนี้นางเพียงแต่ต้องรอคอยเท่านั้น
………………
อีกด้านหนึ่ง คนตระกูลตู๋กูทั้งสามต่างก็ตกตะลึงไปไม่น้อย
ตู๋กูซิงหลันได้รับการเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมจากพวกเขามาตั้งแต่เล็กจนโต รูปลักษณ์เช่นนี้ พวกเขาทั้งสามย่อมรูปจักชัดเจนอย่างที่สุด
ที่สามารถยืนยันได้ก็คือ จิตวิญญาณนั่น เป็นของจริง ไม่มีทางปลอมแปลงไปได้ เป็นหลันหลันจริงๆ….
กลับเป็นตู๋กูซิงหลันที่สงบนิ่งกว่า นางมองดูดวงวิญญาณที่อยู่ข้างกายจีเย่ว์ ก็แปลกใจจนอ้าปากกว้าง
ปลายนิ้วของนางชี้ออกไปที่วิญญาณดวงนั้น “นางทำไมถึงได้มีหน้าตาเหมือนกับข้าเลย?”
หยวนเมิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้าง “?”
เดี๋ยวก่อนนะ เจ้าทำแบบนี้มิเท่ากับว่าสารภาพออกไปเองหรอกหรือ?
พอได้ยินเสียงนั่นน ฉางซุนซิ่วก็คว้าโอกาสเอาไว้ในทันที เขาหัวเราะเสียงเย็นชาออกมา “ดูสิ ตัวปลอมผู้นี้ถึงกับสารภาพออกมาแล้ว!”
ว่าแล้ว เขาก็ส่งเสียงแหลมสูงกว่าเดิม “เจ้าตัวปลอม วันนี้เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ เจ้ายึดครองร่างกายของเจ้าของร่างไป ทั้งยังล่อลวงโอรสสวรรค์ต้าโจว หลอกลวงคนตระกูลตู๋กู ปิดบังผู้คนทั้งแผ่นดิน ความผิดของเจ้ามันยิ่งกว่าพันดาบหมื่นกระบี่ สมควรเฉือนเนื้อเถือกระดูก!”
ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าหนวกหูมาก”
ฉางซุนซิ่ว “…..” “เจ้าทนนั่งต่อไปไม่ไหวแล้วสินะ โกรธกริ้วขึ้นมาแล้วล่ะสิ?” ฉางซุนซิ่วเสาะหาข้อได้เปรียบ สถานการณ์ในตอนนี้เป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างมาก เขาไหนเลยจะยอมถอยให้?
จะต้องฉีกกระชากโฉมหน้าที่แท้จริงของนางผู้นี้ออกมาให้หมดให้จงได้
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ จีเฉวียนกลับมิได้เอ่ยอะไรเลยทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าเขามิได้คิดจะปกป้องตู๋กูซิงหลันสักเท่าไร
ฉางซุนซิ่วมองดูท่าทางของเขา ก็คาดเดาว่าในใจของเขาคงจะเกิดความหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว
จึงรีบดึงสายตากลับมา หันกลับไปมองดูดวงวิญญาณที่ออกมาจากปิ่นไม้ไห่ถาง เปิดทางขึ้นมาว่า “คุณหนูซิงหลัน เจ้ารีบบอกกับทุกคนสิว่า เจ้าต่างหากที่เป็นไทเฮาน้อยตู๋กูตัวจริง เจ้าตัวปลอมนั่นมายึดร่างกายของเจ้าไป นางมีโทษหนักหนาสมควรตาย”
ดวงวิญญานดวงนั้นยืนอยู่ที่ข้างกายจีเย่ว์ นางมีรูปโฉมเหมือนกับตู๋กูซิงหลัน เพียงแต่จิตวิญญาณดูแล้วอ่อนแอมาก
นางขมวดหัวคิ้วน้อยๆ มองดูจีเย่ว์ที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ค่อยหันไปมองดูตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนกำแพงสูง
พวกนางเดิมทีมีร่างกายเดียวกัน
เดิมทีนางก็กำเนิดขึ้นมาจากเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลัน เป็นส่วนหนึ่งของตู๋กูซิงหลันมาก่อน
เจ้าของร่างรึ….สตรีที่อยู่เหนือกำแพงสูงผู้นั้นต่างหากที่เป็นเจ้าของร่างที่แท้จริง!
นางมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง
ผู้คนทั้งหลายต่างก็แทบจะลืมหายใจไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาคิดไม่ออกแล้วว่าเรื่องราวสมควรเป็นเช่นไรกันแน่
ได้แต่รอให้นางเอ่ยปาก หวังจะได้ยินคำยืนยันที่ชัดเจนจากปากของนาง
“อย่ากลัวไปเลย พูดไปเถอะ มีข้าอยู่”
คราวนี้ จีเย่ว์ค่อยวางขลุ่ยลง เอ่ยออกมาเป็นประโยคแรก
น้ำเสียงนั้นช่างอบอุ่นอ่อนโยน อ่อนโยนจนสามารถหลอมละลายหิมะลงไปได้
เมื่อมีกำลังใจจากเขา
จิตวิญญาณดวงนั้นค่อยสามารถยืนได้อย่างมั่นคงกว่าเดิม
นางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ริมฝีปากสีแดงขยับยก เปล่งเสียงออกมา
“กราบทูลฮ่องเต้หญิง….”
น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคนั้นออกมา ให้ความเคารพนบนอบตู๋กูซิงหลันเป็นอย่างสูง
ฉางซุนซิ่ว “?”
ขณะที่เขายังไม่ทันจะได้รู้ตัว ก็เห็นว่าจิตวิญญาณดวงนั้นกำลังคุกเข่าลงไป คุกเข่าลงตรงหน้าตู๋กูซิงหลันด้วยความเคารพอ่อนน้อม
จากนั้นนางก็โขกศีรษะให้ สามครั้งติดๆกัน!
ฝูงชนต่างก็ตกตะลึงไปแล้ว นี่นับว่าเป็นการเผชิญหน้ากันตรงไหน?
ทำไมดูแล้วเหมือนจะไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่
…………………………..