ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 742 มีมารดาเช่นไรก็มีบุตรสาวเช่นนั่น
ภายในห้องฮว๋ายยู่รู้สึกว่าจิตใจไม่ค่อยสงบสักเท่าไรนัก ช่วงนี้นางได้รับแรงกดดันมากเกินไป
ตอนนี้ทั่วทั้งแดนสวรรค์ล้วนถูกซือเป่ยควบคุมเอาไว้หมดแล้ว นางอยากจะไปเฝ้าเทียนตี้สักเล็กน้อยก็ยังยาก ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของนางถูกจำกัดอยู่แต่ในตำหนักเทพสงคราม
หยูเอ๋อร์ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา
นางตามหาไปทั่วตำหนักเทพสงครามแล้วรอบหนึ่งก็ยังไม่เจอคน
ขณะที่กำลังจะกลับไป ก็เห็นในมุมมืดแห่งหนึ่งมีเสียงประหลาดที่ไม่ค่อยเหมาะสมนักดังออกมา
เหล่าเทพในแดนสวรรค์ มีอยู่มากมายที่จับคู่กันฝึกฝนวิชาซวงซิว การจะมีอะไรกันจึงมิใช่เรื่องใหญ่อะไร
นางหยุดฝีเท้าลง ไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่พอกำลังจะหมุนกลับ ก็ได้ยินเสียงอ่อนหวานของสตรีเอ่ยออกมาว่า “จ้านเสินเกอเกอ (พี่ชายเทพสงคราม) ในที่สุดข้าก็ได้เป็นสตรีของท่านแล้ว”
ขณะที่เสียงนั้นลอยเข้ามากระทบใบหู พริบตานั้น หัวใจของฮว๋ายยู่รู้สึกเหมือนโดนดาบแทงลงไปอย่างแรง
เสียงนั่นคือ?
สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ นางสาวเท้าไปยังเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วอย่างไม่อาจควบคุมจนถึงจุดที่มีมุมมืดสีดำ
หยูเอ๋อร์กำลังเสพสุขกับสิ่งที่ซือเป่ยมอบให้นาง
แม้ว่าที่จริงนางจะต้องทุกข์ทรมานเพราะพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างถูกดูดซับออกไป แต่ว่าในความทุกข์ทรมานนั้นก็ยังแฝงเอาไว้ด้วยความสุขสม นั้นเป็นความรู้สึกที่แสนจะซับซ้อนและสับสน เอาเป็นว่านางพอใจก็แล้วกัน
แม้กระทั่งเมื่อฮว๋ายยู่เกือบจะไปถึงตรงหน้าของคนทั้งสองอยู่แล้ว ตี้หยูเอ๋อร์ก็ยังคงไม่รู้สึกตัว
นางบิดกายไปมา กอดก่ายเคลื่อนไหวอยู่ในอ้อมอกของซือเป่ย ภาพที่ปรากฏอยู่นั้นเปิดเผยสู่สายตาของฮว๋ายยู่อย่างหมดเปลือก
ส่วนซือเป่ยนั้นหันหน้าให้กับฮว๋ายยู่ และแม้ว่าจะมองเห็นฮว๋ายยู่แล้ว เขาก็ยังไม่หยุดความเคลื่อนไหว แต่กลับเพิ่มความรุนแรงทารุณตี้หยูเอ๋อร์ยิ่งขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ
ส่วนตี้หยูเอ๋อร์กลับจมดิ่งอยู่ในความสุขสำราญ
ฮว๋ายยู่เห็นภาพทั้งหมด ใบหน้าที่เดิมเป็นสีเขียวคล้ำ ตอนนี้ถึงกับปราศจากสีเลือดไปแล้ว
นางตัวสั่นสะท้าน โกรธเคืองจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
ครู่หนึ่ง นางถึงได้ตะโกนออกไปว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไร?!”
ตี้หยูเอ๋อร์ถูกเสียงตะโกนของนางฉุดออกมาจากความสำราญ นางหันหน้ากลับไป ร่างสั่นสะท้าน
“หมู่…หมู่โฮ่ว!”
ครู่ใหญ่ ตี้หยูเอ๋อร์ถึงได้หาเสียงของตนเองเจอ
แต่ช่างน่าเสียดาย ตอนนี้นางรู้สึกหมดกำลัง พลังวิญญาณในร่างถูกสูบออกไปมากเกินไป ตอนนี้แม้แต่จะพูดนางก็หายใจไม่ทัน
ซือเป่ยกลับสงบนิ่ง เขากับตี้หยูเอ๋อร์ยังคงพัวพันกันอยู่ ทั้งยังไม่คิดจะขยับออกเลยสักนิด
“ก็อย่างที่เทียนโฮ่วทรงเห็นแล้ว ว่าธิดาของท่านเป็นฝ่ายโถมเข้ามาในอ้อมอกของข้าเอง”
เพราะเห็นซือเป่ยเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ตี้หยูเอ๋อร์จึงเอ่ยอย่างร้อนใจขึ้นมา นางรีบบอกกับฮว๋ายยู่ว่า “หมู่โฮ่ว ข้ารักจ้านเสินเกอเกอด้วยใจจริง ตอนนี้ข้าวสารก็กลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ท่านโปรดอนุญาตให้พวกเราอยู่ด้วยกันเถอะนะ”
“รอให้…รอให้ฟู่หวังทรงฟื้นขึ้นมา ก็ค่อยขอให้พระองค์พระราชทานสมรสให้ข้ากับจ้านเสินเกอเกอดีไหม?”
ซือเป่ยยังอยู่ในร่างของนาง ที่จริงแล้วการถูกคนรักกระทำต่อหน้าต่อตามารดาตนเอง นับว่าน่าอับอายอย่างที่สุด
แต่ว่าตี้หยูเอ๋อร์กลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แม้แต่ความสุขที่ได้รับก็ยังเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายส่วน
ฮว๋ายยู่รู้สึกว่าลำคอหวานวูบ เกือบจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว
“ทำไมข้าถึงได้คลอดตัวอัปยศอย่างเจ้าออกมาได้!”
มือของนางประคองอยู่บนหน้าท้อง สองตามืดมัวไปหมด ศีรษะหนักรู้สึกเหมือนจะเป็นลม
ซือเป่ยมองดูนางก็หัวเราะออกมา “เทียนโฮ่ว มีมารดาอย่างไรก็มีบุตรสาวเช่นนั้น ท่านด่าทอองค์หญิงเช่นนี้ มิเท่ากับว่าด่าตนเองไปด้วยหรอกหรือ?”
เขาหัวเราะออกมา ขณะเดียวกันหมอกสีดำในร่างก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นด้วย แม้แต่แววตาทั้งสองข้างก็ยังกลายเป็นสีดำสนิท
คำพูดของซือเป่ย ทำเอาตี้หยูเอ๋อร์ไม่เข้าใจอยู่บ้าง หมู่โฮ่วระวังรักษากริยา อยู่ในกรอบประเพณีเสมอ ไม่เคยกระทำเรื่องผิดใดๆทั้งสิ้น
“อ้อ องค์หญิง ลืมบอกท่านไปเลย ว่าเด็กในท้องของหมู่โฮ่วท่าน เป็นของข้าแม่ทัพเอง”
……………….