ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 749 หลีฉิง
อีกด้านหนึ่ง ซือเป่ยที่ถูกทอดทิ้งอย่างไร้คนสนใจใยดีก็ขุ่นเคืองขึ้นมา
ซือหนานมาถึงอย่างรวดเร็วเพียงนี้ ออกจะนอกเหนือความคาดหมายของเขาไปบ้าง แต่ว่าต่อให้เขารวดเร็วก็ไม่มีประโยชน์อะไร การเซ่นสังเวยเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว
หมอกเลือดที่ลอยอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบจะย้อมเสื้อผ้าจนชุ่มโชกได้แล้ว
สายลมพัดมา ค่อยๆรุนแรงขึ้นทุกที
เหล่ามารที่เดิมทีคุกเข่าอยู่บนพื้น ยามนี้พากันเงยหน้าขึ้นมา ในแววตามีประกายแสงแห่งความตื่นเต้นยินดี
“จอมมารปรากฏบนพิภพแล้ว!”
บนเวที ตู๋กูจุนกอดหยวนเมิ่งเอาไว้อย่างแนบแน่น เห็นดวงตาที่กระพริบของนางกำลังจะปิดลงไปอีก
“หยวนเมิ่ง ข้ายังมีคำพูดมากมายไม่ได้กล่าวกับเจ้า อย่าได้หลับไป” มือหนาหยาบของเขาตบลงบนแก้มของนางเบาๆ ในใจมีแต่ความร้อนรุ่ม แต่ยิ่งร้อนรนก็ยิ่งย่ำแย่
เขาพูดพลาง ก็พยายามถอดโซ่ตรวนออกจากตัวนาง
“ซือหนาน เจ้าคงไม่คิดว่าจะสามารถถอดโซ่ตรวนเหล่านั้นออกได้จริงๆใช่ไหม?” ซือเป่ยยื่นอยู่ด้านข้าง หัวเราะใส่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ในเมื่อผ่านมาก็ต้องเนิ่นนานหลายปีแล้ว เจ้าก็ยังคงไม่ยอมถอดใจจากนางมารผู้นี้ เช่นนั้นไยจึงไม่ตายไปพร้อมๆกับนางเสียเลยเล่า ถือว่าน้องชายอย่างข้าเห็นใจเจ้าก็แล้วกัน”
ขณะที่พูด ในมือของซือเป่ยก็ปรากฏง้าวเทพสงครามขึ้นมา
ท่ามกลางหมอกสีแดง ร่างของเขายังคงสวมเกราะสีเหลืองทองแวววาว บาดตาอย่างยิ่ง
ง้าวเทพสงครามด้ามนั้น แค่โบกสะบัดเพียงครั้งเดียวก็ก่อให้เกิดสายลมที่คมเหมือนใบมีดกรรโชกอย่างรุนแรง
ตู๋กูจุนมิได้หลบหลีก แค่รังสีของง้าวเทพสงครามนั่นพุ่งเข้ามา ฟันใส่เกล้าครอบผมของเขาจนแตกเป็นสองส่วน
เส้นผมถูกปล่อยสยายออกมา ลมพัดปลิวจนกระจายไปทั่ว
และเมื่อง้าวเล่มนั่นบุกเข้ามาถึงตัว เขาถึงได้ยกดาบยักษ์ขึ้นมาตั้งรับ
“ตึง!” ง้าวเทพสงครามและดาบยักษ์กระทบกัน ส่งเสียงดังกึกก้อง
จุดที่อาวุธทั้งสองกระทบกับเกิดเป็นระเบิดดอกไม้กระจัดกระจาย เป่าหมอกสีแดงรอบด้านออกไป จนพื้นที่โดยรอบชัดเจนขึ้นมา
พละกำลังของทั้งสองล้วนสูงล้ำ แต่ตู๋กูจุนจะอย่างไรก็พึ่งจะฟื้นคืนความทรงจำกลับมา ส่วนซือเป่ยดูดซับไอมารเข้าไปมากมาย เรี่ยวแรงจึงเหนือกว่าเขามากโข
แรงกระแทกครั้งนี้ ทำเอาฝ่ามือและหัวไหล่ของเขาถึงกับด้านชา แรงสะท้อนกลับถึงกับทำให้กระดูกหัวไหล่ของเขาแตกร้าว
“หึ ก็แค่ตั๊กแตนห้ามล้อรถเท่านั้น” ซือเป่ยหัวเราะเสียงเย็นชา หากมิใช่เพราะว่าตู๋กูจุนปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน ตนก็ยังไม่คิดจะคิดบัญชีกับเขาในตอนนี้
จะอย่างไรก็เป็นสายเลือดของตระกูลซือ ในเมื่อจะฆ่าเขาให้ตาย ย่อมสมควรเก็บเอาไว้เป็นสิ่งสุดท้ายมิใช่หรือ?”
แต่ในเมื่อเขาส่งตัวเองมาแส่หาความตาย ก็อย่าได้โทษว่าตนเองไม่คำนึงถึงความเป็นพี่น้องก็แล้วกัน
เมื่อเห็นว่าซือหนานฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว ก็แสดงว่ายังจะต้องมียมราชองค์อื่นหลงเหลืออยู่ในใต้หล้าอีกเป็นแน่
ซือเป่ยเป็นคนฉลาด แค่ใช้หัวแม่โป้งเท้าก็สามารถคิดออกได้แล้ว เผ่าหมิงคิดจะฟื้นฟูกำลังกลับคืนมาอีกครั้ง
อีกเดี๋ยวเดียว เขาก็จะได้รับพลังจากจอมมารแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่เห็นพวกยมราชเหล่านี้อยู่ในสายตาอีกต่อไป แต่ว่าเพื่อป้องกันเหตุผิดพลาด จะอย่างไรสมควรกำจัดเหล่ายมราชให้หมดสิ้นจะดีกว่า
คิดได้แล้ว ง้าวเทพสงครามในมือของเขาก็เร่งพลังเพิ่มมากกว่าเดิม อีกทั้งคราวนี้ยังเล็งไปที่ลำคอของซือหนาน
เขาชื่นชอบการตัดศีรษะผู้คนจริงๆ เมื่อจะได้ตัดศีรษะพี่ชายของตนเอง แค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นเหลือเกินแล้ว
…………….
ภายในรถม้า ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วมุ่น พี่ใหญ่บุกไปเพียงลำพัง ย่อมต้องมีอันตรายอย่างยิ่ง ข้อนี้นางรู้ดี
ดังนั้นตั้งแต่ก่อนที่ตู๋กูจุนจะบุกเข้าไป นางก็ได้จัดการแผนสำรองเอาไว้แล้ว
ในร่างกายของตู๋กูจุน มียันต์โลหิตของนางอยู่ ยามคับขันสามารถช่วยชีวิตได้
ซือเป่ยฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอยู่ในแดนสวรรค์มาตั้งนานหลายปี ส่วนพี่ใหญ่พึ่งจะฟื้นขึ้นมา เดิมทีก็มิใช่คู่มือของเขาอยู่แล้ว
หากมิใช่ว่าต้องการให้พี่ใหญ่เห็นเสี่ยวหยวนหยวนตายอย่างอนาถในอ้อมแขน ตู๋กูซิงหลันก็คงไปด้วยตนเองแต่แรกแล้ว
ตอนนี้นางได้แต่อาศัยความอดทนทั้งหมดที่มีอยู่ ชมดูผ่านบานกระจก
แต่ว่าสิ่งที่นอกเหนือจากการคำนวนของนางก็คือ ตู๋กูจุนถึงกับยังสามารถรับง้าวสงครามเล่มนั้นของซือเป่ยได้ครั้งหนึ่ง
ดาบยักษ์แม้จะสั่นสะท้านไปทั้งเล่ม แต่ว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แตกร้าว
ตู๋กูจุนกอดหยวนเมิ่งเอาไว้ในอ้อมแขน ลมพัดเส้นผมของเขาจนปลิวกระจายทั่วใบหน้า ท่ามกลางหมอกเลือดมากมาย สองตาของเขาแดงก่ำอย่างรุนแรง
“หยวนเมิ่ง หากว่าพวกเราสามารถรอดไปได้ล่ะก็”
เขากัดฟัน ในปากมีแต่เลือด
หากว่าพวกเราสามารถรอดออกไปได้ ข้าจะแต่งเจ้าเป็นภรรยา ต่อให้ฟ้าดินไม่ยินยอม ก็จะขอต่อต้านอย่างที่สุด
ใครก็ไม่อาจแยกพวกเขาออกจากกันได้ทั้งนั้น
พี่ใหญ่เป็นคนหยาบกระด้าง ไม่รู้จักพูดคำหวาน ต่อให้มีคำพูดน่าฟังก็ได้แต่เก็บเอาไว้ในใจ
ดวงวิญญาณของหยวนเมิ่งกำลังถูกฉีกทึ้งอย่างบ้าคลั่ง การรับรู้ของนางใกล้จะแตกสลายไปหมดแล้ว มิว่าตู๋กูจุนจะพูดอะไรนางก็ไม่ได้ยินทั้งสิ้น เห็นแต่เพียงสองตาที่แดงก่ำและมีน้ำตาไหลรินของเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขากอดนางอย่างแนบแน่นถึงเพียงนี้ อ้อมกอดของเขาช่างอบอุ่นเหลือเกิน
ที่สุดแล้ว ….เขาก็ยังมีความห่วงใยนางอยู่บ้างเหมือนกัน ใช่ไหม?
คำถามนี้ นางไม่อาจหาคำตอบได้อีกแล้ว
นางเจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บไปทั่วทั้งร่าง เจ็บจนไม่อาจทนรับได้อีกแล้ว
ขนตายาวกระพริบถี่ๆ ร่างกายในอ้อมกอดของตู๋กูจุนแตกสลาย ราวกับเป็นเพียงเศษกระเบื้องเปราะบางที่ถูกทุบทิ้ง จนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“หยวนเมิ่ง!” ตู๋กูจุนพยายามจะกอดนางให้แน่นกว่าเดิม “ไม่นะ อย่าได้ อย่าได้หายไป…”
แต่ยิ่งเขากอดเอาไว้ ร่างกายของหยวนเมิ่งก็ยิ่งแตกสลายอย่างรวดเร็วขึ้นไปอีก
เพียงครู่เดียวก็สลายกลายเเป็นเพียงหมอกควัน
“ไม่!” สิ่งสุดท้ายที่เขาไขว่คว้าเอาไว้ได้ ก็เป็นเพียงแค่เส้นผมปอยหนึ่งของนางเท่านั้น น่าเสียดายที่เส้นผมเหล่านั้น พอสัมผัสโดนมือของเขาก็กลายเป็นขี้เถ้าไป
หยวนเมิ่งสลายไปแล้ว ร่ายกายที่มีแต่บาดแผลนับร้อยกลายเป็นเพียงขี้เถ้า
ตายอยู่ในอ้อมแขนของเขา แม้แต่จิตมารของนางก็ถูกฉีกทึ้งจนหมดสิ้น
อ้อมแขนเหลือเพียงความว่างเปล่า ทั้งร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของหยวนเมิ่ง เขาหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง พริบตานั้นเหมือนถูกคนมาควักหัวใจทั้งดวงออกไปอย่างโหดเหี้ยม
ความเจ็บปวดนี้ ย่อมไม่อาจบรรยายออกไปได้
ตู๋กูจุนกุมดาบยักษ์เอาไว้ โดยมิได้สนใจซือเป่ยอีกแล้ว
ทันใดนั้น ง้าวเทพสงครามของซือเป่ยก็แทงลงมา แต่เขาจงใจเบนออกไปด้านข้างเล็กน้อย จนแทงทะลุหัวไหล่ลงไป
ทั้งๆที่น่าจะเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่ว่าตู๋กูจุนกลับไม่มีปกติกริยาใดๆทั้งสิ้น
ชาติก่อน ตอนที่เขารู้ว่าเผ่ามารถูกทำลายจนสูญสิ้น หลีเกอตายไป หัวใจของเขาก็เหมือนถูกมีดกรีดเช่นนี้เหมือนกัน
แต่ว่าฟ้าดินช่างไม่ยุติธรรม ความทรมานและโศกเศร้าเช่นนี้ถึงกับต้องการให้เขารับเอาไว้อีกครั้ง!
หัวเข่าของเขาอ่อนยวบลงไป ร่างคุกเข่าลงไปข้างหนึ่งบนพื้น หัวใจเย็นและปวดรวดร้าว ในปากหวานวูบ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องกระอักเลือดออกมา
“ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า จะให้เจ้าได้เห็นข้าซือเป่ยรวบรวมหกภพภูมิเป็นหนึ่งเดียว และนำพาเกียรติยศของตระกูลซือขึ้นสู่จุดสูงสุด!”
ซือเป่ยปรายตามองดูเขาอย่างเย็นชา มุมปากมีแต่รอยยิ้มที่โหดเหี้ยม
จิตวิญญาณสุดท้ายของหยวนเมิ่งถูกกลืนกินจนสูญสิ้น คราวนี้ สายลมในอากาศเปลี่ยนเป็นพัดหมุนขึ้นมาใหม่
หมอกสีแดงในอากาศถูกหมอกสีดำเข้าแทนที่ พระจันทร์บนท้องฟ้าถูกย้อมให้ดำมืดยิ่งไปกว่าเดิม
“ในที่สุดเขาก็มาแล้ว….”
ซือเป่ยเงยหน้าขึ้นมา มองดูพระจันทร์สีดำเหนือศีรษะ ในแววตามีความยินดีที่ปกปิดไว้ไม่มิด
เพียงครู่เดียว พระจันทร์สีดำดวงนั้นก็เปิดออกเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง มีไอสีดำท่วมฟ้าลอยออกมาจากถ้ำแห่งนั้น
พวกเขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไอสีดำนั้นรายล้อมเงาคนเอาไว้ผู้หนึ่ง
เพียงแค่ครู่เดียว เงาร่างของคนผู้นั้นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้พวกเขาอย่างรวดเร็ว
………….