ยัยหมอวายร้ายที่รัก - บทที่ 1394 ทำตัวติดดินไม่ดียังไง
ยัยหมอวายร้ายที่รัก บทที่ 1394 ทำตัวติดดินไม่ดียังไง?
แต่ในครั้งนี้ เพราะการวิจัยที่เขาชอบ เด็กชายตัวน้อยสามารถยับยั้งความคิดถึงและอาลัยอาวรณ์ในใจที่มีต่อน้องชายน้องสาวและแด๊ดดี้หม่ามี๊ได้ และกลับเลือกที่จะไปอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง
เส้นหมี่ภาคภูมิใจในตัวเขามาก
แต่อีกครึ่งเดือนต่อมา เมื่อคณาธิปที่พาเชียนหยวนล๋ายเย่ไปที่เมืองหลวงและเริ่มมีข่าวดีส่งมา
ที่เกาะกลางทะเลทางนั้น จู่ ๆ พี่ภาพก็โทรศัพท์มาหา
“คุณนายคะ ช่วงนี้คุณหนูชินจังไม่ค่อยพูดเลยค่ะ ทุกครั้งหลังจากที่เขากลับมาจากฐานวิจัยก็วิ่งเข้าไปในห้องเพื่อทำการทดลอง ฉันเรียกเขาก็ไม่สนใจ บางครั้งแม้จะหิวก็ไม่ยอมลงมากินข้าวเลยค่ะ”
“หา?”
พอเส้นหมี่ได้ฟังก็รู้สึกเจ็บปวดจี๊ดในใจขึ้นทันที
นี่คือ……ไม่กินไม่นอนใช่ไหม?
แต่เขาเพิ่งจะสิบเอ็ดขวบเอง จะใจจดใจจ่อได้ถึงขั้นนี้เลยเหรอ?
เธอเป็นห่วงมาก จากนั้นก็เลยโทรศัพท์หาถมัตถ์ ครูที่ปรึกษาที่กำลังสอนชินจังด้วยตัวเองอยู่ในตอนนี้ทันทีโดยไม่รอให้แสนรักกลับมาจากบริษัทก่อน
“คุณอามัตถ์ฉันหมี่เองค่ะ”
“หมี่เองเหรอ สวัสดีสวัสดี วันนี้ทำไมถึงว่างโทรหาฉันได้ล่ะ? ไม่ได้ยินเสียงเธอมานานมากเลยทีเดียว”
ถมัตถ์ ได้ยินเสียงของเธอก็รู้สึกดีใจมาก
เส้นหมี่เห็นเช่นนั้นก็เลยพูดทักทายไปสองสามประโยคผ่านในโทรศัพท์ จากนั้นค่อยเอ่ยถึงลูกชาย
“คุณอามัตถ์คะ เมื่อสักครู่ฉันได้ยินพี่ภาบอกว่า ช่วงนี้ชินชินพวกเราพอกลับถึงบ้านก็เอาแต่ทำการทดลอง แม้ข้าวก็ไม่ยอมกิน นี่เขาคือ……”
“อ๋อ อันนี้เหรอ คงจะเป็นเพราะช่วงนี้พวกเราได้เรียนรู้ถึงชิป core เธอยังไม่รู้ว่า เจ้าเด็กน้อยคนนี้ตอนที่อยู่ที่ฐานวิจัย ได้เห็นภาพและแบบจำลองที่พวกเรายิงปล่อย เขาดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก”
พอ ถมัตถ์ ได้ยินเรื่องนี้ จึงรีบอธิบายขึ้นมาอย่างหัวเราะชอบใจผ่านในสายโทรศัพท์ทันที
เป็นแบบนี้เหรอ?
พอเส้นหมี่ได้ฟังแล้ว วินาทีแรกก็ไม่สามารถสรุปความคิดเห็นได้เล็กน้อย
“หมี่ เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อาจจะเป็นเพราะเด็กคนนี้เขาใจจดใจจ่อเกินไป เอาแบบนี้ ฉันหาเวลาลองคุยกับเขาแนะแนวเขาดู บอกเขาว่าข้าวนั้นต้องกินนะ”
“ได้ค่ะ งั้นก็รบกวนคุณอามัตถ์ด้วยนะคะ”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว เส้นหมี่เองก็ไม่กล้าพูดอย่างอื่นต่อแล้ว
ตกเย็น แสนรักกลับมาจากบริษัท เส้นหมี่พูดเรื่องนี้กับเขา เขาเองก็ขมวดคิ้ว
แต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก
“รอผมเสร็จธุระสองสามวันนี้แล้วไปดูกันเถอะ ที่ถมัตถ์ พูดก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล ถ้าหากตอนนี้เขาไม่กินข้าว พิจารณาก็คือคนคนหนึ่งปิดกั้นมากเกินไปแล้ว ถึงตอนนั้นผมจะลองไปดูว่ามีวิธีการอะไรที่จะทำให้เขาแก้ไขปัญหานี้ให้ดีขึ้นบ้าง”
เขาก็นำเสนอการวิเคราะห์ของตัวเองออกมา
ซึ่งมันต่างกัน เพราะผู้ชายคนนี้ถือเป็นผู้ชายที่มีไอคิวระดับสูงสุด ถึงแม้รู้ว่าอาจจะเป็นการใจจดใจจ่อ แต่เขาก็ยังขยายไปยังจุดปัญหาอื่นอีกด้วย
พอเส้นหมี่ได้ฟังว่าเขามีวิธีการเรียบร้อยแล้ว หัวใจก็ค่อยรู้สึกโล่งใจลง
ต่อจากนั้นในช่วงสองสามวันนี้ เส้นหมี่ก็ไม่ได้ไปคิดถึงเรื่องนี้อีก บวกกับหลังจากที่คิวคิวกับหนูรินจังขึ้นเรียนถึงเกรดหกแล้ว ก็เริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมตอนต้นแล้ว เธอยังจะต้องเลือกโรงเรียนให้กับพวกเขา
“คุณแม่หนูรินจัง ฉันว่าทางที่ดีส่งลูกไปที่โรงเรียนศิลปะเถอะ คุณดูหนูรินจังของบ้านคุณกับชิชาของบ้านฉันต่างก็ชอบออกแบบเครื่องประดับกับเครื่องแต่งกาย พวกเราสามารถส่งพวกเธอไปเรียนสิ่งนี้ได้นะ”
“หา?”
ในที่ประชุมผู้ปกครอง หลังจากที่ประชุมเสร็จแล้ว มีผู้ปกครองคนหนึ่งเห็นเส้นหมี่จึงเดินมาคว้าแขนของเธอไว้ด้วยความตื่นเต้น
จนทำให้เส้นหมี่เองก็กระโดดโลดเต้นอยู่สักพักหนึ่ง
อันที่จริงเธอชอบมากที่ได้เห็นพวกเด็กได้กลับเข้าสู่ชีวิตในโรงเรียนปกติทั่วไป เพราะว่าสำหรับเธอแล้ว เพียงแค่ได้กลับมาสู่ที่เดิมถึงจะสามารถมีแรงบันดาลใจ
เหมือนโรงเรียนพวกตระกูลสูงศักดิ์เหล่านั้นก็เหมือนกับแบบพี่เลี้ยง คุณครูทุกคนหรือแม้แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนต่างก็คอยปรนนิบัติเอาใจเด็กชนชั้นสูงเหล่านั้น ซึ่งนั่นคือทำให้ความหมายของการศึกษาอบรมสั่งสอนนักเรียนได้สูญหายไป
“งั้นเหรอ แล้วคุณคิดว่าโรงเรียนศิลปะที่ไหนดีล่ะ?”
“ซีวายไง ฉันจะบอกคุณให้นะ ฉันมีลูกสาวของพี่สาวลูกพี่ลูกน้องก็เรียนเต้นรำอยู่ที่นั่น ตอนนี้ได้เป็นถึงตัวหลักสำคัญของโรงละครโอเปร่าไปแล้วล่ะ”
“จริงเหรอคะ?”
ทันใดนั้น เส้นหมี่ก็เผยให้เห็นถึงแววตาความอิจฉา
ในเวลานี้มีคนมองเห็นพวกเธอสองคน และเดินเข้ามาหา
“คุณแม่หนูรินจัง คุณแม่น้องชิชา พวกคุณอยู่ที่นี่กันเอง พวกคุณกำลังพูดถึงเรื่องโรงเรียนใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ คุณแม่น้องคอรีน คุณเตรียมให้ลูกสอบเข้าที่ไหนเหรอ? ฉันได้ยินว่า ตอนนี้โรงเรียนรัฐบาลเรื่องกฎระเบียบไม่ค่อยดี โรงเรียนเอกชนดีกว่า แต่คะแนนลูกของฉันปานกลาง ฉันอยากส่งไปเรียนที่โรงเรียนศิลปะ”
คุณแม่น้องชิชาคนนี้เห็นผู้ปกครองคนนี้เดินมา ก็เริ่มพูดยุยงขึ้นมาอีกครั้ง
เส้นหมี่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็รู้สึกว่าน่าขบขันเล็กน้อย
อันที่จริงเธอรู้ว่าคนเหล่านี้ก็คือพวกผู้ปกครองของเพื่อนสนิทลูกสาว ฉะนั้น พวกเธอมาหาเธอ เธอก็รู้สึกดีใจมาก
แต่หนูรินจังของเธอเหรอ ศีรษะน้อยๆ อันน่ารัก แต่อันที่จริงเรื่องคะแนนนั้นไม่ได้แย่ ไม่สามารถเทียบกับพี่ชายได้ แต่การไปเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมตอนต้นที่ดังๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา
“คุณแม่หนูรินจัง คุณคิดดีแล้วหรือยัง? จะให้สอบเข้าที่ไหน?”
“ฉันยังคิดไม่ได้เลยค่ะ ต้องกลับไปปรึกษากับพ่อของเขาสักหน่อย” เส้นหมี่รีบหาข้ออ้าง
“ก็ใช่ ยังต้องกลับไปปรึกษากับพ่อของเด็กด้วย งั้นพวกเราก็กลับกันก่อนเถอะ คุณแม่หนูรินจัง เดี๋ยวมีข่าวคราวแล้วบอกฉันหน่อยนะ ถ้าหากไปล่ะก็พวกเราก็ไปด้วยกัน”
“ใช่ ไปด้วยกัน”
เสียงดังเซ็งแซ่ ครู่หนึ่งกลุ่มแม่ๆ เจ็ดแปดคนก็รวมตัวเข้าด้วยกันอยู่ที่ตรงหน้าประตูทางเข้าโรงเรียนซึ่งช่างดูน่าตลกจริงๆ
แสนรักเองในเวลานี้ก็มารับคน เมื่อเขาเห็นภรรยาของตัวเองกำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับพวกแม่บ้านเหล่านี้มาจากในรถ
มุมตาของเขากระตุกหนึ่งที
นี่คือชีวิตติดดินในความหมายของเธองั้นเหรอ?