ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 0 บทนำ
ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 0 บทนำ
ทุกครั้งยามเมื่อถึงปลายฤดูใบไม้ผลิ กุหลาบพันปีบนเนินเขาหลังวัดโจคังในเมืองหลวงล้วนบานสะพรั่งทั่วทั้งเนินเขาราวกับเพลิงราวกับดอกถู [1] ก็ไม่ปาน
ขณะที่โจวเสาจิ่นเดินอยู่บนทางเท้าหินเล็กที่เนินเขาหลังวัดโจคัง รู้สึกว่าชีวิตตนเองนั้นเสมือนกับการดำรงอยู่ของดอกกุหลาบพันปี ที่ดูสวยสะพรั่งงดงาม ทว่าแท้จริงแล้วทัศนียภาพชั่วคราวนี้ อีกไม่ช้าก็จะเหลือเพียงความเงียบเหงาและโดดเดี่ยวหลังจากที่เ**่ยวเฉาไป
นางอดไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองไปยังศาลาที่อยู่บนยอดหุบเขา
ท่ามกลางความเขียวขจีที่ปกคลุม ศาลาสีแดงนั้นสว่างไสวแพรวพราว มุมหลังคาที่รังสรรค์มาอย่างประณีตนั้นหันขึ้นสูง ชายร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีฟ้าคราม พิงราวศาลามองไกลออกไปยังเบื้องล่าง ชายเสื้อที่ถูกลมบนยอดเขาพัดขึ้นนั้นโบกสะบัดขึ้นลงราวกับผีเสื้อ เผยให้เห็นกางเกงสีขาวดั่งหิมะ ดูเหมือนกับว่าจะอาศัยลมนี้เพื่อบินไป ร่างราวภาพวาดนั้น ช่างหล่อเหลา เจ้าสำราญ และอิสรเสรี อย่างอธิบายออกมาไม่ได้
โจวเสาจิ่นแสบตา จับแขนเสื้อแน่น
ปลายนิ้วแข็งเย็นยะเยือก
จิตใจของนางไม่สงบนัก ค่อยๆ เดินไปทางยอดหุบเขา
“เจ้ามาแล้ว!” สีหน้าของคนในศาลานั้นแสดงการต้อนรับและยินดีออกมา
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับยืนนิ่งและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เฉิงลู่ แท้จริงแล้วในมือของเจ้าไม่มีจดหมายที่ท่านพ่อของข้าเขียนให้ท่านลุงเฉิงใช่หรือไม่”
ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘เฉิงลู่’ ประหลาดใจ ขมวดคิ้วขึ้นแล้วกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เสาจิ่น เจ้าไปฟังใครพูดไร้สาระมาอีก พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ข้าเป็นคนเช่นไร เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ เดิมทีหากไม่ใช่ว่าอู๋เป่าจางเจตนาประจบประแจงท่านแม่ของข้า ทำให้ท่านแม่ของข้าเข้าใจผิด ท่านแม่ของข้าจะส่งคนไปที่ตระกูลอู๋เพื่อทำการสู่ขอได้อย่างไร เจ้ากับข้ายังจะมาแตกคอกันอีก ให้เฉิงสวี่ฉวยประโยชน์จากมัน”
ได้ยินเฉิงลู่กล่าวถึง ‘เฉิงสวี่’ สองคำนี้แล้ว สีหน้าของโจวเสาจิ่นซีดเผือดทันที มือและเท้าสั่นเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่อยู่
เฉิงลู่ตกใจที่พลั้งปากออกไป ความเสียใจสายหนึ่งฉายผ่านดวงตา รีบเปลี่ยนเรื่องแล้วกล่าวว่า “หลายปีมานี้ข้านึกถึงเจ้าด้วยความห่วงใยอยู่ตลอด ได้ยินมาว่าตระกูลเฉิงถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด ข้าจึงรีบเร่งออกเดินทางตั้งแต่ตอนกลางคืนจากหนิงโปมาที่นี่ เพราะกลัวว่าเจ้าจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเพราะท่านพ่อของเจ้า”
โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่งให้อารมณ์ของตัวเองสงบ เห็นเฉิงลู่ยังแสร้งทำเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องแล้ว นางอดไม่ได้กล่าวประชดประชันตัดบทเขาว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงอยากยื่นคำร้อง ฟ้องร้องท่านพ่อของข้าว่าเป็นพรรคพวกของตระกูลเฉิง ร่วมมือกับตระกูลเฉิง เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของตระกูลเฉิง?”
“เจ้าปรักปรำข้าอีกแล้ว!” เฉิงลู่ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็หน้าเปลี่ยนสี กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “หากข้ามีเจตนาจะฟ้องร้องท่านลุง ก็คงจะส่งจดหมายไปที่จวนท่านเจ้าเมืองตั้งนานแล้ว เหตุใดต้องรอถึงเวลานี้! ที่ข้ากล่าวเยี่ยงนี้ เพียงอยากให้เจ้าออกมาพบหน้าข้าเท่านั้น!”
โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบ
ที่เขาพูดมานั้นไม่ผิด!
หากไม่ใช่ว่าเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของท่านพ่อ นางซึ่งเป็นฮูหยินในห้องหอคนเดียว ไม่ว่าเฉิงลู่จะพูดอย่างไร นางก็คงไม่ออกมาพบเขา
เฉิงลู่เห็นเช่นนั้นแล้วก็อดไม่ได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกทีหนึ่ง กล่าวว่า “เสาจิ่น ท่านพ่อของเจ้าเป็นบุตรเขยของตระกูลเฉิง ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะกำจัดตระกูลเฉิง ทว่ายังต้องระมัดระวังที่ฝั่งเขยของตระกูลเฉิงนั้นล้วนเป็นปรมาจารย์หนังสือกวีและประวัติศาสตร์ที่สืบทอดกันมาของเจียงหนาน เกรงว่าจะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นจากกลุ่มบัณฑิตแห่งเจียงหนาน นี่จึงเป็นวิธีเดียวที่จะตัดปัญหาความยุ่งเหยิงได้เร็วที่สุด คือตั้งข้อกล่าวหาเฉพาะผู้นำตระกูลเฉิงบางคนเท่านั้น อย่างไรก็ตามใครจะกล้ารับประกันได้ว่าฮ่องเต้จะทรงไม่ชำระบัญชีในภายหลัง และจัดการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิงทั้งหมด? ถึงยามนั้นท่านพ่อของเจ้าย่อมไม่พ้นติดร่างแหไปด้วย แม้กระทั่งพี่เขยของเจ้า เลี่ยวเส้าถัง ในฐานะผู้สืบทอดของตระกูลเลี่ยว เพื่อปกป้องมรดกกว่าร้อยปีของตระกูลเลี่ยวแล้ว จำต้องขีดเส้นต่อตระกูลโจวให้ชัดเจนเสีย!”
“เมื่อถึงยามนั้นเจ้าจะทำเช่นไร”
“ยามนี้เจ้ายังมีแก่ใจจะดึงพี่สาวของเจ้าเข้ามาติดร่างแหด้วยอย่างนั้นหรือ”
“หากว่าเจ้ากับหลินซื่อเซิ่งเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันดีก็ดีอยู่หรอก ทว่าหลินซื่อเซิ่งผู้นั้นกลับเป็นพวกเอาใจอนุแต่ละเลยภรรยา พวกเจ้าแต่งงานยังไม่ทันข้ามปี เขาก็ใช้วิธีให้เจ้า ‘ไม่ต้องออกไป’ และรับสภาพเป็นแม่บ้านเฝ้าจวน รอจนกระทั่งแม่สามีของเจ้าตาย เขายิ่งใช้ข้ออ้างว่า ‘พักฟื้นร่างกาย’ เอาเจ้าไปทิ้งไว้ที่ทุ่งนา แล้วให้อนุผู้นั้นอยู่ในฐานะฮูหยินของจวน และยังมีลูกกับอนุผู้นั้นอีกสามคน วันหนึ่งหากว่าเจ้าไม่มีที่ให้พึ่งพิงแล้ว ตามนิสัยใจคอของเขา ไม่โยนหินลงบ่อ [2] ใส่เจ้าก็ถือว่าดีขนาดไหน เจ้าคิดจะรักษาตำแหน่งฮูหยินไว้ นั่นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว กลัวแต่ว่าเขาจะหนึ่งไม่ทำสองไม่พัก [3] แอบเติมอะไรลงไปในน้ำแกงสมุนไพร แล้วบอกแก่ผู้คนภายนอกว่าเจ้า ‘ป่วยตาย’ ไป เจ้าจะนั่งรอความตายอยู่อย่างนี้หรือ”
ขณะที่พูด ขยับมาข้างหน้าไม่กี่ก้าวก็ถึงด้านหน้าของโจวเสาจิ่น กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “เสาจิ่น เจ้าไปกับข้าเถอะ! พวกเราจะไม่ใส่ใจกับปัญหากวนใจใดๆ ที่เจอในโลกนี้อีก เพียงตั้งใจใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวเล็กๆ ของเราไปดีหรือไม่ ข้าในยามนี้ที่หนิงโปก็ถือได้ว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จผู้หนึ่ง ผู้คนที่พบเจอข้า ใครบ้างจะกล้าไม่เรียกข้าอย่างเคารพว่า ‘นายท่านเฉิง’ ข้าไม่ใช่เฉิงลู่คนที่ต้องพึ่งพาตระกูลเฉิง คนที่ไม่มีอำนาจคนนั้นอีกต่อไปแล้ว! ถึงยามนั้น ข้าจะปลูกเรือนที่เหมือนกับเรือนสวนดอกไม้หอมเรือนนั้นให้เจ้า แล้วปลูกดอกอวี้หลาน [4] ไว้ตรงหน้าประตูทางเข้า ปลูกต้นองุ่นไว้ภายในสวน ยามเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ เจ้าวาดภาพอยู่ตรงริมหน้าต่าง ข้าก็จะอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ ยามเมื่อถึงฤดูร้อน เจ้าผึ่งผมให้แห้งอยู่ใต้ต้นองุ่น ข้าก็จะช่วยเจ้าสางผมอยู่ข้างๆ เหมือนสมัยที่พวกเรายังเป็นเด็ก ดีหรือไม่”
สิบปีที่ไม่ได้เจอกัน นางไม่ใช่ดรุณีน้อยผู้อ่อนโยน น่ารักและขี้อายคนนั้นอีกต่อไป ร่างที่เคยบอบบางอยู่แล้วนั้นยิ่งผอมบางลีบราวใบไผ่ ผิวที่แห้งแตกนั้นก็ไม่ได้มีเลือดฝาดดั่งเมื่อก่อน ขาวซีดราวผ้าไหมดิบ ระหว่างคิ้วทั้งสองข้างมีรอยย่นสองสายที่หลงเหลือจากการขมวดคิ้วมาเป็นระยะเวลานาน ดูมีความกังวลแฝงอยู่อย่างยากจะปิดบัง แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังคงงดงามอย่างน่าอัศจรรย์ แต่เป็นเพราะว่านางผอมเกินไป อ่อนแอกว่าเมื่อก่อนมากราวกับไม่อาจรับน้ำหนักเสื้อผ้าไว้ได้ ทำให้คนที่เห็นเกิดความรักใคร่ และกลัวว่านางจะถูกลมบนยอดหุบเขานี้พัดจากไป
ผู้หญิงเช่นนี้ ควรจะให้ใครสักคนมาปกป้องดูแลถึงจะถูก!
คิดดังนั้นแล้ว เฉิงลู่อดไม่ได้ดึงโจวเสาจิ่นเข้ามากอดไว้แนบอก น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความคาดหวังและรักใคร่โดยไม่ตั้งใจ “ข้าปกป้องเจ้าได้! จะไม่ให้ใครมารังแกเจ้าได้อีก! ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเฉิงหรือตระกูลโจว พวกเราจะลืมไปให้หมด แล้วเริ่มต้นกันใหม่…”
คำพูดของเขาหยุดลงกะทันหัน และปล่อยโจวเสาจิ่นออกอย่างตื่นตระหนก
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าดวงตาของนางแดงขึ้นมาตอนไหน สายตาที่จับจ้องเฉิงลู่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ตามเจ้าไป? เช่นนั้นเจ้าจะวางภรรยาของเจ้าไว้ในตำแหน่งใดกัน เจ้าอย่าลืมว่า ยามที่เจ้าตกต่ำที่สุดนั้นเป็นพ่อตาของเจ้าที่ให้ความช่วยเหลือเจ้า ยามที่เจ้าหมดแล้วซึ่งหนทางที่สุดนั้นเป็นพ่อตาของเจ้าที่พาเจ้าไปทำการค้า สนับสนุนให้เจ้าทำการค้าเป็นของตัวเอง เจ้าถึงได้กลายมาเป็น ‘นายท่านเฉิง’ อย่างทุกวันนี้ได้! หรือจริงๆ แล้วเจ้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะหย่าภรรยาของเจ้าแล้วแต่งงานใหม่ ทว่าคิดจะล่อลวงด้วยคำพูดให้ข้าหนีตามเจ้าไป?”
ไม่น่าเชื่อว่าโจวเสาจิ่นที่เป็นคนว่านอนสอนง่าย ขี้อายและอ่อนแออยู่เสมอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดผู้นั้นจะทำร้ายเขาได้?
เฉิงลู่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก จนไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่น
เขาก้มหน้าลงมองไปที่หน้าท้องของตัวเอง
กรรไกรเหลืองวิบวับเล่มหนึ่งแทงลึกเข้าไปตรงหน้าท้องของเขา เลือดสีแดงสดไหลออกมาตามแนวกรรไกร ค่อยๆ ซึมไปตามเสื้อผ้าของเขาจนชุ่ม มือขาวเนียนละเอียดที่ถือกรรไกรไว้แน่นคู่นั้นก็แดงฉานไปด้วยเลือด ยิ่งทิ่มแทงสายตาของเฉิงลู่ให้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น
“เจ้าบ้าไปแล้ว!” เขามองไปที่โจวเสาจิ่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ และผลักนางออกไปอย่างแรง
ร่างอ่อนแอบอบบางของโจวเสาจิ่นเซไปสองก้าว แล้วก็ร่วงลงไปกองกับพื้น ฝ่ามือถูกหินบาด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเขลอะไปด้วยฝุ่น ทว่านางลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไปหาเฉิงลู่ที่กำลังใช้ผ้าอุดหน้าท้องโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “กระทั่งวันนี้ เจ้าก็ยังคิดจะหลอกลวงข้าอีก! ข้าไม่ใช่โจวเสาจิ่นเมื่อสิบปีก่อนคนนั้นอีกแล้ว วันนั้นข้าเห็นเจ้า เจ้ายืนอยู่ที่ใต้ต้นดอกกุหลาบเลื้อย สวมรองเท้าสีเขียวเข้มทรงก้อนเมฆคู่นั้น เจ้าเห็นข้าถูกไอ้สารเลวเฉิงสวี่รังแกเยี่ยงนั้น กลับไม่เอ่ยอะไรเลยสักคำ มาตอนนี้ยังข่มขู่ข้า พูดว่ามีหลักฐานที่ท่านพ่อของข้าร่วมมือกับท่านลุงเฉิงอยู่ในมือ พูดว่าพี่สาวของข้า พี่เขยของข้าจะถูกตระกูลโจวดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พูดว่าหลินซื่อเซิ่งจะฆ่าข้า พูดไปพูดมา เจ้าเพียงแค่ต้องการให้ข้าแต่งงานกับเจ้า ข้าอยากให้ตัวเองไม่เคยรู้จักเจ้า! เจ้ามันจอมวายร้ายผู้น่ารังเกียจ!”
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของนางอย่างห้ามไม่อยู่
นางอยากจะแทงเฉิงลู่อีกครั้ง แต่มือที่อาบไปด้วยเลือดนั้นทำให้แขนขาของนางอ่อนแรงลง จนหมดปัญญาจะดึงกรรไกรออกมาจากตัวของเฉิงลู่ ทว่าจะให้นางทิ้งโอกาสที่จะได้ฆ่าเฉิงลู่ นางก็ไม่เต็มใจนัก จึงทำได้เพียงบิดกรรไกรอย่างสะเปะสะปะเท่าที่จะทำได้
การกระทำเยี่ยงนี้กลับทำให้บาดแผลของเฉิงลู่ขยายใหญ่ยิ่งขึ้น
เขาเจ็บปวดจนเหงื่อเย็นไหลออกมาไม่หยุด สติกลับมาอีกครั้ง
เรื่องราวในปีนั้นถูกเปิดเผยออกมา โจวเสาจิ่นที่เชื่อฟังและทำตามคำพูดของเขามาตลอดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ามีปากเสียงกับเขา ทำให้เฉิงลู่ฉุนบันดาลโทสะ
เขาตบหน้าโจวเสาจิ่นอย่างเ**้ยมโหดไปฝ่ามือหนึ่ง สบถด่าว่า “หญิงโสโครก! เจ้าก็เป็นเพียงผู้หญิงมีตำหนิที่เฉิงสวี่เคยนอนด้วยและไม่เอาแล้ว มีสิทธิ์อะไรมาซักไซ้ข้า? ไม่ใช่เป็นเพราะเหตุผลนี้หรือ หลินซื่อเซิ่งถึงไม่เคยเข้าห้องของเจ้า? เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูรองแห่งตระกูลโจวผู้นั้นอยู่หรือ”
โจวเสาจิ่นไม่หลบ ปล่อยให้ฝ่ามือของเขาตบเข้าที่ใบหน้าของตนเอง
นางเพียงเม้มริมฝีปากแน่น จับกรรไกรแน่นไม่ปล่อยอย่างสุดชีวิต
เฉิงลู่เพิ่งจะตระหนักถึงเจตนาของโจวเสาจิ่น
เขาไม่สามารถผลักโจวเสาจิ่นออกไปได้ บริเวณที่ถูกแทงก็ปวดร้าวยิ่ง ทำให้เขาเริ่มกลัวขึ้นมา
เขาจะตายอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ
เขาบีบคอของโจวเสาจิ่นแน่นตามสัญชาตญาณ กล่าวอย่างร้อนรนว่า “เจ้าคิดว่าในสารรูปเยี่ยงนี้จะสามารถฆ่าข้าได้อย่างนั้นหรือ เจ้าฝันไปเสียเถอะ! ข้าจะบอกความจริงให้เจ้า ยามที่ตระกูลเฉิงถูกตรวจสอบและยึดทรัพย์สินนั้น ถึงแม้ว่านายท่านเฉิงแห่งจวนสี่จะหลบหนีไป และมาช่วยเฉิงสวี่หนีออกจากลานประหารไปได้ในภายหลัง แต่เจ้าหน้าที่จากทางการก็ตามจับพวกเขาไปทุกหนทุกแห่ง ครั้งก่อนพวกเขาถูกคนพบเห็นอยู่ที่เมืองไหวฮั่วแห่งหูก่วง เฉิงสวี่ถูกตัดแขนด้วนไปหนึ่งข้าง! เขาเป็นลูกชายคนโตของจวนตระกูลเฉิงสายตรงแล้วอย่างไร เขาคือชายหนุ่มอายุสิบเก้าที่สอบผ่านข้อสอบของราชสำนักเป็นลำดับที่หนึ่งแล้วอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นเพียงหนูบนถนนที่ผู้คนต่างตะโกนด่าและไล่ตี แม้แต่ตัวเองก็ยังดูแลไม่ได้! เจ้าเฝ้ารอให้เขามาช่วยเจ้า สู้เจ้าไปหลับนอนกับหลินซื่อเซิ่งสักคืนยังจะดีเสียกว่า ไม่แน่ว่ายามหลินซื่อเซิ่งเห็นว่าเจ้าคือคนที่อยู่ในใจของเฉิงสวี่ อาจจะเหลือทางไว้ให้เจ้าได้มีชีวิตต่อบ้าง!”
เฉิงสวี่!
ยามได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง โจวเสาจิ่นมึนงงไปชั่วขณะ ไม่มีกะจิตกะใจจะโต้แย้งวาจาประทุษร้ายของเฉิงลู่
นางนึกขึ้นได้ว่าในช่วงปีสองปีที่นางเพิ่งมาถึงเมืองหลวงนั้น เฉิงสวี่มักจะมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูเรือนของพี่สาวนางตอนวันเกิดของนางในเดือนสิบสอง
หิมะห่าใหญ่ตกลงมาบนตัวเขา กองสุมจนเขากลายเป็นมนุษย์หิมะ
ต่อมานายท่านเฉิงแห่งจวนสี่มาพบเข้า ให้คนจับเขาขึ้นรถม้า เขาก็ไม่มาอีกเลย!
ทว่าตอนนี้ หากเขาตามมาถึงที่นี่ นางก็ไม่กลัวอีกแล้ว
นางไม่ได้คิดเลยว่าจะเดินออกจากวัดโจคังขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่!
จะถูกเฉิงลู่ฆ่า!
หรือปลิดชีพตัวเอง!
นางรู้ดีว่ากรรไกรไม่เพียงพอที่จะทำให้เฉิงลู่ตายได้
ทว่านางไม่อาจหาอุปกรณ์ที่ดีกว่านี้ลอบฆ่าเฉิงลู่อย่างเงียบๆ ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อของนางในยามนี้ยังดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ในราชสำนัก พี่สาวและพี่เขยยังคงปลอดภัยดี สถานที่ที่นางมาพบเฉิงลู่นี้ก็เป็นวัดโจคังที่นางมาสวดมนต์เป็นประจำตลอดทั้งปี หากว่านางตายอยู่บนเขาหลังวัดโจคังเยี่ยงนี้ เฉิงลู่ผู้นี้ก็ไม่อาจหลบหนีจากข้อกล่าวหาที่ขืนบังคับฮูหยินจากตระกูลที่มีเกียรติไปได้!
ถึงแม้ว่าเขาอยากจะแจ้งความเท็จต่อตระกูลโจวก็ทำไม่ได้แล้ว!
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!
ชีวิตนี้ของนาง เพราะหลงรักเฉิงลู่ ทำให้ท่านพ่อผู้คงความยุติธรรมต้องขายหน้า ทำให้พี่สาวผู้อ่อนโยนและมีความสามารถต้องใจสลาย ทำให้ท่านลุงเฉิงต้องแตกหักกับตระกูล สิ่งที่นางสามารถทำได้ในตอนนี้ หากทำให้ท่านพ่อสามารถลดศัตรูได้คนหนึ่งก็ให้ลดไปคนหนึ่ง หากทำให้พี่สาวสามารถลดอันตรายไปได้ส่วนหนึ่งก็ให้ลดไปส่วนหนึ่ง ยามเมื่อตนต้องไปพบท่านลุงเฉิงที่น้ำพุเหลือง [5] จะได้สามารถปกปิดใบหน้าไว้แล้วทำความเคารพต่อท่านได้
ส่วนชื่อเสียงของนางนั้น ได้ถูกทำลายไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว ยังจะมีอะไรให้ต้องกังวลอีก!
นางเงยหน้าขึ้น ในดวงตาเป็นสีฟ้าของท้องฟ้า
ช่างงดงามยิ่งนัก!
เหมือนกับที่นางเคยเห็นยามเอนตัวนอนอยู่ในสวนดอกไม้หลังจวนตระกูลเฉิงสมัยที่ยังเป็นเด็ก
ในยามนั้น พี่สาวยังไม่ได้แต่งงานออกไป เฉิงเจียยังไม่ตาย นางก็ยังไม่ถูกพวกเขาและเฉิงลู่รวบเข้ากลุ่ม
พวกนางเรียนรู้และปฏิบัติตามวิถีของบรรพบุรุษ จัดงานละเล่นการดื่มจากจอกที่ลอยอยู่บนลำธารที่คดเคี้ยว [6] ดีดพิณ เป่าขลุ่ย จับผีเสื้อ แข่งไขว้ต้นหญ้า กระโดดโลดเต้น เล่นส่งเสียงดัง…
นางเสียดายยิ่งนัก!
นางตกหลุมรักจอมเสแสร้งอย่างเฉิงลู่ตั้งแต่แรกได้อย่างไร
หากว่าสามารถย้อนกลับไปได้ก็คงจะดี
นางจะเปิดตาให้กว้าง ดูจิตใจคนให้ทะลุปรุโปร่ง จะไม่อ่อนแอเช่นนั้นอีก และจะอยู่ให้ไกลจากเฉิงลู่…
…………………………………………………………
[1] ราวกับเพลิงราวกับดอกถู (如火如荼) หมายถึงแดงราวกับสีของเพลิง ขาวราวกับสีของดอกถู อธิบายถึงสิ่งที่มีพลังและมีชีวิตชีวา
[2] โยนหินลงบ่อ (落井下石) หมายถึงการโยนหินใส่คนที่ตกลงไปในบ่อ หรือตีคนด้วยหินซ้ำยามเขาล้ม
[3] หนึ่งไม่ทำสองไม่พัก (一部做,二不休) หมายถึง หากไม่ยินยอมที่จะทำไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ทำ แต่หากว่าทำแล้วก็จะทำอย่างถึงที่สุด
[4] ดอกอวี้หลาน (玉兰花) เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ดอกแมกโนเลีย
[5] น้ำพุเหลือง ในภาษาจีนเรียกว่า “หวงเฉวียน (黄泉) ” หมายถึงแดนคนตาย
[6] งานละเล่นการดื่มจากจอกที่ลอยอยู่บนลำธารที่คดเคี้ยว เป็นการละเล่นอย่างหนึ่ง มีจอกน้ำชาหรือจอกเหล้าลอยไปตามลำธารที่คดเคี้ยว ผู้ร่วมเล่นจะหยิบจอกที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าของตนขึ้นมาดื่มแล้วต่อกลอนกัน ในภาษาจีนเรียกว่า “หลิวซางชวีสุ่ย (流觞曲水) ”