ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 114 ยกน้ำชา
เฉิงฉือมองโต๊ะที่ว่างเปล่า หัวเราะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ส่วนโจวเสาจิ่นตรงเข้าไปที่ห้องน้ำชา ใบหูยังคงร้อนฉ่า
หวังว่าอีกประเดี๋ยวตอนที่นางเข้าไปอีกครั้ง ท่านน้าฉือจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย
โจวเสาจิ่นเดินไปยังหน้าเตาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำไปทั้งหน้า โดยไม่ได้สังเกตเห็นชิงเฟิงและหลั่งเย่ว์ที่นั่งกินถั่วปากอ้าทอดอยู่ตรงมุมห้อง
เมื่อชิงเฟิงและหลั่งเย่ว์เห็นโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองคนอดไม่ได้แลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นแดงก่ำ แค่มองก็รู้ได้ว่าผ่านการร้องไห้มา
หลั่งเย่ว์ใช้ศอกกระทุ้งชิงเฟิง
ชิงเฟิงโอดครวญเสียงเย็นเบาๆ เสียงหนึ่ง แล้วหันหน้าหนี
หลั่งเย่ว์ไม่มีทางเลือก ยิ้มออกมาอย่างอับจนหนทาง พลางล้วงถั่วปากอ้าทอดออกมาจากกระเป๋ายื่นไปตรงหน้าโจวเสาจิ่น
“คุณหนูรอง” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส “ถั่วขอรับ”
โจวเสาจิ่นนั้นคุ้นเคยกับอาหารสดใหม่ที่มีรสอ่อน อาหารเช่นถั่วปากอ้าทอดนี้ โดยปกตินางจะไม่ทาน แต่นางยังคงกล่าวขอบคุณยิ้มๆ พลางรับถั่วปากอ้าทอดนั้นมาเก็บไว้ในกระเป๋า แล้วนางก็เห็นชิงเฟิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กตรงมุมกำแพง
นางหันไปยิ้มพลางพยักหน้าให้ชิงเฟิง
ชิงเฟิงกลับแสดงสีหน้าเรียบเฉย
โจวเสาจิ่นเองก็คร้านจะใส่ใจเขาอีก ยกกาต้มน้ำไปเติมน้ำ
หลั่งเย่ว์รีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ให้ข้าช่วยขอรับๆ”
“ไม่เป็นไร” โจวเสาจิ่นปฏิเสธยิ้มๆ
ตอนนี้นางจำต้องทำอะไรสักหน่อยเพื่อให้ตัวเองลืมเรื่องน่าอับอายเมื่อครู่นี้
โจวเสาจิ่นเติมน้ำเสร็จแล้ว ก็นำกาต้มน้ำไปวางลงบนเตา หยิบพัดผูซ่านที่อยู่ใกล้มือขึ้นมา จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กด้านหน้าเตาแล้วพัดเตาให้มีลมตีขึ้นมา
“คุณหนูรอง ให้ข้าช่วยเถิดขอรับ!” หลั่งเย่ว์ไปหยิบพัดผูซ่านที่อยู่ในมือของโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “นายท่านสี่ของพวกข้าเข้มงวดยิ่งนัก จะชงชาก็ต้องเป็นผู้ที่มีหน้าที่ชงชา จะต้มน้ำก็ต้องเป็นผู้ที่มีหน้าที่ต้มน้ำ ท่านอย่าได้เกรงใจข้าเลยขอรับ หากว่าขี้เถ้ากระเด็นขึ้นมาทำให้มือของท่านสกปรกจะทำอย่างไร ท่านไปนั่งรออยู่ข้างๆ ประเดี๋ยวข้าต้มน้ำเสร็จแล้วจะเรียกท่านก็แล้วกันขอรับ!”
“อย่างนั้นหรือ” โจวเสาจิ่นลังเลเล็กน้อย
ครั้งก่อนตอนที่นางเจอท่านน้าฉือที่ศาลาซานจือนั้น ดูเหมือนว่าเป็นนางที่เป็นคนต้มน้ำ และเป็นนางที่เป็นคนชงชา…ซึ่งท่านน้าฉือก็ไม่ว่าอะไรเลยนี่นา!
หรือว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อช่วยเหลือนางอย่างนั้นหรือ
ขณะที่นางครุ่นคิดอยู่นั้น ก็พบว่าในเตามีขี้เถ้าสีขาวเล็กๆ ปลิวออกมาและร่วงลงบนมือของนาง ดังนั้นนางจึงยื่นพัดผูซ่านให้หลั่งเย่ว์
หลั่งเย่ว์ยิ้มพลางชี้ไปที่อ่างทองแดงใบหนึ่งที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองไปล้างมือเถิดขอรับ! ตรงนั้นมีเก้าอี้เล็กๆ อยู่ตัวหนึ่ง เวลาที่พี่สาวหนานผิงดื่มชาจะชอบทานของทานเล่นควบคู่ไปด้วย ในลิ้นชักโต๊ะเมิ่นฮู่ทางด้านนั้นมีบ๊วยและลูกมะกอกน้ำแห้งต่างๆ อยู่ ท่านอย่าได้เกรงใจ หากชื่นชอบก็หยิบทานได้ ประเดี๋ยวข้าต้มน้ำเสร็จแล้ว ค่อยเรียกท่านมาชงชานะขอรับ” กล่าวจบก็ตะโกนเรียก “ชิงเฟิง” และกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปหยิบกล่องมาใบหนึ่ง ดูว่าคุณหนูรองชอบทานอะไรบ้าง จะได้ห่อไปด้วยสักกล่องหนึ่ง”
ชิงเฟิงหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากลิ้นชักโต๊ะเมิ่นฮู่ที่หลั่งเย่ว์พูดถึงตัวนั้นอย่างเงียบๆ ถามโจวเสาจิ่นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “คุณหนูรอง ท่านอยากทานอะไรบ้างขอรับ”
โจวเสาจิ่นไม่อยากทานอะไรทั้งนั้น นางหวังเพียงว่าเฉิงฉือจะลืมจะเรื่องเมื่อครู่นี้ไปเสีย
“พวกเจ้าอย่าใส่ใจข้าเลย” นางปฏิเสธไปอย่างสุภาพ “หากข้าอยากทานของทานเล่นอะไร จะบอกพวกเจ้าก็แล้วกัน”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น หนานผิงก็เดินเข้ามา
เส้นผมสีดำขลับของนางหวีขึ้นเป็นมวยกลางศีรษะหนึ่งมวย ปักเอาไว้ด้วยปิ่นหยกมรกต สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหูโจวสีเขียวน้ำทะเลตัวหนึ่ง ใบหน้าแต้มรอยยิ้ม เผยให้เห็นถึงความอ่อนโยนและใจดี
“คุณหนูรอง ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ” นางยิ้มพลางหันไปคารวะโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “ในนี้กลิ่นควันแรงนัก ท่านไปนั่งรอบนโถงทางเดินสักครู่เถิดเจ้าค่ะ! รอให้น้ำเดือดแล้วชิงเฟิงค่อยมาเรียกคุณหนูรองก็ยังไม่สาย”
โจวเสาจิ่นเห็นหนานผิงกล่าวอย่างจริงใจเช่นนั้น จึงไม่กล้ารั้นต่อไปอีก เดินออกจากห้องน้ำชาโดยมีหนานผิงเดินไปเป็นเพื่อนด้วย
หนานผิงเห็นเปลือกตาของนางแดงก่ำ แต่ใบหน้ากลับซีดเผือด ไม่เพียงไม่เห็นว่าน่าอาย ในทางตรงกันข้าม กลับมีลักษณะบางอย่างที่ดูน่ารักน่าทะนุถนอมและบอบบางราวกับไม่สามารถรับน้ำหนักของเสื้อผ้าเอาไว้ได้
นางลอบชื่นชมอย่างอดไม่ได้
คุณหนูรองจากจวนสี่ผู้นี้ช่างมีรูปโฉมที่งดงามจริงๆ
ไม่เพียงแต่งดงามเท่านั้น ดวงตาและหัวคิ้วระหว่างแสดงอากัปกิริยาต่างๆ ยังแฝงเอาไว้ด้วยลักษณะบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกเอ็นดูสงสารในความอ่อนโยนและละมุนละไมนั้น ดูเสมือนกับดอกไม้ที่เพียงใช้แรงสักหน่อยก็อาจจะถูกทำลายจนบอบช้ำและแตกหักลงได้ก็ไม่ปาน
ไม่แปลกใจเลยที่นางร้องไห้ขึ้นมา แต่นายท่านสี่ก็ไม่อาจจะตำหนิหรือเอ็ดตะโรใส่นาง
ไม่รู้ว่าในอนาคตบุตรชายบ้านใดจะมีวาสนาได้แต่งงานกับนาง
ความคิดเหล่านี้ก็เป็นเพียงความคิดที่วาบเข้ามาในหัวของหนานผิงและผ่านออกไปอย่างรวดเร็วก็เท่านั้น
นางยิ้มขณะที่แลกเปลี่ยนบทสนทนากับโจวเสาจิ่น “ช่วงนี้ท่านยังทำงานเย็บปักในยามว่างอยู่หรือไม่เจ้าคะ ตอนที่ข้าไปหาเมื่อคราวก่อน ข้าเห็นท่านกำลังทำกระโปรงของสตรีอยู่ตัวหนึ่ง หากข้าไม่ได้มองผิดไป ดูเหมือนกับว่าจะเป็นกระโปรงจีบเย่ว์หวาตัวหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าฝีมือเย็บปักของคุณหนูรองจะดีขนาดนี้ แม้แต่กระโปรงจีบเย่ว์หวาก็ทำเป็นด้วย”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “พอดูได้เท่านั้น เทียบไม่ได้กับฝีมืออันเชี่ยวชาญของบรรดาซือฟูที่โรงตัดเย็บ”
“พวกนางเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ความสามารถแลกข้าวดำรงชีพ” หนานผิงกล่าวยิ้มๆ “หากฝีมือแย่กว่าพวกเรา เช่นนั้นก็คงแย่แล้วเจ้าค่ะ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น หลั่งเย่ว์ก็ยื่นหน้าออกมา “คุณหนูรอง ชาชงเสร็จแล้วขอรับ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเอ่ยขานรับไปเสียงหนึ่ง ไปหยิบน้ำชาที่ห้องน้ำชา จากนั้นกล่าวกับหนานผิงว่า “อีกประเดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกันใหม่”
หนานผิงยิ้มพลางมองตามหลังโจวเสาจิ่นที่เดินเข้าห้องโถงไป
ไหวซานที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใดเอ่ยถามเสียงเบาว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไร” หนานผิงกล่าวยิ้มๆ “ข้าดูแล้วคุณหนูรองตระกูลโจวเป็นผู้รู้ความยิ่งนัก…”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือแล้วเหตุใดถึงได้ร้องไห้ขึ้นมาได้
ไหวซานกล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…อยู่ๆ นางก็ร้องไห้ขึ้นมา…” ขณะที่เขาพูด ก็ใช้มือลูบคางไปด้วย กล่าวขึ้นเงียบๆ ว่า “อย่างไรก็ตาม หลายปีแล้วที่ไม่ได้เห็นคนที่กล้าร้องไห้ต่อหน้านายท่านสี่…ข้าเองก็ตกใจเป็นอย่างมากไปหนหนึ่งเลยทีเดียว…”
หนานผิงพูดไม่ออก
โจวเสาจิ่นแสร้งทำเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วนำถ้วยชาไปวางลงข้างๆ มือของเฉิงฉือ เอ่ยเสียงหวานขึ้นเสียงหนึ่งว่า “ท่านน้าฉือ” พร้อมกล่าวขึ้นว่า “เชิญท่านดื่มชาเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือมองท่าทางยิ้มตาหยีของนางแล้ว หากด้านหลังมีหางส่ายไปส่ายมาเส้นหนึ่งอยู่ด้วยแล้วล่ะก็ คงจะเหมือนแมวเตี้ยนซือตัวหนึ่งที่กำลังประจบประแจงเจ้าของอยู่เป็นแน่
เขายิ้มพลางเปล่งเสียง “อืม” ออกมาเสียงหนึ่ง แล้วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง
โจวเสาจิ่นรู้สึกผ่อนคลายลงราวกับได้ปลดหินก้อนใหญ่ออกมาจากอก
ดื่มชาของนางแล้ว แสดงว่าคงให้อภัยและลืมเรื่องก่อนหน้านี้แล้วกระมัง!
โจวเสาจิ่นนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนที่อยู่ถัดลงมาจากเฉิงฉือ
เฉิงฉือถามนางว่า “เจ้ามีเรื่องต้องการถามข้าใช่หรือไม่”
ระหว่างที่โจวเสาจิ่นไปชงชานั้น เขาครุ่นคิด ในเมื่อนางไม่ได้มาหาเขาด้วยเรื่องของเฉิงเซียงชิง และก็ไม่ได้มาหาเขาด้วยเรื่องของเฉิงเจียซ่านด้วยเช่นกัน เช่นนั้นก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียว คงเหมือนกับเมื่อคราวก่อน น่าจะเป็นเพราะเจอเรื่องอะไรบางอย่างที่หาคำตอบไม่ได้ก็เลยมาถามเขา
โจวเสาจิ่นจะกล้าเอ่ยถึงเรื่องของท่านผู้นำตระกูลจวนรองออกมาตรงๆ ได้อย่างไร ข่าวลือนั้นไม่ใช่ว่าผู้เสียหายมักเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องหรอกหรือ ถึงแม้ท่านน้าฉือจะเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่หากว่าท่านผู้นำตระกูลจวนรองสามารถปิดเป็นความลับได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนท่านน้าฉือให้ความเคารพเขาในฐานะผู้อาวุโส เป็นธรรมดาที่จะไม่สังหรณ์ใจ หากนางพูดออกไปตรงๆ เช่นนี้ ท่านน้าฉือย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
แทนที่จะสร้างปัญหาแล้วต้องตามไปแก้ไข ไม่สู้หาวิธีเตือนท่านน้าฉืออย่างอ้อมๆ ท่านน้าฉือย่อมสามารถไปตรวจสอบด้วยตัวเองได้
“ไม่มีเจ้าค่ะ!” จากนั้นโจวเสาจิ่นก็เอ่ยสิ่งที่คิดเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ นั้นออกมา “ตอนที่ท่านพ่อของข้ากลับมาเมื่อครั้งก่อนนั้น ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นเจ้าภาพเชิญพวกข้าไปทานข้าวใช่ไหมเจ้าคะ ตอนนั้นข้าอยู่ในจวนชั้นใน เมื่อกลับไปแล้วถึงได้ยินจากท่านพ่อว่าท่านไปหลินอัน ยังกล่าวอีกว่าเพราะมีปัญหาเกิดขึ้นกับสินค้าชุดหนึ่งของที่บ้าน ท่านจึงต้องไปจัดการปัญหาที่หลินอัน ข้ารู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง ประจวบเหมาะกับต้องการนำใบชามามอบให้ท่าน จึงอยากถือโอกาสนี้มาถามแม่นางหนานผิงว่า ธุระของท่านจัดการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับชิงเฟิง เขาบอกว่าท่านกลับมาแล้ว…”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใบชานางก็มอบให้เขาแล้ว ตัวเขานางก็ได้พบแล้ว แล้วเหตุใดนางยังรั้นจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร
เฉิงฉือไม่เชื่อคำพูดของนาง
รู้สึกว่านางยังมีเรื่องอื่นอีก
ไม่ผิดไปจากที่เขาคาดเอาไว้ โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านจัดการปัญหาที่หลินอันเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรถึงกับต้องให้ท่านไปจัดการด้วยตัวเองเช่นนี้ ตอนที่ท่านพ่อของข้าออกเดินทางนั้นยังคงรู้สึกเสียดายอยู่ตลอด กล่าวว่าท่านน้าฉือเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ คำพูดคำจาสละสลวย เมื่อก่อนเขาต้องเตรียมตัวสอบขุนนางจึงได้พบหน้าท่านเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ตอนนี้น่าจะมีโอกาสได้สนทนากับท่านนานสักหน่อย แต่ท่านก็งานยุ่งยิ่งนัก สนทนากันไม่กี่ประโยคก็ถูกบรรดาพ่อบ้านเรียกตัวไปแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าจะได้พบท่านอีกครั้งในงานเลี้ยง แต่คิดไม่ถึงว่าท่านไปหลินอันเสียก่อน สุดท้ายท่านผู้นำตระกูลจวนรองเรียกท่านพ่อไปเล่นหมากล้อมที่ห้องหนังสือ ยังเรียกพี่ชายสือไปด้วย ให้เขาช่วยยกน้ำชาและรินน้ำอยู่ข้างๆ…” ขณะที่พูด นางก็ยิ้มอย่างร่าเริงไปด้วย ราวกับว่ากำลังดูเรื่องน่าขบขันของเฉิงสืออยู่ก็ไม่ปาน กล่าวขึ้นอีกว่า “ท่านพ่อของข้ายังกล่าวอีกว่า คิดไม่ถึงว่าตระกูลเดิมของท่านป้าใหญ่หงคือตระกูลหวงแห่งไซ่หยาง ท่านน้าฉือเจ้าคะ ตระกูลหวงแห่งไซ่หยางมีชื่อเสียงมากหรือเจ้าคะ มีชื่อเสียงมากกว่าซอยจิ่วหรูอีกหรือเจ้าคะ ท่านพ่อข้าบอกว่า ซอยจิ่วหรูถือเป็นตระกูลลำดับหนึ่งของจินหลิง จริงหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือตกตะลึงเล็กน้อย
เด็กน้อยผู้นี้มาเพื่อจะเตือนเขาว่าให้ระวังท่านผู้นำตระกูลจวนรองอย่างนั้นหรือ
นางรู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่
เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่เด็กเพียงคนเดียวอย่างนางสามารถเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการได้หรือ
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เมืองจินหลิงเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของยุคหกราชวงศ์ เป็นเมืองที่มากไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ดั่งเมืองแห่งมังกรซ่อนเร้นและเสือหมอบ ซอยจิ่วหรูจะนับว่าเป็นตระกูลลำดับหนึ่งของจินหลิงได้อย่างไร เช่นนั้นจะเอาตระกูลกู้ที่ซอยเหมยฮวาไปวางไว้ที่ไหน ยังมีตระกูลกัวที่ซอยสือโถวอีก มีตระกูลใดบ้างที่มีประวัติไม่เท่าตระกูลเฉิงของพวกเรา คำพูดนี้จึงไม่อาจเอาไปพูดข้างนอกได้”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ข้าพูดยามอยู่ต่อหน้าท่านน้าฉือเท่านั้น”
นางรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง
ท่านน้าฉือเข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะสื่อหรือไม่กันแน่!
นางควรจะพูดให้ตรงไปตรงมามากกว่านี้อีกหน่อยหรือไม่
โจวเสาจิ่นไม่ค่อยแน่ใจนัก
เฉิงฉือกลับสังเกตว่านางใช้มือขวาจับมือซ้ายเอาไว้แน่น ดูเหมือนว่านิ้วมือกำลังจะพันเข้าหากันอีกครั้งแล้ว
ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตเห็นข้อบกพร่องนี้ของนางบ้างหรือไม่
ยังดีที่นางเป็นเพียงหญิงสาวในห้องหอผู้หนึ่ง ถ้าหากเป็นผู้ต้องออกไปทำธุระอยู่ข้างนอก เกรงว่าคงจะถูกผู้อื่นคาดคะเนได้อย่างรวดเร็วเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นเพียงหญิงสาวในห้องหอผู้หนึ่ง ต่อไปเมื่อแต่งให้ผู้อื่นไปแล้ว ยังคงต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่อยู่สูงกว่าอย่างแม่สามี หรือผู้ที่ต่ำกว่าอย่างสะใภ้ของน้องชายต่างๆ ก็อาจจะถูกผู้อื่นอ่านออกได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน
เขากล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่เจ้ามีเรื่องอะไรในใจนิ้วมือของเจ้าก็จะพันเข้าหากัน”
“อา!” นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นเบิกกว้างขึ้น
ไม่ใช่ว่ากำลังพูดเรื่องของเขาอยู่หรือ เหตุใดอยู่ๆ ถึงพูดเรื่องของนางขึ้นมาได้
นางทำตัวไม่ถูกอยู่บ้างเล็กน้อย
เฉิงฉือกล่าวขึ้นว่า “เคยมีคนบอกเจ้ามาก่อนหรือไม่ว่าเจ้ามีข้อบกพร่องนี้”
นี่นับว่าเป็นข้อบกพร่องด้วยหรือ
ครู่ใหญ่กว่าโจวเสาจิ่นจะได้สติกลับมา กล่าวขึ้นว่า “ข้า…พี่สาวข้าเคยบอกข้ามาก่อนเจ้าค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เปลี่ยนไม่ได้เจ้าค่ะ…” นางก้มหน้าลงอย่างขัดเขินเล็กน้อย “ต่อมาข้าจึงไม่ค่อยออกไปข้างนอก พยายามอยู่แต่ในเรือนเจ้าค่ะ…”
ภายในห้องเงียบเชียบไปชั่วขณะหนึ่ง ไร้ซึ่งเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
ท่านน้าฉือคงไม่โมโหด้วยเรื่องนี้หรอกกระมัง
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมองไปที่เฉิงฉืออย่างเป็นกังวล
เห็นเพียงหัวคิ้วของเฉิงฉือขมวดเป็นปมเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอยู่ก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จำต้องนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ พยายามให้ตัวเองหายใจเบาลงอีกสักหน่อย ไม่อยากจะรบกวนเขา
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ เฉิงฉือก็กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “เวลาที่เจ้านั่งอยู่ อย่าบิดมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันจนกลายเป็นนิสัยได้หรือไม่ ไม่ว่าตอนไหน มือทั้งสองข้างของเจ้าก็มักจะบิดเข้าหากันจนแน่น” ขณะที่เขาพูด แววตาก็ตกไปอยู่ที่มือของนาง “อย่าให้ผู้อื่นสังเกตเห็นความวิตกกังวลของเจ้า นอกจากนี้ยังทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเจ้ามีกิริยาเช่นนี้อีกด้วย”
……………………………………………………………………………….