ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 127 วิพากษ์วิจารณ์
มามาผู้เป็นแม่บ้านเตือนพวกนางอย่างสุภาพว่าใกล้จะถึงเวลาอวยพรวันเกิดแล้ว ขอให้พวกนางอย่าวิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว ให้รีบไปนั่งที่ห้องข้างให้เรียบร้อย
พวกโจวเสาจิ่นทั้งสามคนได้ยินแล้วก็รับทราบ ยิ้มพลางตอบรับ แล้วเดินไปที่ห้องข้าง
ภายในห้องข้างขนาดสามห้องกั้น บรรดาฮูหยินและสะใภ้นั่งอยู่ในห้องฝั่งตะวันออก ส่วนคุณหนูที่ค่อนข้างเรียบร้อยและชอบเก็บตัวบางส่วนนั่งอยู่ในห้องฝั่งตะวันตก ยังมีหญิงสาวที่มีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉงบางส่วน บ้างก็ยืน บ้างก็นั่งพูดคุยกันเป็นกลุ่มสองถึงสามคนอยู่ตรงบริเวณกลางห้อง แต่ละคนแต่งหน้าแต่งตัวเพริศพริ้งยิ่งนัก บรรยากาศครื้นเครงเป็นอย่างมาก
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เม้มปากกลั้นยิ้ม พลางกระซิบกล่าวกับโจวเสาจิ่นและเฉิงเจียอย่างเย้ยหยันว่า “พวกเจ้าดูสิ พวกฮูหยินและสะใภ้ต่างก็พาคุณหนูมาด้วย”
นอกจากนี้ผู้ที่มาร่วมงานยังมีจำนวนมากกว่าที่โจวเสาจิ่นเห็นในงานหมั้นของคุณหนูที่สิบหกของตระกูลกู้เสียอีก
ทั้งๆ ที่งานหมั้นของคุณหนูที่สิบหกของตระกูลกู้ในตอนนั้นจัดโต๊ะเอาไว้ถึงสามสิบโต๊ะ ส่วนงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชิญมาเพียงแค่ยี่สิบโต๊ะเท่านั้น
หรือว่าหญิงสาวเหล่านี้ต่างก็ ‘เตรียมตัว’ เพื่อมางานนี้โดยเฉพาะกันแน่
โจวเสาจิ่นรู้สึกเคลือบแคลงใจเล็กน้อย แต่ก็คิดว่าตนเองคิดมากเกินไป ขณะที่นางอยากจะกล่าวเรื่องนี้กับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งมองเห็นกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้พอดี และกล่าวทักทายนางอย่างกระตือรือร้นว่า “เจ้าไปอยู่ที่ใดมา เมื่อครู่ข้าหาไปทั่วทุกที่แล้วก็หาเจ้าไม่เจอ”
เด็กสาวผู้นั้นอายุไล่เลี่ยกับเฉิงเจีย รูปร่างสูงปานกลาง ใบหน้าทรงลูกท้อ แก้มยังยุ้ยเหมือนเด็กอยู่หลายส่วน คิ้วสวยนัยน์ตาโต ผิวขาวเนียนละเอียด สวมชุดเพ่ยจื่อลายเถาองุ่นสีแดงชาด เมื่อเอ่ยปากพูดดวงตาก็หรี่เป็นเส้นโค้ง ราวกับตุ๊กตานำโชคก็ไม่ปาน ดูสดใสร่าเริงยิ่งนัก เป็นรูปลักษณ์อันเป็นสิริมงคลที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นมักจะกล่าวถึงกัน
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กล่าวแนะนำนางให้โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียว่า “นี่คือคุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวแห่งจวนดอกเหมย”
พวกนางทำความเคารพซึ่งกันและกัน
จากนั้นก็มีเด็กสาวอีกสี่ถึงห้าคนมาทักทายกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้
ทุกคนล้วนเคยพบหน้ากันแล้ว จึงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของกันและกัน
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้รู้จักคนมากมายยิ่งนัก!
โจวเสาจิ่นรู้สึกชื่นชมอยู่เล็กน้อย
ทว่าคุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวกลับปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นอย่างสนิทสนมเป็นพิเศษ
โจวเสาจิ่นไม่ค่อยเข้าใจนัก
คุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวยิ้มพลางกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าได้พบพี่สาวของเจ้า ตระกูลฝั่งมารดาของข้าเป็นตระกูลสายรองของตระกูลเลี่ยวแห่งเจิ้นเจียง”
ในชั่วพริบตา โจวเสาจิ่นมองคุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวแล้วก็พลันรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นมาอยู่หลายส่วน
คุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวผู้นั้นเห็นแล้ว ก็ดึงนางไปที่โต๊ะดอกไม้ข้างๆ แล้วกระซิบกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าไม่อยู่ คุณหนูที่สิบแปดกับคุณหนูที่ยี่สิบของตระกูลกู้ คุณหนูที่สามกับคุณหนูที่สี่ของตระกูลกัว คุณหนูสองท่านจากจวนของรองเจ้ากรมซุน และคุณหนูผู้เป็นหลานของหลินเจี้ยวอวี้…ต่างถูกเรียกตัวไปที่ห้องโถงหลัก” นางกล่าวไปด้วย พลางสังเกตการเคลื่อนไหวรอบๆ ไปด้วย “คุณหนูอีกสองสามท่านต่างก็ไปด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าคุณหนูสองท่านจากจวนของรองเจ้ากรมซุนกลับบอกว่าต้องการไปห้องทางการ[1] รอจนกระทั่งมามาผู้ดูแลแขกเดินนำไปแล้ว ทั้งสองคนกลับบอกว่าไม่ไปแล้ว ผ่านไปสักพัก ก็บอกว่าอยากจะไปอีก เจ้าว่าอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น ตอนที่เดินกลับมาได้พบกับนายท่านสี่ของตระกูลเฉิงกับคุณชายใหญ่สวี่ของจวนหลักเข้าพอดี…หากว่าพวกนางไม่มีแผนการลับแอบแฝงอยู่ล่ะก็ ข้ายอมเสียเงินให้เจ้าสองเหลี่ยงเงินเลย!”
เข้ามาทำตัวสนิทสนมด้วยตัวเองเช่นนี้ โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรดีไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ชำเลืองมองคนอื่นๆ ภายในห้องอย่างอดไม่ได้
พี่สาวกับท่านป้าใหญ่กำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินใหญ่ของตระกูลกู้ และดูเหมือนว่าในบรรดาคุณหนูหลายท่านของตระกูลกู้นั้นจะหายไปสองคนจริงๆ…
คุณหนูที่สิบเก้าเห็นแล้วก็รีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ได้โกหกเจ้าใช่หรือไม่ คุณหนูสองท่านของตระกูลซุนต่างไปที่ห้องโถงหลักแล้ว พวกนางได้ปรากฏตัวต่อหน้าคุณชายใหญ่สวี่เรียบร้อยแล้ว ยังจะรั้งอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไร จริงๆ เลย…ช่างไม่รู้จักอาย!” นางกล่าวอย่างมีน้ำโห ประหนึ่งว่าตัวนางเองถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมก็ไม่ปาน ยังกล่าวอีกว่า “ได้ยินว่าบุตรสาวของใต้เท้าหูผู้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแห่งเจ้อเจียง น้องสาวของใต้เท้าหลิวผู้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอแห่งเจียงหนิง บุตรสาวของใต้เท้าอู๋ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองจินหลิง และน้องสาวของเซินชิงอวิ๋นผู้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าเมืองจินหลิง…ล้วนอยู่ในห้องโถงหลักทุกคน!”
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมากไปครั้งหนึ่ง
ทว่าคุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวกลับเข้าใจผิด จึงอธิบายไปอีกทางว่า “เนื่องจากมารดาของเซินชิงอวิ๋นเป็นบุตรสาวของหลี่ซื่อแห่งหลูเจียง ดังนั้นน้องสาวของเซินชิงอวิ๋นก็เลยได้อยู่ที่ห้องโถงหลักด้วยเช่นกัน”
แต่สิ่งที่โจวเสาจิ่นให้ความสนใจกลับเป็นคำกล่าวที่ว่า บุตรสาวของใต้เท้าอู๋ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองจินหลิง ต่างหาก
อู๋เป่าหวาอายุมากกว่านางหนึ่งปี ส่วนอู๋เป่าจืออ่อนกว่านางหนึ่งปี นอกจากนี้คุณธรรมทั้งสี่ที่สตรีพึงมี[2] ของทั้งสองก็ไม่ได้โดดเด่นแต่อย่างใด…หรือว่าผู้ที่มาร่วมงานจะเป็นอู๋เป่าจาง
แต่ว่าเหตุใดฮูหยินอู๋ถึงพาอู๋เป่าจางไปที่ห้องโถงหลักด้วย
แล้วเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้อนุญาตให้อู๋เป่าจางไปที่ห้องโถงหลักด้วย
นางถามคุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “เจ้าเมืองอู๋มีบุตรสาวสามคน ผู้ที่เจ้ากล่าวถึงนั้นเป็นบุตรสาวคนใดของตระกูลพวกเขาหรือ”
“ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก” คุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวตอบอย่างไม่เห็นด้วย “แน่นอนว่าย่อมเป็นบุตรสาวที่มีปานแดงระหว่างคิ้วเหมือนดังพระโพธิสัตว์กวนอิมผู้นั้น! ช่วงนี้ในเมืองจินหลินต่างลือกันว่า คุณหนูใหญ่ของตระกูลอู๋เป็นบุตรสาวข้างกายขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิมที่กลับชาติมาเกิด เป็นผู้มีชะตาชีวิตที่จะนำความปรองดองมาสู่ครอบครัว และนำความเจริญรุ่งเรืองมาให้แก่สามีและบุตร…เพียงแค่มีปานแดงดวงหนึ่งก็นำความปรองดองมาสู่ครอบครัว นำความเจริญรุ่งเรืองมาให้แก่สามีและบุตร ข่าวลือเหล่านี้เป็นเพียงความเชื่องมงายของพวกผู้หญิงในท้องตลาดที่ไร้ความรู้ ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมเมื่อเห็นแล้วย่อมมองออกว่าบุตรสาวของตระกูลอู๋มีจิตใจเช่นไร…”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เชื่อข่าวลือพวกนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นเงียบงัน
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้โบกมือเรียกพวกนางจากฝั่งโน้น กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองตระกูลโจว คุณหนูที่สิบเก้าตระกูลหลิว พวกเจ้ามาทางนี้เร็ว ข้าจะแนะนำเจ้าให้รู้จักกับคุณหนูใหญ่ของตระกูลฟางแห่งเจียซิ่ง!”
ตระกูลฟางแห่งเจียซิ่ง คือตระกูลของฟางซินถง
ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดของตระกูลฟางซินถง
โจวเสาจิ่นกับคุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวจึงเดินเข้าไปหา
คุณหนูใหญ่ตระกูลฟางอายุราวสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี รูปร่างสูงเพรียว รูปโฉมสะคราญยิ่ง สิ่งที่หาได้ยากคือนางมีท่วงท่าและอิริยาบถที่สง่างามดั่งผู้มีความรู้ เมื่อมองดูเป็นครั้งแรกรู้สึกเพียงว่านางมีมารยาทสุภาพเรียบร้อยและท่วงท่าสงบนิ่งอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกว่านางงดงามยิ่งนัก และยังเป็นความงดงามพิลาสที่ไม่เหมือนกับหญิงสาวคนอื่นๆ อีกด้วย
คุณหนูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กล่าวว่า “พี่ชายของคุณหนูใหญ่ตระกูลฟางคือฟางซินถงผู้ร่ำรวยที่สุดในเจียซิ่ง แต่ก่อนเคยศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาของตระกูลพวกข้า”
“ข้าถึงว่าทำไมรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาขนาดนี้!” คุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวยิ้มพลางกล่าว “ข้ามีพี่สาวคนหนึ่งที่แต่งงานไปอยู่ที่เมืองเจียซิ่ง ได้ยินพี่เขยของข้ากล่าวว่า ตระกูลฝั่งมารดาของเขาคือตระกูลฟางแห่งฮวาซี คงจะเป็นตระกูลของพี่สาวแล้ว…”
นางสนทนากับคุณหนูใหญ่ตระกูลฟางอย่างปากหวาน
กูที่สิบเจ็ดมองคุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวแล้วหันไปขยิบตาให้โจวเสาจิ่น พลางกระซิบกล่าวว่า “เจ้าอย่าไปสนใจนางเลย นางก็เป็นคนเช่นนี้ ปากสว่างยิ่งนัก เรื่องที่เจ้าพูดคุยกับนางประเดี๋ยวเดียว ไม่นานนักทุกคนก็รู้กันถ้วนหน้าแล้ว”
มองไม่ออกเลยจริงๆ!
โจวเสาจิ่นมองคุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวที่กำลังคุยจ้ออยู่ แล้วรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เมื่อเปรียบเทียบกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ผู้ที่พูดจาคล่องแคล่ว หรือคุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวผู้เปรียบดั่งปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ หรือคุณหนูใหญ่ตระกูลฟางผู้วางตัวสงบเสงี่ยมอย่างเหมาะสม แม้กระทั่งเฉิงเจียผู้มีชีวิตชีวาและกระฉับกระเฉงแล้ว เห็นได้ชัดว่าตัวนางไม่เหมาะสมกับสถานที่หรือสถานการณ์เช่นนี้เลย
นางนึกอยากจะไปอยู่ข้างกายพี่สาวอยู่บ้าง
โจวเสาจิ่นมองหาโจวชูจิ่นท่ามกลางบรรดาหญิงสาวทั้งหลาย
พี่สาวกำลังยิ้มแย้มสนทนาอยู่กับคนจากตระกูลกัว
นางพลันรู้สึกลังเลใจขึ้นมา
ตระกูลผู้ดีในเจียงหนานล้วนแล้วแต่เป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน โดยเฉพาะตระกูลที่เปิดสำนักศึกษาดังเช่นตระกูลกัวและตระกูลกู้ หากว่าพี่สาวปรากฏตัวต่อหน้าบรรดาสตรีของทั้งสองตระกูลได้ ก็จะช่วยให้นางยืนได้อย่างมั่นคงยามไปอยู่ที่ตระกูลเลี่ยวในภายภาคหน้าได้
โจวเสาจิ่นเก็บสายตากลับมาอีกครั้ง แล้วยืนฟังคุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวกระซิบกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจอยู่ตรงนั้น “ข้าคิดว่าจะต้องเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่รู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องการแต่งงานของนายท่านสี่เป็นแน่ หากว่าเป็นการหาคู่ให้คุณชายใหญ่สวี่ล่ะก็ ฮูหยินหยวนควรจะอยู่ที่นี่ด้วยถึงจะถูก ทว่าฮูหยินหยวนกลับวุ่นอยู่กับการจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ตลอด เมื่อครู่ตอนที่นายท่านสี่กับคุณชายใหญ่สวี่อยู่ที่ห้องโถงใหญ่ ฮูหยินหยวนก็ไม่ได้เข้ามาเลยด้วยซ้ำ! อีกทั้งปีนี้คุณชายใหญ่สวี่อายุสิบเจ็ดปี เจ้าดูบรรดาคุณหนูพวกนั้นสิ อายุน้อยที่สุดสิบห้าหรือสิบหกปี มากที่สุดยี่สิบปี…”
“ผู้ใดอายุยี่สิบปีหรือ” เฉิงเจียกระซิบถามด้วยความประหลาดใจ
คุณหนูใหญ่ตระกูลฟางมีสีหน้าเห่อแดงขึ้นมา
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กระแอมไอเสียงดังครั้งหนึ่ง
“อ๋อ!” เฉิงเจียพลันเข้าใจขึ้นมา สายตาตกอยู่บนตัวของคุณหนูใหญ่ตระกูลฟาง
คุณหนูใหญ่ตระกูลฟางหน้าแดงเถือกอย่างอับอาย
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้รีบกล่าวว่า “เอ๋…ไม่ใช่ว่าใกล้ถึงฤกษ์แล้วหรือ ไฉนยังไม่เริ่มกล่าวอวยพรวันเกิดอีก คุณหนูสี่ ไม่ทราบว่าฤกษ์กล่าวคำอวยพรเป็นกี่ยามกันแน่หรือ”
นางถามเฉิงเจีย เพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย
ทว่ายิ่งอยู่โจวเสาจิ่นก็ยิ่งรู้สึกไม่มีอะไรน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
โชคดีที่เวลาผ่านไปเพียงครึ่งเค่อ มามาผู้นำแขกก็เข้ามาเชิญบรรดาญาติสนิทเช่นเฉิงเจีย โจวเสาจิ่น ตระกูลกัว และตระกูลกู้ให้ไปที่ห้องโถงหลัก
เด็กสาวหลายคนภายในห้องโถงหลักล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นทั้งนั้นจริงๆ แล้วนางก็เห็นว่าอู๋เป่าจางอยู่ในนั้นด้วย
อู๋เป่าจางยิ้มพลางพยักหน้าให้โจวเสาจิ่น
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับก้มหน้าก้มตาลง แสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น
หลังจากพวกนางผู้เป็นญาติสนิททั้งหลายกล่าวคำอวยพรวันเกิดและมอบของขวัญแด่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จแล้ว ก็ถึงคราวของบรรดามิตรสหายเช่นบรรดาฮูหยินของรองเจ้ากรมซุนและฮูหยินหลิวทั้งหลาย
โจวเสาจิ่นจึงเดินออกจากห้องโถงหลัก ไปที่ห้องรับแขกฝั่งตะวันตก
โจวชูจิ่นเข้ามาลูบมือของน้องสาว พลางเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ ดูท่าทางไม่ค่อยมีชีวิตชีวาสักเท่าไร รู้สึกไม่สบายหรือเปล่า”
โจวเสาจิ่นรู้ดีว่าประเดี๋ยวฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยังต้องพาพี่สาวไปพูดคุยกับบรรดาฮูหยินและสะใภ้เหล่านั้น
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางรีบตอบ “เพียงแค่หิวเล็กน้อยเท่านั้น!”
โจวชูจิ่นฉีกยิ้มออกมา พลางดุว่า “ข้าบอกให้เจ้ารับประทานให้มากหน่อยเจ้าก็ไม่ฟัง ตอนนี้รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของความหิวแล้วกระมัง ดูสิว่าวันหลังเจ้ายังจะกล้าไม่เชื่อฟังคำเตือนของพี่สาวอยู่อีกหรือไม่!” จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าสนิทกับคนของเรือนหานปี้ซาน ให้ใครสักคนยกของกินเล่นสักสองชิ้นมาให้เจ้ารับประทานรองท้องก่อน อีกสักพักก็จะเริ่มงานแล้ว”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ไปทำธุระของท่านต่อเถิด! ประเดี๋ยวข้าจะไปนั่งกับพี่สาวเจียเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นพยักหน้า แล้วเดินไปหาฮูหยินใหญ่เหมี่ยนทางด้านโน้น
โจวเสาจิ่นเพียงแค่รู้สึกว่าเสียงดังวุ่นวายยิ่ง อยากจะหลบไปอยู่ในห้องน้ำชาจนกว่างานเลี้ยงจะเริ่มแล้วค่อยกลับมา ทว่านางรู้ดีว่า หากตนหลบไปอยู่ที่ห้องน้ำชาอย่างนั้น เช่นนั้นจะมีอะไรแตกต่างไปจากชาติที่แล้วกัน
นางยิ้มน้อยๆ พลางคล้องแขนของเฉิงเจียเอาไว้ และฟังกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กับพวกคุณหนูเหล่านั้นพูดคุยถึงเรื่องสัพเพเหระภายในครัวเรือน หรือไม่ก็เรื่องโคลงกลอน พิณ พู่กัน และภาพวาดต่างๆ
จู่ๆ ก็มีคนมากระตุกแขนเสื้อของนาง
โจวเสาจิ่นยังไม่ทันมีปฏิกิริยาโต้ตอบ ผู้คนรอบตัวนางก็แสดงสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาก่อนเสียแล้ว
คุณหนูที่สิบเก้าของตระกูลหลิวยิ่งแล้วใหญ่ถึงกับเอ่ยถามอย่างตรงๆ ว่า “คุณหนูรองตระกูลโจว ผู้นี้เป็นคุณหนูของตระกูลใดหรือ”
โจวเสาจิ่นหันศีรษะไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เห็นจี๋อิ๋งสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมจวงฮวา[3] สีม่วงเข้มตัวหนึ่ง
จี๋อิ๋งกำลังมองนางด้วยสายตายิ้มแย้ม
โจวเสาจิ่นรู้สึกยินดีและลิงโลดอยู่ในใจ ทันใดนั้นก็นึกถึงคุณหนูที่ยืนอยู่ข้างๆ ตนกลุ่มนี้ขึ้นมา รีบดึงแขนเสื้อของเฉิงเจียเอาไว้ พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นญาติผู้พี่ของข้า มาจากตระกูลสายรองของตระกูลเฉิงในซอยจิ่วหรู”
เฉิงเจียนิ่งเงียบไม่กล่าวอะไร
ทุกคนต่างยิ้มพลางตอบว่า “ไม่แปลกใจที่พวกข้าไม่เคยพบมาก่อน” แม้แต่กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ก็ไม่ได้เคลือบแคลงสงสัยเลยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง คว้าแขนเสื้อของจี๋อิ๋งแล้วเดินออกไป เดินไปด้วย พลางเหลียวกลับมายิ้มกล่าวกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้และคนอื่นๆ ไปด้วยว่า “ข้ามีธุระกับนางนิดหน่อย ประเดี๋ยวจะกลับมา”
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้และคนอื่นๆ ย่อมไม่อาจติดตามไปด้วยได้ โจวเสาจิ่นดึงจี๋อิ๋งไปที่ห้องน้ำชา
เป็นไปได้ว่าที่ห้องโถงหลักอาจจะต้องการสาวใช้ไปช่วยยกน้ำชาและรินน้ำก็เป็นได้ ภายในห้องน้ำชาจึงไม่มีผู้ใดอยู่เลย มีเพียงแต่น้ำที่กำลังเดือด ปุดๆ และปล่อยไอร้อนพวยพุ่งออกมาอยู่บนเตาไฟเท่านั้น
จี๋อิ๋งสีหน้าเงียบขรึมดั่งน้ำนิ่ง ถามขึ้นว่า “ข้าแซ่เฉิงตั้งแต่เมื่อไร หนำซ้ำยังเกี่ยวดองกับตระกูลในซอยจิ่วหรูด้วยอย่างนั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกกดดันขึ้นมา ทว่าเมื่อนางนึกถึงท่าทีของจี๋อิ๋งยามฝึกเย็บผ้ากับนางอย่างเชื่อฟังแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา หัวสมองก็เปลี่ยนเป็นทำงานอย่างปราดเปรื่องขึ้นและกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่เคยบอกข้าว่าเจ้าแซ่อะไร เช่นนี้จะโทษข้าได้หรือ”
จี๋อิ๋งโมโหเล็กน้อย ถลึงตาใส่นางครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังตอบกลับไปว่า “ข้าแซ่จี้ นามว่า ‘อิ๋ง’ เพียงพยางค์เดียว”
………………………………………………………………….
[1] ห้องทางการ คือ ห้องสุขา
[2] คุณธรรมทั้งสี่ที่สตรีพึงมี (德言容工) คือ ความประพฤติดี วาจาดี รูปโฉมงาม และยินดีทำงานบ้านงานเรือน
[3] ผ้าไหมจวงฮวา (妆花) เป็นผ้าไหมที่ปักทอลวดลายวิจิตรของหนานจิง