ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 145 ข่าวคราว
เนื่องจากปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ละจวนต่างเริ่มทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูฝุ่นกันแล้ว บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ของเรือนหว่านเซียงต่างไปช่วยงานที่เรือนเจียซู่ ด้วยเหตุนี้ภายในลานบ้านจึงเงียบเชียบ ไร้สุ้มเสียงใดๆ
โจวชูจิ่นถือจดหมายในมือ พลางขมวดคิ้วเป็นปมแน่นเดินไปมาอยู่ในห้องหนังสือ เห็นได้ชัดว่าดูร้อนรนเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็ตกใจจนใจเต้น ตึกตัก อยู่ครู่หนึ่ง รีบส่งสายตาให้ซือเซียงครั้งหนึ่ง หลังจากที่พยักพเยิดให้ซือเซียงถอยออกไปแล้ว นางก็รีบสาวเท้าเดินเข้าห้องหนังสือไป พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพี่เจ้าคะ ได้ยินว่ามีจดหมายมาจากหม่าชื่อ…”
เพียงแต่ถ้อยคำของนางยังไม่ทันกล่าวจนจบ โจวชูจิ่นที่ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็หันหน้ามาแล้ว
“เสาจิ่น!” นางรู้สึกดีใจยิ่งนัก รีบดึงตัวน้องสาวไปทางฝั่งตะวันตกของห้อง “ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที”
จากนั้นโจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นก็นั่งลงในห้องหนังสือ พวกนางแทบจะเก็บสีหน้าและแววตาเอาไว้ไม่อยู่ “หม่าชื่อผู้นั้นที่เจ้าแนะนำมาให้ข้าทำงานใช้ได้จริงๆ! เขาไม่เพียงสืบหาเบาะแสของซินหลานจนเจอ ยังปลอมตัวเป็นพ่อค้าขายฝ้ายไปที่จิงโจว และหลอกให้ซินหลานกับสามีมาที่จินหลิงได้อีกด้วย” นางกล่าวพลางคลี่เปิดจดหมายให้โจวเสาจิ่นอ่าน “เจ้าอ่านดูสิ! หม่าชื่อกล่าวในจดหมายว่า ชื่อร้านที่เขาแจ้งไปนั้นคือร้านผ้าแพรหลี่จี้บนถนนต้าซื่อ ให้พวกเราหาทางดักรออยู่ที่หัวสะพานเจียงตง เพื่อป้องกันไม่ให้เสียแผน”
โจวเสาจิ่นทั้งรู้สึกประหลาดใจและยินดี เอ่ยถามว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่” ไปด้วย พลางรับจดหมายจากมือของพี่สาวไป จากนั้นก็กวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว
โจวชูจิ่นทอดถอนใจอยู่ข้างๆ พลางกล่าว “เรื่องอัปยศอดสูในตระกูลย่อมไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้ ไม่ว่าสิ่งที่หลานทิงกล่าวมาจะจริงหรือเท็จ ข้าก็ไม่อาจเล่าทุกอย่างให้หม่าชื่อผู้นั้นฟัง ข้าเพียงกลัวว่าหม่าชื่อจะพุ่งเข้าหาโดยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร แล้วแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้ซินหลานผู้นั้นหลบหนีไป จนไม่อาจหาตัวได้อีก ดังนั้นจึงบอกหม่าชื่อไปเพียงว่าซินหลานผู้นั้นเป็นสาวใช้เก่าของพวกเรา ไม่นานมานี้เกิดเรื่องลักขโมยภายในเรือนที่อาจจะข้องเกี่ยวกับซินหลาน จึงขอให้เขาคิดหาทางสืบหาเบาะแสของนาง ข้ายังกลัวว่าหม่าชื่อจะลงมือไปอย่างผลุนผลัน จนทำให้ซินหลานไหวตัวทัน หนำซ้ำหม่าชื่อยังเป็นคนต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่นั่น กลับกันอาจจะถูกซินหลานจับผิดเอาได้ ข้าจึงมอบป้ายชื่อของท่านพ่อให้หม่าชื่อแผ่นหนึ่งไปด้วย หากว่าเขาหมดหนทางแล้วจริงๆ ก็ให้นำป้ายชื่อของท่านพ่อไปร้องขอความช่วยเหลือจากทางการ…
…นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นผู้มีไหวพริบปราดเปรื่องผู้หนึ่ง พอเดินทางถึงอู่ชางก็อ้างว่าตนเองมาจากจินหลิงจะไปจิงโจวเพื่อเก็บเกี่ยวฝ้าย และจ้างวานพ่อค้าเก่าแก่ผู้ช่ำชองในธุรกิจสายนี้มาช่วยนำทางสองคน ทั้งยังซื้อเสื้อผ้าแต่งตัวอย่างดี แล้วเดินทางไปที่จิงโจว…
…สามีของซินหลานทำกิจการค้าฝ้ายมาโดยตลอด ครั้นเขาไปถึงจิงโจวก็ไถ่ถามเรื่อยๆ จนพบเบาะแสของซินหลาน…
…ความจริงแล้วหลังจากที่ซินหลานกลับมาจากจินหลิงไม่ถึงสองปีก็ประสบอุทกภัย บุตรชายสองคนต่างจมน้ำเสียชีวิต สามีก็เป็นวัณโรคเนื่องจากสำลักน้ำไปมาก ไม่อาจทำงานหนักได้อีก ด้วยเหตุนี้สถานะทางการเงินของครอบครัวจึงค่อยๆ ร่อยหรอหมดไป หลายปีมานี้ยิ่งตกอับจนถึงขั้นอดอยากไม่มีจะกิน จึงต้องอาศัยซินหลานไปช่วยซักเสื้อผ้าให้ตระกูลอื่นเพียงลำพังและรับค่าจ้างเป็นเงินสองเหลี่ยง…
…แม้ว่าหม่าชื่อจะไม่ทราบถึงข้อพิพาทระหว่างซินหลานกับพวกเรา ทว่าเมื่อคิดว่าซินหลานผู้นั้นแต่งงานไปอยู่ที่จิงโจวแล้วแต่พวกเรายังส่งคนไปลอบสืบข่าวคราวของนาง เขาจึงเคลือบแคลงสงสัยว่าเรื่องของซินหลานผู้นั้นคงจะไม่ปกติเท่าใดนัก จึงปลอมตัวเป็นบุตรชายของเถ้าแก่ร้านผ้าแพรหลี่จี้ที่ถนนต้าซื่อ อ้างว่าด้วยเหตุที่ทำตัวสำมะเลเทเมาไม่รู้ความจึงถูกคนในตระกูลส่งมารับซื้อฝ้ายที่จิงโจว ขอให้ซินหลานและสามีช่วยตามคุ้มกันฝ้ายมาให้ที่จินหลิง…
…ทว่าซินหลานไม่ยอมตกลง…
…แต่สามีของซินหลานกลับละโมบเงินรางวัลยี่สิบเหลี่ยงนั้นที่หม่าชื่อสัญญาเอาไว้ จึงไม่เพียงตอบตกลงทันทีเท่านั้น แต่ยังเกลี้ยกล่อมซินหลานให้กลับไปเยี่ยมตระกูลโจวสักครั้ง กล่าวว่าอย่างไรนางก็เป็นสาวรับใช้ที่ตระกูลโจวปล่อยตัวมา แม้ว่าฮูหยินจะไม่อยู่แล้ว แต่พวกเราสองพี่น้องยังอยู่ ด้วยเห็นแก่ที่เคยรับใช้ฮูหยินในอดีต อย่างไรพวกเราสองพี่น้องย่อมต้องตกรางวัลหลายสิบเหลี่ยงให้แก่นางเป็นแน่ หากว่ามีเงินหลายสิบเหลี่ยงนี้ ทั้งยังมีตระกูลโจวคอยสนับสนุน เขาก็ลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง แล้วกล่าวอีกว่า แต่ก่อนก็อยากจะกลับไปแต่ไม่มีเงิน ตอนนี้ไม่เพียงไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียวก็กลับจินหลิงได้ และยังทำเงินได้อีกยี่สิบเหลี่ยง หากว่านางกล้าหือและไม่เห็นด้วย ก็จะขายนางให้กับแม่เล้าหลี่ที่หัวมุมถนนไปเป็นโสเภณี…
…ตอนแรกซินหลานยังกัดฟันไม่เห็นด้วย แต่พอสามีทุบตีนางอย่างไร้ความปรานี นางถึงได้ยอมมาจินหลิงด้วยกัน…
…เนื่องจากข้าให้เงินไปไม่มากนัก หม่าชื่อก็กลัวจะถูกซินหลานกับสามีจับพิรุธได้ จึงนำป้ายชื่อของท่านพ่อไปขอร้องให้เจ้าเมืองจิงโจวช่วยเชื่อฝ้ายเป็นจำนวนสองร้อยกว่าเหลี่ยงให้ก่อน และโกหกว่ายังต้องไปรับฝ้ายต่ออีก จึงขอให้ซินหลานกับสามีล่วงหน้าคุ้มกันฝ้ายกลับเมืองจินหลิงก่อน…
…นับวันดูแล้ว ซินหลานกับสามีคงจะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้า ข้าจึงเรียกเจ้ามา เพียงอยากจะปรึกษากับเจ้าสักหน่อย คิดว่าควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี”
“ข้าหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
นางนึกว่าพี่สาวจะมีแผนการรับมืออยู่ก่อนแล้วเสียอีก
“อืม!” โจวชูจิ่นตอบ “เรื่องนี้คงต้องให้หม่าฟู่ซานช่วยจัดการ ไปเจรจากับร้านผ้าแพรหลี่จี้ ขอให้พวกเขาช่วยออกหน้ามารับฝ้าย แล้วรอให้ซินหลานกับสามีไปคิดเงินที่ห้องบัญชี ค่อยจับตัวพวกเขากลับมา ให้หลานทิงกับซินหลานมาประจันหน้ากัน หากว่าสิ่งที่หลานทิงกล่าวมานั้นเป็นความจริง ก็ให้เขียนจดหมายไปแจ้งท่านพ่อ จากนั้นนำป้ายชื่อของท่านพ่อไปแจ้งทางการ ให้ทางการตัดสิน”
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างลังเลขึ้นว่า “หากว่าให้ทางการตัดสิน เช่นนั้นจะไม่เป็นการแพร่งพรายออกไปจนเป็นที่รู้กันไปทั่วหรือเจ้าคะ”
“ท่านพ่อเป็นขุนนางผู้หนึ่ง จึงขอร้องให้ทางการช่วยสอบสวนอย่างลับๆ ได้” โจวชูจิ่นตอบ “ข้าคิดว่าไต้เท้าอู๋คงจะยอมตกลงช่วย”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าเบาๆ
โจวชูจิ่นกล่าวอีกว่า “เช่นนั้นเมื่อเรื่องจบแล้วเจ้าก็อย่าลืมเขียนจดหมายไปให้ท่านพ่อ ข้าให้คนไปเรียกหม่าฟู่ซานเรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานเขาคงจะมาถึง ยังต้องขอให้คนที่ไว้ใจได้สองสามคนไปซ่อนตัวอยู่ที่ประตูห้องบัญชีของร้านผ้าแพรหลี่จี้อีกด้วย…”
มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวว่า “ท่านพี่โปรดวางใจ เรื่องเขียนจดหมายมอบหมายให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด”
โจวชูจิ่นยกยิ้มอย่างพอใจ แล้วไปรอหม่าฟู่ซานที่ห้องรับรองแขก
โจวเสาจิ่นผ่อนลมหายใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้
ดูเหมือนว่าพี่สาวเองจะใช้เงินมากเกินเหตุไปเสียแล้ว…นางควรจะเตือนพี่สาวสักหน่อยดีหรือไม่
ตกบ่าย โจวชูจิ่นกับภรรยาของหม่าฟู่ซานไปที่บ้านเดิมของตระกูลโจวที่ถนนผิงเฉียว ส่วนโจวเสาจิ่นก็ไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูอารมณ์ชื่นบานยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นจึงลอบถามปี้อวี้ว่า “มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นหรือ”
ปี้อวี้ยิ้มพลางตอบ “คุณชายใหญ่ส่งจดหมายมาเจ้าค่ะ”
เฉิงสวี่เดินทางจากไปในวันที่หกเดือนสิบ
เขากับหมิ่นเจี้ยนเฉียงเดินทางไปเมืองจิงเฉิงแล้ว
โจวเสาจิ่นเอ่ยตอบว่า “อ๋อ” ครั้งหนึ่ง
ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณชายใหญ่แจ้งมาว่า ไปถึงเมืองจิงเฉิงโดยสวัสดิภาพ และได้พบกับนายท่านใหญ่ นายท่านรองกับนายท่านผู้เฒ่ารองแล้วเจ้าค่ะ นายท่านผู้เฒ่ารองกับนายท่านทั้งสองท่านต่างให้เขาเป็นตัวแทนเขียนจดหมายมากล่าวทักทายฮูหยินผู้เฒ่า และยังให้แจ้งว่าสภาพจิตใจของนายท่านผู้เฒ่ารองนั้นดีขึ้นมากแล้ว สุขภาพร่างกายของนายท่านทั้งสองก็แข็งแรงสมบูรณ์ นายท่านใหญ่ นายท่านรองและนายท่านผู้เฒ่ารองต่างรั้งให้คุณชายใหญ่อยู่ฉลองปีใหม่ที่จิงเฉิง ทั้งยังไปเยี่ยมเยียนหมิ่นเจี้ยนสิงกับหมิ่นซิวจ้วน และขอให้หมิ่นซิวจ้วนช่วยตรวจดูเรียงความจื้ออี้[1] ของเขา หมิ่นซิวจ้วนอ่านดูอย่างกระตือรือร้นยิ่งนัก และให้คำแนะนำมากมายแก่คุณชายใหญ่ เขาจึงเก็บเกี่ยววิชาความรู้ได้ไม่น้อยทีเดียว หมิ่นซิวจ้วนกล่าวว่าหากคุณชายใหญ่ไม่มีธุระอะไร ก็มาเที่ยวหาที่จวนตระกูลหมิ่นได้เสมอ ฮูหยินผู้เฒ่าอ่านแล้วก็รู้สึกยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง ให้พวกข้าเขียนจดหมายตอบกลับแทนนางฉบับหนึ่งไปเมื่อสักครู่ กล่าวว่าให้คุณชายใหญ่เชื่อฟังคำสั่งสอนของนายท่านใหญ่กับนายท่านรอง และอยู่ฉลองปีใหม่ที่จิงเฉิง ต้องไปเยี่ยมเยียนตระกูลหมิ่นอย่างสม่ำเสมอ ทั้งต้องคร่ำเคร่งเพียรอ่านตำรา และต้องคบหามิตรสหายที่มีอุดมการณ์เดียวกันให้มากด้วยเช่นกัน” กล่าวถึงตรงนี้ ปี้อวี้เม้มปากกลั้นยิ้ม แล้วกระซิบบอกโจวเสาจิ่นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ายังให้ผู้ที่ไปส่งจดหมายนำตั๋วเงินหนึ่งพันเหลี่ยงมอบให้คุณชายใหญ่อีกด้วยเจ้าค่ะ”
จวนหลักช่างร่ำรวยเงินทองเสียจริงๆ!
โจวเสาจิ่นทอดถอนใจ พลางนึกถึงเฉิงฉือ
กิจการค้าขายในปีนี้ของเฉิงฉือดีหรือไม่ดีกันแน่นะ
นางตัดสินใจจะหาเวลาไปถามไถ่จี๋อิ๋ง
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ก็คือ ต้องบอกเรื่องที่ตนเองเชิญจี๋อิ๋งมาร่วมรับประทานโจ๊กล่าปาที่เรือนหว่านเซียงให้พี่สาวทราบก่อน
โจวเสาจิ่นเดินออกจากเรือนหานปี้ซานแล้วก็ตรงกลับไปที่เรือนหว่านเซียงก่อน
โจวชูจิ่นยังไม่กลับมา
โจวเสาจิ่นรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย จึงให้ซือเซียงรอโจวชูจิ่นอยู่ที่ประตู ส่วนตนเองก็ไปคารวะยามเย็นฮูหยินผู้เฒ่ากวนเพียงลำพัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกวักมือเรียกนาง แล้วยัดถุงเงินมงคลสีแดงใบใหญ่งามตระการตาใบหนึ่งมาไว้ในมือของนาง ยิ้มแช่มชื่นพลางกล่าวว่า “จวนจะถึงตรุษจีนแล้ว เด็กสาวเฉกเช่นพวกเจ้ามักคิดแต่จะซื้อนี่ซื้อนั่น ถุงเงินใบนี้ก็ให้เจ้านำไปซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ที่ชื่นชอบให้ตนเองสักหน่อยก็แล้วกัน”
ใบหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อ รู้ดีว่านี่เป็นเงินส่วนตัวของท่านยายที่มอบให้นาง
นางจึงรีบกล่าวขอบคุณ
เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียงก็เปิดดู มีตั๋วเงินยี่สิบเหลี่ยงอยู่ในนั้น
มากกว่าทุกปีอยู่สิบเหลี่ยง
นางเก็บตั๋วเงินยี่สิบเหลี่ยงลงใน**บสมบัติ แล้วยิ่งรู้สึกไม่อยากจะแลกลิ่มเงินลิ่มทองเหล่านั้นเป็นเงินอีกแล้ว
แต่หากไม่แลกลิ่มเงินลิ่มทองเหล่านั้นล่ะก็ นางจะเอาอะไรมาอุดรูรั่วนี้ได้เล่า
ไม่อาจเอ่ยปากขอจากพี่สาวอย่างแน่นอน
หรือจะขอยืมเงินสามร้อยเหลี่ยงจากท่านพ่อ แล้วค่อยๆ จ่ายคืนในภายหลังดี?
ไม่ว่าอย่างไร ท่านพ่อย่อมไม่ต้องการให้นางคืนเงินให้เป็นแน่!
โจวเสาจิ่นขบคิดไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งพี่สาวกลับมา
นางรีบออกไปต้อนรับ
อากาศในยามค่ำคืนช่วงฤดูหนาวหนาวเย็นยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นช่วยถอดเสื้อคลุมให้พี่สาว และชงชาร้อนๆ ให้จอกหนึ่ง
โจวชูจิ่นจิบชาไปจิบหนึ่งพลางรู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมา แล้วฉีกยิ้มให้โจวเสาจิ่น “สำเร็จเรียบร้อยแล้ว! ทางด้านร้านผ้าแพรหลี่จี้สัญญาว่าจะช่วยพวกเรา อีกทั้งไม่ต้องไปไหว้วานคนนอก แต่ให้ใช้บ่าวชายในร้านของพวกเขาที่ปกติก็มาช่วยแบกหามผ้าอยู่แล้วแทน”
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นต้องตระเตรียมเลี้ยงสุราขอบคุณบ่าวชายเหล่านั้นสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย” โจวชูจิ่นคาดไม่ถึงเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ไม่อาจว่าจ้างผู้มีเกียรติด้วยค่าจ้างต่ำต้อยได้ ประเดี๋ยวข้าจะบอกหม่าฟู่ซาน วันพรุ่งนี้ให้เขาไปจองโต๊ะอาหารสองโต๊ะในภัตตาคารแล้วเชิญบ่าวชายที่ช่วยงานเหล่านั้นมาเลี้ยงอาหารสักมื้อ” จากนั้นก็ยิ้มให้นาง “เจ้านึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก
ในอดีตช่วงที่มีการหว่านไถในฤดูใบไม้ผลิและเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงที่บ้านสวนนั้น หัวหน้าคนงานมักจะทำอาหารอันโอชะเลี้ยงคนงานที่มาช่วยเหล่านั้นอยู่เสมอ
นางจึงถือโอกาสนี้เอ่ยถึงเรื่องที่อยากจะเชิญจี๋อิ๋งมารับประทานโจ๊กล่าปาที่เรือนขึ้นมา
โจวชูจิ่นเห็นว่าจี๋อิ๋งเป็นสาวใช้ที่รับใช้เฉิงฉือ ตนเองก็ควรจะปฏิบัติกับนางอย่างสุภาพสักหน่อย จึงเห็นดีด้วย และยังถามอีกว่า “เจ้าว่าควรจะเชิญน้องสาวเจียมาฉลองด้วยหรือไม่”
ตั้งแต่ที่ห้องศึกษาจิ้งอันเริ่มชั้นเรียนอีกครั้ง เจียงซื่อก็ยิ่งควบคุมเฉิงเจียอย่างเข้มงวดขึ้น หลายวันมานี้เฉิงเจียไม่ได้มาที่เรือนหว่านเซียงเลย
โจวเสาจิ่นขานรับอย่างดีใจ แล้วให้ซือเซียงนำความไปแจ้งเฉิงเจีย
ใครจะรู้ว่ายามที่ซือเซียงกลับมาสีหน้าของนางกลับดูผิดแปลกไปเล็กน้อย นางกระซิบบอกโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูเจียมีปากเสียงกับฮูหยินใหญ่หลูเจ้าค่ะ ตอนที่ข้าไปถึงเรือนหรูอี้นั้นก็กำลังโวยวายกันอย่างดุเดือดพอดี ข้าจึงยังไม่ได้แจ้งเรื่องที่จะเชิญคุณหนูเจียเจ้าค่ะ”
ไม่รู้ว่าคราวนี้จะเป็นเรื่องอะไรอีก
โจวเสาจิ่นถอนหายใจ พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าค่อยนำความไปแจ้งใหม่อีกครั้งก็แล้วกัน!”
ซือเซียงรับคำแล้วช่วยโจวเสาจิ่นอาบน้ำแต่งตัว
วันรุ่งขึ้น จูคุนซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงปรารถนาจะแต่งเฉิงเจียมาเป็นภรรยาคนที่สองหลังจากที่ภรรยาคนแรกจากไปแล้ว ทว่าเฉิงเจียกลับคัดค้านไม่ยินยอมอย่างจะเป็นจะตาย ถึงกับไปตะโกนขอร้องกับเฉิงหลูโดยตรง จนกระทั่งเฉิงหลูประกาศออกมาว่าหากผู้ใดกล้ามาขอบุตรสาวของเขาไปเป็นภรรยาคนที่สองล่ะก็ จะขับไล่กลับจวนไปทันที เรื่องนี้ถึงได้จบลงไปโดยดี
ในที่สุดก้อนหินที่ถ่วงอยู่ในใจก็หลุดร่วงไปได้เสียที
โจวเสาจิ่นพรูลมหายใจยาวครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวกับพี่สาวว่า “ในภายภาคหน้าพี่สาวเจียควรจะกตัญญูต่อท่านลุงใหญ่หลูให้มากถึงจะถูกนะเจ้าคะ”
“เจ้าเด็กโง่คนนี้!” โจวชูจิ่นหยิกแก้มของน้องสาว ยิ้มพลางกล่าวว่า “หากท่านป้าใหญ่หลูไม่โวยวายเช่นนี้ เจ้าจะให้จวนเหลียงกั๋วกงเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน!”
โจวเสาจิ่นยิ้มเจื่อน
นางคงไม่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตในตระกูลใหญ่จริงๆ
………………………………………………………………….
[1] เรียงความจื้ออี้ (制艺) เป็นเรียงความประเภทหนึ่งที่ใช้ในการสอบขุนนาง ในสมัยราชวงศ์หมิงและสมัยราชวงศ์ชิงเรียกว่า เรียงความแปดส่วน (八股文) โดยแบ่งเนื้อหาเรียงความเป็นแปดส่วนดังชื่อ