ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 152 อยู่เป็นเพื่อน
เฉิงฉือไม่ได้ตอบสิ่งใด ทว่าถอนหายใจอยู่ในใจครั้งหนึ่ง
มารดาอายุมากแล้ว ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่อยากแต่งงาน แต่สองปีมานี้ก็เริ่มที่จะเร่งเร้าเขา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกผิดหวังกับปฏิกิริยาตอบกลับของเฉิงฉือยิ่งนัก แต่นางก็ไม่กล้าที่จะกล่าวให้มากความอีก กลัวว่าหากบีบบังคับมากๆ แล้ว บุตรชายจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยความขุ่นเคืองอีก
ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะมาหาสักครั้งหนึ่ง จึงไม่อยากทำให้เขาขุ่นเคืองใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปรับอารมณ์ของตัวเอง กล่าวยิ้มๆ ว่า “อีกประเดี๋ยวเจ้าจะอยู่รับมื้อเที่ยงด้วยกันหรือไม่”
ในแววตาซ่อนความคาดหวังเอาไว้หลายส่วน
เฉิงฉือเห็นแล้วก็ให้รู้สึกปวดใจยิ่ง กล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ไม่ได้กินตีนห่านต้มสุรามานานแล้ว ท่านให้ในครัวทำให้ข้าสักอย่างก็แล้วกันขอรับ!”
“ได้ๆๆ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเก็บเอาไว้ไม่อยู่ นางตะโกนสั่งการเจินจูเสียงดังว่า “เที่ยงวันนี้นายท่านสี่จะอยู่รับมื้อเที่ยงด้วย เจ้าไปบอกในครัว ให้พวกนางทำตีนห่านต้มสุรามาหนึ่งจาน แล้วก็ทำยำวุ้นเส้นอีกหนึ่ง อย่าใส่น้ำมันงาเยอะ แล้วก็ทอดเต้าหู้แข็งอีกหนึ่ง ใส่พริกของซื่อชวนลงไปด้วยเล็กน้อย แล้วก็ทำต้มจืดหมูสับก้อนอีกหนึ่ง ใส่แห้วลงไปให้มากหน่อย แล้วก็ทำแม่นกทอดหนังกรอบอีกหนึ่ง รับประทานคู่กับเครื่องเทศห้าสหายที่พวกเราทำขึ้นมาเอง แล้วก็ใช้เนื้อแพะที่ตระกูลเซินส่งมาให้ทำหม้อไฟรวมมิตรอีกหนึ่ง รับประทานคู่กับผักเครื่องเคียงต่างๆ ส่วนอาหารอื่นๆ ก็ให้พวกนางทำตามที่เห็นสมควรก็แล้วกัน”
มากมายหลากหลายอย่าง ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของที่เฉิงฉือชอบทั้งสิ้น
เจินจูขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอารมณ์ดียิ่งนัก จึงตั้งใจเอาอกเอาใจนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “แล้วเหล้าเล่าเจ้าคะ จะรับเหล้าอะไรดี หลายวันก่อนนายท่านรองให้คนส่งเหล้าขาวดอกสาลี่กลับมาให้ เห็นบอกว่าเป็นเหล้าที่ได้รับมาเป็นของกำนัลเจ้าค่ะ!”
“เจ้าก็ช่างรู้ความ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า มองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “วันนี้ดื่มเหล้าของเมืองจินหวา ข้าเองก็จะดื่มด้วยสักสองจอก”
สาวใช้ใหญ่หลายคนของเรือนหานปี้ซานล้วนทราบดีว่า คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ไม่ต้องพูดถึงในซอยจิ่วหรูแห่งนี้ แม้แต่ซอยซิ่งหลินที่จิงเฉิง ก็ล้วนแต่เป็นที่น่าเชื่อถือเสมอกัน แต่พอมาถึงตรงหน้านายท่านสี่ ก็กลายเป็นต้องยอมลงให้อย่างช่วยไม่ได้
เจินจูเบี่ยงสายตามองไปที่เฉิงฉือครั้งหนึ่ง
เฉิงฉืออดที่จะถอนหายใจอยู่ในใจอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ แต่ใบหน้ายังคงประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอยู่หลายส่วน กล่าวขึ้นว่า “ทำตามที่ท่านแม่ของข้าบอก วันนี้พวกเราดื่มเหล้าของเมืองจินหวาก็แล้วกัน เจ้าไปบอกหนานผิงที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยสักหน่อย ให้นางนำชุดจอกเหล้าภาพคนงามสำหรับอุ่นเหล้าที่ข้านำกลับมาจากเฉวียนโจวเมื่อคราวก่อนชุดนั้นมาที่นี่”
ในตอนนี้เองที่ทุกคนต่างก็รู้สึกยินดีขึ้นมาจริงๆ
เจินจูยิ่งแล้วใหญ่รู้สึกโล่งใจราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไปจากอก และเดินออกไปด้วยความยินดีปรีดา
เฉิงฉือกล่าวขึ้นว่า “พี่สะใภ้ไม่อยู่บ้าน ความจริงแล้วควรจะรับท่านไปฉลองวันปีใหม่กับข้า แต่ท่านก็ทราบดี ว่าถนนของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยเดินไม่สะดวกนัก และอากาศก็หนาวเย็น เช่นนั้นในปีนี้ข้าจะมาขอข้าวกินกับท่านที่นี่ก็แล้วกัน”
“จริงหรือ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี ขอบตารื้นชื้น ดึงมือของเขาเอาไว้ ทั้งดีใจและประหลาดใจ พลางถามเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “เจ้าพูดจริงๆ หรือ”
บุตรของผู้อื่นต่างต้องมองสีหน้าของบิดามารดา มีเพียงมารดาของเขาที่มองสีหน้าของเขาแทน
เฉิงฉือเกือบจะถูกความรู้สึกผิดในใจฟาดให้หงายคว่ำลงไปบนพื้น กว่าครู่ใหญ่ถึงกล่าวออกมาได้ว่า “จริงแน่นอนขอรับ ข้าเคยหลอกท่านด้วยหรือ”
“ข้ากลับอยากให้เจ้าหลอกข้าบ่อยๆ” นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแวววาวไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ใบหน้ากลับประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติ “เจ้านี่น้า นิสัยดื้อรั้นไปสักหน่อยเท่านั้น! อย่างไรก็ตาม ที่พ่อของเจ้าพูดมาก็ถูก หากนิสัยไม่ดื้อรั้น จะเรียนหนังสือได้ดีได้อย่างไร เจ้ายังจำตอนที่เจ้าเป็นเด็กได้หรือไม่ เจ้าทำหมึกของพ่อเจ้าหก แต่ก็ยังยืนยันว่าตัวเองกำลังวาดภาพอยู่ พ่อของเจ้าตั้งใจจะปราบความอวดดีของเจ้า จึงหยิบพู่กันวาดภาพมาให้เจ้าด้ามหนึ่ง แล้วกล่าวว่า เช่นนั้นก็วาดภาพๆ นี้ให้เสร็จ ในเวลานั้นเจ้าเพิ่งจะห้าขวบ ยังอยู่ในช่วงหัดเขียนอักษร ไม่รู้ว่าเจ้าไปหาภาพวาดทิวทัศน์ของฉิวยิงมาจากที่ใดได้หนึ่งรูป แล้วก็วาดภาพทิวเขาสูงตระหง่านตามภาพทิวทัศน์ในภาพนั้น จากนั้นก็กลัวว่าจะยุ่งยาก ก็เลยวาดลูกเจี๊ยบเอาไว้ที่ตีนเขาอีกสองสามตัวก็ถือเป็นอันเสร็จ พ่อของเจ้าถามเจ้าว่า อยู่ในหุบเขาลึกเช่นนี้ ไปเอาลูกเจี๊ยบมาจากที่ใดกัน เจ้าตอบว่า กลัวว่าจะถูกจับกิน ก็เลยเลือกเอามาจากที่บ้าน พ่อของเจ้าฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เดิมทีคิดจะลงโทษเจ้าให้หนักสักครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็จบด้วยการทำอะไรไม่ได้” ขณะที่กล่าว นางก็ถอนหายใจไปด้วยครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวต่อว่า “ถ้าหากพ่อของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ปีนี้ก็คงมีอายุได้หกสิบแปดปีแล้ว ได้เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะดีใจขนาดไหน! เมื่อก่อนเขามักจะพูดอยู่เสมอว่า ฮ่องเต้ทรงรักโอรสองค์โต แต่บิดามารดาให้ท้ายบุตรชายคนเล็ก ตอนเป็นเด็กหากว่าพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองของเจ้ากล้าดื้อรั้นเช่นนั้น คงจะถูกลงโทษให้ไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่โถงทางเดินตั้งนานแล้ว แต่กับเจ้า เขากลับไม่อาจแข็งใจทำเช่นนั้นได้ กลัวว่าจะให้ท้ายเจ้าจนเสียคน แต่ก็กล่าวว่า ให้ท้ายจนเสียคนก็ไม่เป็นไร เพราะยังมีพี่ชายของเจ้าทั้งสองคนคอยดูแลอยู่ ปกป้องเจ้าให้สบายไปทั้งชีวิตโดยไม่ต้องเป็นกังวลถึงเสื้อผ้าหรืออาหาร จะทำตามใจปรารถนาก็ไม่มีปัญหา แต่คิดไม่ถึงว่าถึงตอนนี้กลับเป็นพี่ชายทั้งสองคนของเจ้าที่ต้องขอบคุณและติดค้างเจ้า…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดไปด้วย ก็เช็ดหางตาไปด้วยอย่างเจ็บปวดใจ
เรื่องต่างๆ ที่เคยกระทำร่วมกับบิดานั้น เฉิงฉือจำไม่ค่อยได้แล้ว
เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มารดาเสียใจ ส่งสัญญาณให้เฝ่ยชุ่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้มารดา กล่าวปลอบโยนมารดาเสียงนุ่มว่า “ข้าเป็นเช่นนี้ไม่ดีหรือ จะดีจะร้ายก็ไม่ใช่คนเสเพลไม่เอาไหน ท่านแม่ควรจะยินดีกับข้าถึงจะถูก ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่เวลาจะทำอะไรยังต้องคอยดูสีหน้าของข้าก่อน!”
แต่นั่นก็ดีไม่เท่ากับการรับราชการเป็นขุนนาง!
ประโยคนี้ตีตื้นขึ้นมาวนเวียนอยู่บริเวณริมฝีปากของฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่ก็ถูกกลืนกลับลงไปอีกครั้ง
นางพยายามระงับความโทมนัสเอาไว้ ยิ้มพลางดึงผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตา กล่าวขึ้นว่า “ได้ยินว่าเจ้าให้พวกหนานผิงย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนลี่เสวี่ยหรือ หรือไม่เจ้าย้ายมาอยู่กับข้าที่นี่ดีหรือไม่ ห้องข้างที่อยู่ด้านหลังของข้ายังว่างอยู่ หากเจ้าต้องการเข้าออก ก็เข้าออกจากประตูที่อยู่ทางทิศเหนือได้ ไม่เป็นอุปสรรคอะไรกับธุระของเจ้าแน่นอน ทุกคนมาอยู่ด้วยกันก็คึกคักดี!”
เฉิงฉือลังเลกว่าครู่ใหญ่ กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะลองคิดดูขอรับ!”
ที่ผ่านมาบุตรชายจะปฏิเสธอย่างไม่มีอาการลังเลเลยสักนิด ครั้งนี้ยังมีครุ่นคิดสักพัก เท่านี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็พึงพอใจมากแล้ว รีบกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็คิดทบทวนให้ละเอียด เจียซ่านจะไม่กลับมาตลอดสองปีนี้ ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า หลายปีมานี้ก็ไม่ค่อยได้อยู่กับพี่ชายใหญ่ของเจ้า ข้าพูดกับนางแล้ว ให้นางอยู่ที่นั่นสักปีแล้วค่อยกลับมา ทีนี้จวนหลักก็เหลือเพียงพวกเราสองคน เจ้าเองในหนึ่งปีสี่ฤดูก็ไม่เจอใครสักคน…”
“ข้าทราบแล้วขอรับ!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ครุ่นคิด แล้วกล่าวเสริมขึ้นว่า “ช่วงนี้ทางด้านโน้นข้ากำลังง่วนอยู่กับการตรวจนับรายการทรัพย์สิน ณ ตอนนี้ยังไม่มีเวลาว่างขบคิดเรื่องนี้ รอข้าเสร็จเรื่องยุ่งๆ แล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกันขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่กล้าคะยั้นคะยออีก ยิ้มตาหยีขณะมองเฉิงฉือ แล้วให้เฝ่ยชุ่ยเปลี่ยนน้ำชาจอกใหม่ให้บุตรชาย
แสงแดดของฤดูหนาวลอดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างเฉียงๆ สาดส่องอยู่บนร่างของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
เกิดแสงจรัสแวววาวยามสบประสานเข้ากับเส้นผมสีเงินที่สอดแทรกอยู่ท่ามกลางเส้นผมสีดำ ส่งผลให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูแก่ชราขึ้นมาหลายส่วน
เฉิงฉือมองแล้ว ก็ให้รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ
มารดาอายุมากแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจพักผ่อนได้อย่างสงบด้วยต้องคอยเป็นกังวลเรื่องของเขา
แต่สำหรับเรื่องนี้ มารดาผิดอะไรด้วยเล่า
ก็เป็นเพียงการตัดสินใจเลือกจากการชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียแล้วก็เท่านั้น
พวกเขาเป็นบุตรหลานของตระกูลเฉิง ได้รับการเลี้ยงดูและสนับสนุนจากตระกูลเฉิง จึงต้องออกแรงเพื่อตระกูลเฉิง ถ้าหากไม่มีแม้แต่สำนึกในข้อนี้ แล้วจะมีสิทธิ์อะไรไปเสวยสุขกับสิ่งที่คนรุ่นก่อนหน้าของตระกูลเฉิงได้สร้างเอาไว้เล่า
เฉิงฉืออดไม่ได้ที่จะกุมมือของมารดาเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าจะย้ายเข้ามาในสองวันนี้ก็แล้วกัน! จะได้อยู่ฉลองปีใหม่เล็กกับท่านด้วยพอดี”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง นัยน์ตาเบิกกว้างจนเหมือนกับระฆังทองแดง มองไปที่บุตรชายอย่างตกตะลึง
ในใจของเฉิงฉือจึงยิ่งรู้สึกเศร้าสลดมากยิ่งขึ้น
เป็นบุตรชายเช่นพวกเขาเหล่านี้ที่ไม่กตัญญูรู้คุณ มีสิทธิ์อะไรไปทำให้มารดาต้องตกอยู่ในภาวะวิตกกังวลอยู่ตลอดด้วย
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง แล้วค่อยๆ ช่วยยืนยันความเข้าใจของมารดาให้ชัดเจน กระจ่าง และหนักแน่นยิ่งขึ้น
“ข้าบอกว่า พรุ่งนี้ข้าจะย้ายเข้ามาก็แล้วกันขอรับ” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “บ่ายวันนี้ท่านก็เร่งจัดคนไปทำความสะอาดห้องข้างที่อยู่ด้านหลังของท่านเสีย ข้าวของของข้าทางด้านโน้นมีมากมายนัก ส่วนประตูทางทิศเหนือนั้น เกรงว่าคงจะต้องสร้างโรงจอดเกี้ยวสักหลังหนึ่ง…เรื่องพวกนี้ข้าจะให้ฉินจื่ออันไปจัดการก็แล้วกัน…”
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ดีใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่จับมือของบุตรชายเอาไว้แล้วพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
***
รอจนกระทั่งเฉิงฉือออกมาจากเรือนหานปี้ซานแล้ว ไหวซานก็ขยับเข้าไปใกล้เขาอย่างอดรนทนไม่ได้
“นายท่านสี่ พวกเรา…พวกเรายังจะไปจากที่นี่อยู่หรือไม่ขอรับ” เขาถามขึ้นอย่างพินิจพิจารณา
ตอนที่กลับจากจิงเฉิงมาถึงจินหลิงนั้น นายท่านสี่พักอยู่ที่เจ่าหยวน แต่ก็ไม่อาจต้านทานต่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่คอยส่งเสื้อผ้าและอาหารมาให้ที่เจ่าหยวนทุกวัน นายท่านสี่จึงย้ายกลับมา แล้วเลือกเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยที่มีถนนหนทางที่เดินไม่สะดวกที่สุด แล้วตอนนี้ นายท่านสี่ก็ตัดสินใจจะย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน…
“เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง” เฉิงฉือรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ วันใดที่ข่าวคราวการย้ายไปอยู่ที่เรือนหานปี้ซานแพร่ออกไป ก็คงมีคนจำนวนมากที่ติดใจสงสัยเหมือนกับไหวซาน เขาตั้งใจให้ไหวซานเป็นคนไปแจกแจงคำอธิบายในเรื่องนี้ จึงกล่าวขึ้นว่า “หลังจากสองปีนี้ข้าก็ต้องจากไปแล้ว ก็ใช้โอกาสนี้แสดงความกตัญญูต่อท่านแม่ของข้าให้ดีสักหน่อยก็แล้วกัน! บุตรปรารถนาจะเลี้ยงดูแต่บิดามารดากลับไม่อยู่แล้ว แต่ข้านั้น ถึงแม้มารดายังอยู่แต่กลับไม่เลี้ยงดู ในสองปีนี้ ก็ให้เป็นความกตัญญูครั้งสุดท้ายที่ข้ามีต่อมารดาก็แล้วกัน!” กล่าวถึงประโยคสุดท้าย เขาก็รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนักอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่
ไหวซานขานตอบเสียงเบาว่า “ขอรับ” อารมณ์ของเขาก็สลดตามลงไปด้วยเช่นกัน
***
ณ เรือนเจียซู่ หลังจากที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนส่งโจวเสาจิ่นออกไปแล้ว ก็พูดถึงเรื่องของเฉิงอี้กับฮูหยินผู้เฒ่ากวน “…หากว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น สู่ขอบุตรสาวของพี่ชายเหมี่ยนจือให้เก้าเอ๋อร์ได้สำเร็จ ข้าก็อยากจะสู่ขอเสาจิ่นให้อี้เอ๋อร์เจ้าค่ะ ท่านเองก็เห็นแล้วว่า ถึงแม้เสาจิ่นจะดูอ่อนแอเปราะบาง แต่ในเวลาสำคัญกลับมีสติไม่ประมาท อีกทั้งยังจัดการอี้เอ๋อร์ได้อยู่หมัด มีนางมาช่วยข้าดูแลอี้เอ๋อร์ ข้าก็จะได้เบาใจลงได้บ้าง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “เด็กๆ ก็ยังเด็กกันอยู่ ทางด้านบุตรเขยก็เพิ่งจะย้ายไปที่เป่าติ้ง ยังมีเรื่องยุ่งให้ต้องสะสางอีกมาก ฮูหยินใหม่ก็ใกล้จะคลอดบุตรแล้ว สำหรับเรื่องนี้ต้องหาโอกาสที่เหมาะสมก่อนแล้วค่อยเอาไปคุยกับบุตรเขย”
“เจ้าค่ะ!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนขานรับด้วยความยินดี ยามได้พบหน้าโจวเสาจิ่นอีกครั้ง สายตาและท่าทางที่มีให้ก็เป็นมิตรขึ้นมาก ทำให้โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจ เดาไม่ออกว่าเป็นเพราะตนช่วยพูดกับเฉิงอี้ให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยน นางก็เลยปฏิบัติกับตนอย่างกระตือรือร้นมากขนาดนี้ หรือเป็นเพราะฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมีเรื่องอื่นที่ต้องการขอร้องนางให้ช่วย ก็เลยปฏิบัติกับนางอย่างกระตือรือร้นมากขนาดนี้กันแน่
โชคดีที่ช่วงปีใหม่มีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย นางก็เลยไม่ค่อยได้เจอฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเท่าไรนัก หลังจากที่รู้สึกไม่สบายใจไปเล็กน้อย ไม่นานนางก็รู้สึกผ่อนคลายลง เมื่อเห็นโจวชูจิ่นกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างวุ่นจนหัวหมุน นางจึงไปกำกับดูแลให้สาวใช้ในเรือนทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูต่างๆ
ฉือเซียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อก่อนเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นคุณหนูใหญ่ที่คอยจัดการ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่คุณหนูรองก็มาช่วยจัดการดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ได้แล้วเจ้าคะ”
ใบหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อ กล่าวอย่างพยายามสงวนท่าทีว่า “นั่นก็เป็นเพราะว่าปีนี้พวกเจ้าเกียจคร้านกว่าเดิมอย่างไรเล่า!”
ทุกคนในห้องต่างหัวเราะดังลั่นออกมาพร้อมกัน
ฉือเซียงกล่าวอย่างขัดเขินว่า “คุณหนูรองก็เริ่มที่จะล้อเล่นกับพวกบ่าวรับใช้แล้วเหมือนกันนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นหัวเราะ แสร้งกล่าวขึ้นอย่างดุดันว่า “รีบเช็ดบานหน้าต่างพวกนี้ให้สะอาดเสีย ถ้าหากปล่อยให้ข้าเห็นไรฝุ่นแม้เพียงสักนิด หมูตุ๋นผักดองของเที่ยงวันนี้ก็ไม่ต้องมีแล้วก็แล้วกัน”
ทุกคนต่างก็กล่าวเย้าแหย่ตามๆ กัน พูดหยอกล้อกันคนแล้วคนเล่าว่าโจวเสาจิ่นใจกว้างไม่เท่าโจวชูจิ่น
โจวเสาจิ่นไม่ใส่ใจ หัวเราะสดใสพลางเดินเข้าไปที่ห้องหนังสือ
ชุนหว่านวิ่งเข้ามารายงานว่า “คุณหนูรอง ฝานฉีกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นลุกขึ้นมาด้วยความดีใจ รีบกล่าวขึ้นว่า “รีบให้เขาเข้ามา!”
ชุนหว่านหมุนกายออกไปเรียกฝานฉี
เขาผ่ายผอมลงกว่าตอนที่ออกเดินทางเล็กน้อย แต่ก็สูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยด้วยเช่นเดียวกัน ท่าทางของเขายิ่งแล้วใหญ่ ดูหนักแน่นมั่นคงขึ้นมาก เริ่มมีลักษณะของผู้ใหญ่เพิ่มเข้ามาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการออกไปทำธุระอยู่ข้างนอกในช่วงสามเดือนนี้ทำให้เขาได้รับการขัดเกลามาไม่น้อย
เมื่อเห็นโจวเสาจิ่น เขาก็ทำความเคารพนางอย่างนอบน้อม
โจวเสาจิ่นเห็นเขาสวมชุดเผาจื่อผ้าเนื้อหยาบตัวใหม่เอี่ยม สะอาดสะอ้านและเรียบร้อย ทำให้รู้ว่าเขากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านมาเรียบร้อยแล้ว จึงสั่งให้ชุนหว่านไปยกเก้าอี้มาให้เขาตัวหนึ่ง
………………………………………………………………