ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 153 ออกอุบาย
ฝานฉีกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้เพียงครึ่งเดียว
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางถามเขาว่า “เจอแม่ของเจ้าหรือยัง”
“เจอแล้วขอรับ” ฝานฉีกล่าวอย่างนอบน้อม “ตอนที่ข้ากลับมานั้นสวมชุดเผาจื่อผ้าไหมลู่บุด้านในด้วยหนังขนกระรอกตัวหนึ่ง กลัวว่าท่านแม่ของข้าจะสงสัย ก็เลยกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านก่อนแล้วรอบหนึ่ง ถึงได้เข้ามาคุยกับท่านแม่ขอรับ”
นี่คือวิธีตบตาผู้คน
โจวเสาจิ่นพยักเห็นด้วย รอจนชุนหว่านนำน้ำชามาขึ้นโต๊ะและถอยออกไปแล้ว นางจึงถามฝานฉีถึงเรื่องที่เมืองจิงเฉิง
เป็นไปได้ว่าเพราะพอใจกับการเดินทางในครั้งนี้ของตัวเองเป็นอย่างมาก ฝานฉีเองก็ยั้งตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เล่าเรื่องการออกเดินทางในครั้งนี้ของตัวเองอย่างยินดีปรีดา และท่าทางก็เปลี่ยนกลับไปเป็นดังเดิมอีกครั้ง “…คนของตระกูลจี้คิดไม่ถึงว่า ไม่นานก็ถูกข้าสลัดทิ้ง…หลังจากที่ข้าครุ่นคิดถึงคำพูดของคุณหนูรองอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าด้วยอายุของข้า เกรงว่าจะข่มจิ้งจอกเฒ่าผู้มีประสบการณ์อย่างพวกนั้นไม่อยู่ ระหว่างทางข้าก็ถูกคนของตระกูลจี้สอบถามจนเกือบจะเผยเบาะแสออกไปแล้ว! แต่ข้าคิดไปคิดมา ก็เห็นว่าวิธีของคุณหนูรองมีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว ในเวลานั้นข้าเองก็ไม่มีวิธีอื่น อีกทั้งยังเห็นว่าเวลาที่คนของตระกูลจี้เหล่านั้นไปทำธุระอยู่ข้างนอกมักจะมองคนที่การแต่งตัวก่อนมองคนที่เนื้อแท้ ข้าก็เลยไปซื้อเสื้อผ้าดีๆ มาสองสามชุด แล้วว่าจ้างคนผู้หนึ่งมาแสดงเป็นผู้อาวุโสของข้า จากนั้นก็แสร้งทำตัวเป็นนายน้อยผู้หนึ่งเข้าไปขอพักที่อารามซ่างชิง วางแผนเอาไว้ว่าจะสืบเรื่องของตระกูลมู่กับตระกูลหลินให้กระจ่างเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที…
…ไม่คาดคิดว่าคนทำงานจรแซ่หยางผู้หนึ่งในอารามซ่างชิงแห่งนั้นเดิมทีเคยเป็นคนคอยต้อนรับแขกผู้มาเยือนของอารามซ่างชิงมาก่อน ต่อมากระทำความผิดจึงถูกลดขั้นลงมาอยู่ในส่วนงานจร นอกจากจะชอบคุยโวโอ้อวดแล้ว ยังชอบดื่มเหล้าอีกด้วย แรกเริ่มข้าต้องการสืบความจากเขาก่อน จึงซื้อพวกอาหารและกับแกล้มไปให้เขาอยู่บ่อยๆ ต่อมาค้นพบว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับคนจำนวนหนึ่งในวัดเต๋า ข้าจึงคิดให้เขาช่วยแนะนำพระเต๋าที่เข้ามาพักค้างอ้างแรมอยู่ในอารามซ่างชิงให้ข้าสักคนหนึ่ง…”
เขาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กระทั่งเล่าถึงตอนท้าย ตัวเขาเองก็หัวเราะขึ้นมาด้วยเช่นกัน “…ไม่คาดคิดว่าเมื่อถึงตอนท้าย ข้าไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องจะให้เงิน แต่เขากลับยอมกล้ำกลืนคำสบประมาทเสียเองไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องการคิดหาวิธีทำให้ตระกูลมู่แต่งบุตรสาวออกไปให้ได้ ยังบอกอีกว่า รอให้คุณหนูใหญ่ของตระกูลมู่แต่งงานออกไปแล้ว เขาจะไปซื้อชุดนักพรตเต้าเผาสีทองอร่ามทั้งตัวชุดหนึ่งมาจากร้าน ‘ฮวาเสี่ยงหรง’ ซึ่งเป็นร้านตัดชุดที่ดีที่สุดของจิงเฉิง และจะปักยันต์แปดทิศเอาไว้ที่ด้านหลังของเสื้อ แล้วเดินไปที่หน้าประตูบ้านของตระกูลมู่อีกหนึ่งรอบ หมายมั่นว่าจะต้องหลอกนายท่านมู่ผู้นั้นจ่ายเงินให้อารามซ่างชิงสักหลายๆ สิบเหลี่ยงเงินให้ได้ขอรับ”
โจวเสาจิ่นฟังแล้วรู้สึกทั้งประหลาดใจและทั้งยินดีไปด้วย
เรื่องที่ประหลาดใจคือเรื่องราวกลับตาลปัตรมีแต่เรื่องคาดไม่ถึง ส่วนเรื่องที่ยินดีคือฝานฉีเป็นคนคล่องตัวและกล้าหาญ ถือได้ว่าเขาปฏิบัติภารกิจในเรื่องนี้ได้สำเร็จลุล่วง
นางอดไม่ได้ที่จะพนมมือทั้งคู่ขึ้นมา หันไปทางทิศตะวันตกแล้วเอ่ยคำว่า “อมิตาภพุทธ” ครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นอีกว่า “ขอบพระคุณองค์พระโพธิสัตว์ที่ปกป้องคุ้มครอง”
ฝานฉีเห็นแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “คุณหนูรอง ท่านไม่เชื่อเต๋าแล้วหรือขอรับ ข้าได้ยินพระเต๋าเหล่านั้นพูดกันว่า พระพุทธสอนให้ฝึกฝนเพื่อชีวิตในชาติหน้า ส่วนพวกเขาให้ความสำคัญกับชีวิตในชาตินี้ เช่นนั้นคนที่มีชะตาชีวิตที่ดีอยู่แล้วอย่างเช่นคุณหนู จึงควรจะฝึกฝนเพื่อชาตินี้ ขอให้มีชีวิตที่ยืนยาวไม่แก่ไม่เฒ่านะขอรับ”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
ฝานฉีอาศัยอยู่ที่อารามซ่างชิงเพียงไม่กี่วัน คงไม่ได้ซึมซับคำสอนของพระเต๋าเหล่านั้นจนเปลี่ยนไปนับถือลัทธิเต๋าแล้วหรอกกระมัง
แล้วถ้าหากว่าเขาหลงใหลจนต้องการออกจากบ้าน เช่นนั้นฝานมามาจะทำอย่างไร
นางรีบโบกมือพลางกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ค่อยคุยกันอีกทีในวันหลังก็แล้วกัน” จากนั้นก็กล่าวยกย่องเขาว่า “โชคดีที่ได้เจ้าเป็นคนไป หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าเรื่องคงไม่ราบรื่นขนาดนี้ ช่วงที่ผ่านมาลำบากเจ้าแล้ว ช่วงนี้เจ้าก็พักผ่อนให้สบาย ข้าเองก็ได้อนุญาตให้ฝานมามาหยุดงานเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกก็ใช้เวลาคุยกันให้เต็มที่ รอให้ผ่านพ้นช่วงเทศกาลโคมไฟแล้ว เกรงว่าเจ้าคงต้องไปจิงเฉิงอีกสักครั้งหนึ่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้เจ้าได้บอกกับพระเต๋าแซ่หยางผู้นั้นเอาไว้แล้วว่าปีหน้าเจ้ายังจะไปที่นั่นอีก เช่นนั้นก็ไม่ลองทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องสนุกดูเล่า หาวิธีให้คนแซ่หยางผู้นั้นเป็นคนกลาง แล้วทำให้คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่แต่งเข้าตระกูลหลินให้ไวที่สุด”
ฝานฉีเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เขากล่าว “หากมิใช่เกรงว่าท่านแม่ของข้าจะเกิดความสงสัย ข้าก็คงจะอยู่รอให้คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่แต่งงานออกไปก่อนค่อยกลับมาแล้วขอรับ” ขณะที่กล่าว เขาก็ล้วงถุงเงินออกมาจากกระเป๋า กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ค่ากินอยู่ระหว่างเดินทางไปและกลับของข้าล้วนเป็นตระกูลจี้ที่ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ส่วนช่วงที่อาศัยอยู่ที่อารามซ่างชิงนั้น ความจริงแล้วจ่ายเงินเพียงสองเหลี่ยงก็พอแล้ว แต่ข้าคิดว่าเนื่องจากข้าแสร้งทำตัวเป็นนายน้อยผู้หนึ่ง ก็เลยจ่ายเงินให้พวกเขาไปห้าเหลี่ยง ที่เหลือก็จะเป็นค่าใช้จ่ายที่ใช้ซื้ออาหารและสุราเลี้ยงพระเต๋าแซ่หยางผู้นั้นซึ่งใช้ไปราวๆ สิบห้าเหลี่ยง เขาบอกว่าต้องไปขอศิษย์พี่ของเขามาช่วยเขาแต่งเรื่องโป้ปด ข้าก็เลยให้เงินเขาไปอีกยี่สิบเหลี่ยง ยังมีค่าใช้จ่ายจำพวกค่าจ้างเกี้ยว ค่าซื้อของว่างขนมขบเคี้ยว และค่าจ้างคนต่างๆ…รวมกันแล้วก็เป็นเงินทั้งหมดหกสิบเจ็ดเหลี่ยงกับอีกสามเฉียน และนี่คือเงินที่เหลือขอรับ เป็นตั๋วเงินจำนวนสี่ร้อยสามสิบเหลี่ยงกับเศษเงินเล็กน้อย ทั้งหมดอยู่ในนี้แล้วขอรับ!”
โจวเสาจิ่นดีใจขึ้นมาด้วยความคาดไม่ถึง กล่าวขึ้นอย่างใจกว้างว่า “เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ! เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วเจ้ายังต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงอีก รอให้กลับมาแล้วค่อยสรุปยอดพร้อมกันทีเดียวก็ได้”
ฝานฉีไม่กล้า กล่าวขึ้นอย่างกังวลใจและเกรงกลัวว่า “ข้ากลัวว่าจะทำหายขอรับ ท่านคงไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าการเดินทางไปจิงเฉิงครั้งหนึ่งนั้นต้องใช้เงินจำนวนเท่าไร จึงหยิบตั๋วเงินใบละสิบเหลี่ยงออกมาเพียงห้าใบเท่านั้น ตั๋วเงินที่เหลืออีกสี่ร้อยกว่าเหลี่ยงนั้น ข้าม้วนเก็บเอาไว้ในตะเข็บเสื้อด้านใน ทุกๆ สองชั่วยามจะคลำดูสักครั้งหนึ่ง จนคนของตระกูลจี้ยังคิดไปว่าร่างกายของข้ามีเห็บเหาเสียอีก! ตั๋วเงินนี้ท่านเก็บเอาไว้เถิด ตอนที่ข้าจะออกเดินทางค่อยมาเอากับท่านอีกครั้งก็แล้วกันขอรับ”
โจวเสาจิ่นก็พอจะเข้าใจถึงความกังวลของเขา
ชาติก่อนตอนที่นางหนีออกจากเมืองจินหลิงนั้น นำเงินติดตัวไปเพียงสองร้อยเหลี่ยงเท่านั้น คิดว่าขอเพียงมีเงินสองร้อยเหลี่ยงนี้ นางก็จะตามหาพี่สาวจนเจอได้ แต่ถ้าหากไม่มีตั๋วเงินสองร้อยเหลี่ยงนี้ ต่อไปนางอาจจะไม่ได้พบพี่สาวอีกแล้วก็เป็นได้ ในเวลานั้นนางจึงกลัวเหลือเกินว่าจะทำเงินตกหล่นหรือจะถูกพบเห็นและถูกขโมยโดยคนทำงานจับกังเหล่านั้น จึงกล่าวย้ำฝานหลิวซื่อครั้งแล้วครั้งเล่าว่าให้เก็บเงินซ่อนเอาไว้ให้มิดชิด
“เช่นนั้นก็ได้” นางยิ้มขณะที่รับตั๋วเงินมา จากนั้นก็หมุนตัวไปหยิบตั๋วเงินสิบเหลี่ยงจำนวนยี่สิบใบมายื่นส่งให้ฝานฉี กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่คือเงินสองร้อยเหลี่ยงที่ข้ารับปากเจ้าเอาไว้ เนื่องจากใกล้ถึงวันปีใหม่แล้ว พวกพ่อบ้านต่างก็งานยุ่งกันเป็นอย่างมาก ที่ดินสิบกว่าหมู่ที่เคยคุยกันนั้นคงต้องรอให้เจ้ากลับมาอีกครั้งแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ใบหน้าของฝานฉีขึ้นสีแดงเรื่อ กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง หน้าที่ของข้ายังไม่สำเร็จลุล่วงเลยนะขอรับ! ท่านรอข้ากลับมาจากจิงเฉิงอีกครั้งแล้วค่อยตกรางวัลให้ข้าดีกว่าขอรับ”
“เจ้ารับเอาไว้เถอะ” โจวเสาจิ่นยัดตั๋วเงินให้เขา กล่าวยิ้มๆ ว่า “จะได้เอาไว้ใช้ในวันขึ้นปีใหม่นี้พอดี”
ฝานฉีไม่กล้าปฏิเสธยื้อยุดไปมา จึงจำต้องรับเอาไว้
โจวเสาจิ่นยังมอบกล่องให้เขาอีกหนึ่งกล่อง กล่าวขึ้นว่า “ในนี้มีปิ่นทองหนึ่งชิ้นกับกำไลข้อมือทองหนึ่งคู่ ปิ่นทองมอบให้แม่ของเจ้า ส่วนกำไลข้อมือทองมอบให้เจ้ากับพี่ชายของเจ้าคนละหนึ่งชิ้น เอาไว้ใช้ในยามไปสู่ขอภรรยา”
“ขอบคุณคุณหนูรองมากขอรับ” ฝานฉีลุกขึ้นมาโขกศีรษะให้โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นพยักหน้าพลางยิ้มตาหยี แล้วให้ชุนหว่านส่งเขาออกจากประตูไป
ซือเซียงจึงกระซิบเสียงเบาว่า “ตั๋วเงินสองร้อยเหลี่ยงที่ฮูหยินให้มายังไม่ทันได้เอาไปเก็บให้อุ่นเลยก็ให้เป็นรางวัลแก่ผู้อื่นไปเสียแล้ว เห็นท่านเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าว่าต่อให้มีกองเงินกองทองก็คงปรนเปรอความมือเติบของท่านไม่ไหวเสียแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นนำถุงที่ฝานฉีคืนมาให้ไปวางไว้บนโต๊ะอย่างเคร่งขรึม กล่าวเรียบๆ ว่า “ในนี้มีตั๋วเงินทั้งหมดสี่ร้อยสามสิบเหลี่ยง ตั๋วเงินสี่ร้อยเหลี่ยงนั้นให้นำไปเก็บไว้ ส่วนตั๋วเงินสามสิบเหลี่ยงนั้นให้นำไปแลกเป็นลิ่มเงินกับท่านป้าใหญ่มาสักหน่อย เกรงว่าปีนี้คงต้องเอาไว้มอบเป็นรางวัลให้กับทุกคน ส่วนเศษเงินที่เหลือจากนี้…เนื่องจากช่วงนี้พวกเจ้าทำงานกันอย่างขยันขันแข็งยิ่งนัก ก็ให้พวกเจ้าเอาไปซื้อขนมขบเคี้ยวมาแบ่งกันก็แล้วกัน!”
ชุนหว่านดีใจจนลิงโลด ใช้ศอกกระทุ้งซือเซียงครั้งแล้วครั้งเล่า
ซือเซียงหน้าแดงด้วยความขุ่นเคืองพร้อมกับก้มหน้าลง
โจวเสาจิ่นกลั้นยิ้มพลางเดินเข้าไปในห้องชั้นใน เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน
ปี้อวี้รอนางอยู่ที่หน้าประตู
พอเห็นนางจากที่ไกลๆ ก็เดินเข้ามาต้อนรับ ยิ้มพร้อมกับทำความเคารพนางครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่กำลังจะย้ายเข้ามาอยู่กับพวกเราที่นี่แล้ว พ่อบ้านฉินกำลังนำคนมาเก็บกวาดเรือนหลีอินที่อยู่ด้านหลัง ได้ทำการติดผ้ากั้นล้อมเรือนหานปี้ซานเอาไว้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวว่าคนงานเหล่านั้นจะสร้างความขุ่นเคืองให้คุณหนูรอง ก็เลยให้ข้ามารอท่านอยู่ที่นี่เป็นการเฉพาะเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดอยู่ๆ ท่านน้าฉือถึงย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานฝั่งนี้ได้”
“อาจจะเป็นเพราะว่าพื้นที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยกว้างใหญ่ แต่คนรับใช้กลับมีน้อยลงแล้วกระมัง” ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ “ข้าได้ยินคนที่เคยรับใช้อยู่ในเรือนของนายท่านสี่กล่าวกันว่า นายท่านสี่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์เก่าแก่ คนข้างกายก็มักจะให้อยู่รับใช้กันยาวนานเจ็ดถึงแปดถึงปี บ่าวชายหรือผู้ช่วยเหล่านั้นยังพูดกันง่าย แต่พวกข้าที่เป็นสาวใช้นี้พออายุถึงเกณฑ์ก็ต้องปล่อยตัวออกไป แล้วยิ่งนายท่านสี่ไม่ปรารถนารับคนเพิ่ม จึงจำต้องย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันไปก่อนเจ้าค่ะ”
“นั่นก็จริง” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “และพวกเจ้าหลายคนที่นี่ก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาด อีกทั้งยังรู้หนังสือและมีดุลยพินิจที่ดี หากจะต้องเพิ่มสาวใช้ใหญ่อีกสักคน ไม่สู้ให้พวกเจ้าคอยรับใช้ยังจะดีเสียกว่า อย่างไรก็ตาม เช่นนี้งานของพวกเจ้าก็ต้องมีเพิ่มเข้ามาอีกมาก คงทำให้พวกเจ้าต้องลำบากเพิ่มขึ้นเสียแล้ว”
“นี่เป็นสิ่งที่พวกบ่าวต้องแบ่งกันทำอยู่แล้ว ไหนเลยจะนับเป็นความลำบากสองคำนี้ไปได้เจ้าคะ”
ปี้อวี้คุยกับนางไปด้วย พลางเดินไปทางเรือนหานปี้ซานไปด้วย
ไม่นานโจวเสาจิ่นก็มองเห็นผ้ากั้นเนื้อหยาบสีกรมท่าที่กั้นล้อมเอาไว้
พวกนางเดินอยู่ด้านในของผ้ากั้น พอได้ยินเสียงของบุรุษกล่าวเสียงอึกทึกอยู่ด้านนอกว่า “เร่งมือหน่อยๆ พ่อบ้านฉินกล่าวเอาไว้แล้วว่าจะต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนที่ฟ้าจะมืด หากทำเสร็จจะตกรางวัลเพิ่มให้ทุกคนคนละหนึ่งเหลี่ยงเงิน แต่หากทำไม่เสร็จจะหักเงินคนละหนึ่งเหลี่ยง เมื่อคำนวณแล้วก็จะเป็นเงินสองเหลี่ยง เงินตั้งสองเหลี่ยง! นำไปซื้อเสื้อกันหนาวเหมียนเอ่าลายดอกให้ภรรยาของพวกเจ้าได้ตัวหนึ่งเลยทีเดียว”
คนด้านนอกหัวเราะขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน
โจวเสาจิ่นเองก็หัวเราะขึ้นมาด้วยอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างมีวาทศิลป์ดียิ่งนัก
ปี้อวี้จึงกล่าวขึ้นว่า “ผู้นี้คือพ่อบ้านลู่ของที่นี่ ตอนเป็นเด็กไม่ระวังสำลักควันจนกระทบกับลำคอ ทำให้เวลาพูดออกมาแล้วเสียงเหมือนกับเป็ดตัวผู้ เป็นเหตุให้ผู้คนจดจำเขาได้ง่าย”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า
ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังของผ้ากั้นที่อยู่ข้างๆ
โจวเสาจิ่นกับปี้อวี้ต่างก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมากไปครั้งหนึ่ง
ปี้อวี้ยิ่งแล้วใหญ่ไปยืนบังโจวเสาจิ่นเอาไว้ แล้วร้องเสียงดังว่า “ผู้ใดกัน”
“ข้าเอง!” ผู้มาใหม่กล่าวขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา
โจวเสาจิ่นเพ่งสายตามอง ที่แท้ก็เป็นจี๋อิ๋ง
นางอดไม่ได้ลูบหน้าอกของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า พลางกล่าว “เจ้าทำข้าตกใจเสียแทบแย่”
จี๋อิ๋งกล่าว “ผู้ใดกันที่เอาผ้ากั้นมาล้อมรอบที่นี่เอาไว้ ข้าเดินไปเดินมากว่าครึ่งค่อนวัน จนเกือบจะหลงทางเสียแล้ว” ขณะที่กล่าว นางก็หันไปยิ้มให้โจวเสาจิ่น กล่าวต่อว่า “นายท่านสี่บอกว่าจะย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหลีอินของที่นี่ ข้าจำได้ว่าเจ้ามาคัดพระธรรมที่นี่ในทุกบ่าย ก็เลยตั้งใจมาบอกเจ้าสักหน่อย ต่อไปเจ้าจะมาหาข้าก็จะสะดวกขึ้นแล้ว!”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก ดึงแขนของปี้อวี้กลับมา “พวกเรารู้มาตั้งนานแล้ว!”
จี๋อิ๋งขุ่นเคืองจนเอาแต่ถลึงตาใส่
ทุกคนหัวเราะพลางเดินไปที่ห้องโถงหลัก
จี๋อิ๋งต้องการไปสำรวจดูว่าเรือนหลีอินตั้งอยู่ตรงที่ใด “…ข้าต้องการเลือกอยู่ในที่ที่เงียบสงบสักที่หนึ่ง”
ปี้อวี้บอกนางว่า “เจ้าเดินตรงไปทางทิศใต้ ที่นั่นจะมีห้องข้างขนาดสามห้องกั้นอยู่ พอเปิดหน้าต่างออกไปก็จะมองเห็นสระบัว ส่วนด้านหลังห้องก็ปลูกต้นทับทิมเอาไว้หลายต้น”
“ต้นทับทิมหรือ” ดวงตาทั้งสองข้างของจี๋อิ๋งเปล่งประกาย “ที่นี่พวกเจ้ามีต้นทับทิมด้วยหรือ ข้าไม่ได้เห็นดอกของมันมาหลายปีแล้ว”
แน่นอนว่าคำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปสักหน่อย
ปี้อวี้กลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินสื่อมามาเล่าให้ฟังครั้งหนึ่งว่า นายท่านสี่เป็นคนปลูกต้นทับทิมพวกนั้นมาตอนที่ยังเป็นเด็ก ก็เลยได้รับการดูแลอย่างหวงแหน!”
“เช่นนั้นข้าจะอยู่ที่นั่นก็แล้วกัน” จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็กระซิบข้างหูโจวเสาจิ่นว่า “จากนั้นจะแขวนถุงหอมและถุงเงินหลากหลายสีสันฉูดฉาดให้เต็มต้นทับทิม ข้าจะดูว่าเฉิงจื่อชวนยังจะอวดดีอยู่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นโบกมือลาจี๋อิ๋งด้วยอาการหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
………………………………………………………………….