ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 154 ย้ายบ้าน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องโถงหลัก แต่อยู่ในห้องข้างขนาดสามห้องกั้นที่ทำเป็นห้องเก็บของซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของห้องโถงหลัก
แสงแดดอบอุ่นของฤดูหนาวอาบไล้อยู่บน**บไม้จันทน์สีแดงม่วงเลี่ยมมุมด้วยทองแดงลายเมฆมงคล ดูเรียบง่าย เคร่งขรึม ทว่าก็หรูหรามีราคา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยืนอยู่ด้านหน้า**บที่เปิดคาเอาไว้พลางหันมากวักมือเรียกโจวเสาจิ่น “เจ้าลองมาดูสักหน่อยว่าแจกันใบนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ผิวกระเบื้องสีครามเคลือบมันเงา มีรอยแตกลายงาทีเสมือนกับลายบนกระดองของเต่า ตัวท้องแจกันกลมมน คอขวดยื่นยาว รูปทรงงดงามอ่อนช้อยเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้คนนึกถึงลำคอยาวของหงส์ที่งามสง่า
เป็นแจกันเกอเหยาของรัชสมัยก่อนหน้าที่ทัดเทียมกันได้กับแจกัน ‘คนงามใต้จันทรา’ ใบนั้น
โจวเสาจิ่นข่มกลั้นความประหลาดใจที่เกิดขึ้นภายในใจเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “งดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นสินติดตัวเจ้าสาวของท่านแม่ของข้า เวลานั้นเกิดความไม่สงบเนื่องด้วยสงคราม ครอบครัวของท่านตาของข้าเป็นตระกูลชั้นสูงประจำท้องถิ่น จึงเป็นตระกูลแรกสุดที่ถูกโจรปล้นชิงทรัพย์ก่อนคนอื่นๆ สิ่งของมีค่ามากมายภายในบ้านล้วนไม่มีเหลือ มีเพียงแจกันใบนี้เท่านั้นที่เหลือรอดมาได้เนื่องจากท่านยายของข้าซ่อนมันเอาไว้ในบ่อน้ำหลังบ้าน ต่อมาเมื่อข้าแต่งงานออกเรือน ท่านแม่ของข้านำมันมามอบให้ข้า ข้าอยากจะนำไปมันประดับไว้บนชั้นวางของมีค่าของน้าฉือของเจ้า เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
“น่าจะเข้ากันเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงสั่งการเฝ่ยชุ่ยที่รับใช้อยู่ข้างกายว่า “หยิบใบนี้ออกมา”
เฝ่ยชุ่ยขานรับ แล้วนำแจกันไปวางบนโต๊ะตัวยาวที่อยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็จดบันทึกรายการลงในสมุดบัญชีทรัพย์สิน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าข้ามีหม้อทรงกีบม้าเกอเหยาแตกลายงาลายก้ามปูอยู่ใบหนึ่ง…เฝ่ยชุ่ย เจ้าลองหาให้ละเอียดดูสักหน่อย แล้วนำมันไปวางคู่กับแจกันเกอเหยาแตกลายงาลายกระดองเต่าใบนั้น คงจะน่าดูน่าชมไม่น้อย”
เฝ่ยชุ่ยยิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็หาสมุดบัญชีรายการทรัพย์สินที่เขียนเอาไว้ว่า ‘เครื่องลายคราม’ ออกมาได้สิบเล่มจาก**บที่มีสมุดบัญชีเก็บเอาไว้จนเต็ม แล้วก็เริ่มพลิกดูหน้าแล้วหน้าเล่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงถอนหายใจกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “อายุมากแล้ว ข้าวของก็มากเหลือเกิน ข้าเองก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองมีของอะไรเก็บไว้บ้าง”
เช่นนี้ง่ายต่อการถูกลักขโมยของมีค่ายิ่งนัก
ในตอนนั้นที่สร้อยคอประดับด้วยไข่มุกและหยกอันล้ำค่าของไทเฮาหายไป ก็เป็นขันทีผู้ดูแลห้องเก็บสมบัติเป็นผู้ยักยอกเอาไป หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงใหญ่จะออกเรือน ทำให้ไทเฮานึกถึงของชิ้นนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วล่ะก็ เกรงว่าหากไทเฮาทรงสวรรคตไปแล้วก็คงไม่มีผู้ใดรู้แล้วว่าของชิ้นนี้ได้ถูกขโมยออกจากวังไปขายตั้งนานแล้ว
แต่สาวใช้หลายคนที่รับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวนี้ ดูลักษณะนิสัยแล้วล้วนเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว จึงไม่น่าจะมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ
ภายใต้ดวงตะวันอบอุ่นของฤดูหนาว นางดูราวกับดอกดารารัตน์ที่กำลังเบ่งบาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดทอดถอนหายใจอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้
ไม่แปลกที่เจียซ่านจะเฝ้าคะนึงหานางไม่ลืมเลือน เพียงแค่ใบหน้านี้ ก็ทำให้ผู้คนมองได้อย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย ในส่วนอื่นๆ กลับเป็นรองเสียแล้ว…เมื่อเปรียบเทียบจวงซื่อผู้นั้นกับโจวเสาจิ่นแล้ว ก็ยังโดดเด่นกว่าอยู่หลายส่วน นี่นับว่าอธิบายถึงคำกล่าวที่ว่าความรักลึกซึ้งไม่ยืนยาวได้ดีจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตบบนหลังมือของโจวเสาจิ่นเบาๆ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปิด**บที่แปะเอาไว้ด้วยกระดาษความว่า ‘ปีเจี๋ยจื่อ’ ออก หยิบกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาเปิด มีปิ่นทองลายดอกเบญจมาศฝังสลักด้วยขนนกกระเต็นสีฟ้าชิ้นหนึ่งวางนิ่งอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีม่วงแดง
ดอกเบญจมาศขนาดเท่าจอกเหล้า ฝังสลักเอาไว้ด้วยขนนกระเต็นสีฟ้า กลีบดอกเรียวยาวและหยักโค้ง เกสรสีทองอร่ามกวัดแกว่งไปมา ทั้งหมดดูมีชีวิตชีวาประหนึ่งมีชีวิตจริง
ฮูหยินผู้ฒ่ากัวปิดฝากล่องลง แล้วยื่นมันส่งไปให้โจวเสาจิ่น พลางกล่าว “ใกล้จะปีใหม่แล้ว นำไปสวมใส่เถิด!”
“ล้ำค่าเกินกว่าที่ข้าควรจะรับไว้เจ้าค่ะ” ถึงแม้โจวเสาจิ่นจะไม่รู้ที่มาของมัน ทว่าเพียงแค่มองก็รู้ได้ว่าเป็นของที่ไม่ธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง นางจึงพยายามปฏิเสธอย่างถึงที่สุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าช่วยข้าคัดลอกพระธรรมอยู่หรอกหรือ รับเอาไว้เสีย! หากว่ายังรู้สึกไม่สบายใจ รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ ก็ทำผ้าคลุมไหล่ให้ข้าสักผืนก็แล้วกัน ตอนที่ข้าคลอดน้าฉือของเจ้านั้นไหล่ของข้าต้องลมหนาว ในฤดูหนาวยังดีหน่อยที่มีกระถางไฟ แต่เมื่อถึงฤดูใบไหม้ผลิก็มักจะปวดอยู่เนืองๆ ต้องมีอะไรมาคลุมหัวไหล่เอาไว้ถึงจะรู้สึกดีขึ้น เช่นนั้นผ้าคลุมไหล่ของปีนี้ก็มอบหมายให้เจ้าเลยก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นรีบขานรับปากอย่างตะลีตะลาน แล้วรับกล่องมาจากมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
นางมองออกว่าภายในห้องเก็บของของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นไม่มีสักชิ้นที่ไม่ใช่ของดี นางกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะให้ของนางตามอำเภอใจอีก จึงลุกขึ้นแล้วกล่าวอำลา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ไม่ได้รั้งนางเอาไว้ ยังคงค้นหาของอยู่ในห้องเก็บของกับเฝ่ยชุ่ยต่อไป
โจวเสาจิ่นเพิ่งจะคัดพระธรรมอยู่ในห้องพระได้เพียงสองหน้า จี๋อิ๋งก็เข้ามาหา
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอยากไปดูเรือนหลีอินสักหน่อยหรือไม่”
โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เรือนหลีอินมีอะไรพิเศษอย่างนั้นหรือ”
ก่อนหน้านี้ นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่เรือนหานปี้ซานจะมีเรือนหลีอินอยู่ด้วยอีกหลังหนึ่ง
จี๋อิ๋งยิ้มพลางกล่าวขึ้นอย่างมีเลศนัยอยู่หลายส่วนว่า “ด้านนอกของเรือนหลีอินมีสนามฝึกการต่อสู้ที่วางแนวเป็นผังแปดทิศอยู่แห่งหนึ่ง หากคนทั่วไปเข้าไปคงจะหลงทางอย่างแน่นอน ข้าจะพาเจ้าไปเปิดประสบการณ์สักครั้งหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก
หรือว่าจะเป็นป่าไผ่ที่ตนหลงเข้าไปเมื่อคราวก่อนแห่งนั้น?
นางยังจำได้ว่าทางทิศตะวันออกของป่าไผ่แห่งนั้นเหมือนจะมีเรือนอยู่หลังหนึ่ง ดอกทับทิมสีแดงเพลิงหลายดอกชูช่อยื่นตัวออกมาจากด้านหลังของกำแพงดอกไม้
โจวเสาจิ่นกล่าว “เจ้ารู้เรื่องการวางกลยุทธ์การต่อสู้ด้วยหรือ”
“ข้าไม่รู้” จี๋อิ๋งกล่าว “แต่ว่าไหวซานรู้ เขาบอกว่าทุกๆ ห้าย่างก้าวให้ผูกเชือกสีแดงเอาไว้บนต้นไผ่ เมื่อทุกคนเดินไปตามแนวของเชือกแดง ก็จะไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดใดได้ แต่ถ้าเดินตามที่เขาบอกมามันจะมีอะไรให้น่าสนใจกัน พวกเราใช้โอกาสที่ไหวซานกำลังคอยคุมพวกบ่าวชายผูกเชือกแดงนี้เข้าไปวิ่งเล่นกันเถอะ หากหลงทาง ก็แค่ตะโกนดังๆ เสียงหนึ่ง ก็จะมีไหวซานเข้ามาช่วยแล้ว จะมีเวลาใดที่ดีไปกว่าเวลานี้อีกเล่า”
ทว่าโจวเสาจิ่นยังไม่หายจากอาการหวาดกลัวจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคราวก่อน
นางส่ายศีรษะรัวจนเหมือนกับกลองป๋องแป๋ง กล่าวขึ้นว่า “ไม่ได้ วันนี้ข้าต้องคัดพระธรรมเหล่านี้ให้แล้วเสร็จ วันหลังข้าค่อยไปเป็นเพื่อนเจ้าสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน!”
จี๋อิ๋งรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง กล่าวขึ้นว่า “อะไรเจ้าก็ดีไปหมด เสียแต่ว่าขี้กลัวไปหน่อยเท่านั้น”
โจวเสาจิ่นหน้าเจื่อน
จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ได้ ข้าไปคนเดียวก็ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าก็อย่ามารู้สึกเสียดายภายหลังก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าจี๋อิ๋งเป็นเหมือนกับเด็กน้อยผู้หนึ่งที่กำลังหลอกล่อให้ตนออกไปเล่นด้วยก็ไม่ปาน
นางยิ้มพลางเดินออกไปส่งจี๋อิ๋ง จากนั้นก็คัดพระธรรมต่อไป
กระทั่งนางคัดพระธรรมของวันนี้จนแล้วเสร็จ หลังจากที่เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
มีเสียงร้องตะโกนของจี๋อิ๋งดังออกมาจากป่าไผ่อย่างไม่ค่อยชัดเจนนัก
โจวเสาจิ่นตื่นตกใจไปครั้งใหญ่ รีบให้ซือเซียงไปหาไหวซาน
ไม่นานซือเซียงก็กลับมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “แม่นางจี๋อิ๋งถูกไหวซานหิ้วออกมาจากป่าไผ่เจ้าค่ะ”
“หิ้วหรือ” โจวเสาจิ่นไม่ค่อยเข้าใจนัก
ซือเซียงจึงเลียนแบบท่าทางของไหวซาน “เหมือนกับหิ้วปีกลูกไก่อย่างไรอย่างนั้นเลยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นนึกถึงสายตาเย็นชาของไหวซานตอนที่ตนได้พบกับไหวซานเป็นครั้งแรก
เกรงว่าไหวซานคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปเสียแล้ว
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด หลังจากที่กลับไปแล้วก็ไปคุยกับพี่สาว
พี่สาวกล่าวยิ้มๆ ว่า “คงจะเป็นผู้คุ้มกันของท่านน้าฉือกระมัง เพื่อดูแลกิจการของตระกูลแล้ว ท่านน้าฉือต้องเดินทางไปมาอยู่ข้างนอกบ่อยๆ ผู้คนที่ต้องพบเจอด้วยก็สารพัดสารเพ หากไม่มีผู้คุ้มกันที่มีทักษะการต่อสู้ที่เป็นเลิศอย่างไหวซานอยู่ข้างกายด้วยผู้หนึ่งแล้วล่ะก็ เขาจะกล้าไปติดต่อกับพ่อค้าเดินสมุทรติดอาวุธเหล่านั้นได้อย่างไร!” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วก็กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ได้ยินมาว่า นายท่านผู้เฒ่าลี่ของจวนรองนั้นเสียชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มเดินสมุทร”
โจวเสาจิ่นตกตะลึง กล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่บอกว่าเสียชีวิตจากอาการป่วยหรอกหรือเจ้าคะ”
นายท่านผู้เฒ่าลี่ของจวนรองก็คือบุตรชายคนเดียวของท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จากจวนรอง และก็เป็นสามีของนายหญิงผู้เฒ่าถังนั่นเอง
โจวชูจิ่นหันไปมองรอบด้านทั้งสี่ทิศ เมื่อเห็นว่าภายในห้องมีเพียงพวกนางสองพี่น้อง ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก มีอยู่วันหนึ่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากนอนกลางวัน ท่านยายกับท่านลุงใหญ่กำลังคุยกันอยู่ที่ด้านนอกของฉากกั้น ในเวลานั้นท่านลุงใหญ่เพิ่งเข้ามาดูแลกิจการของครอบครัวได้ไม่นาน ชีวิตความเป็นอยู่ของที่บ้านยากลำบากนัก ไม่รู้ว่าท่านลุงใหญ่ไปได้ใบอนุญาตค้าเกลือจากที่ใดมา บอกว่าต้องไปรับเกลือที่เมืองหย่งเจีย แต่ท่านยายไม่ให้ท่านลุงใหญ่ไป ตอนนั้นยังกล่าวด้วยว่า เจ้าดูท่านลุงลี่จากจวนรอง อยากได้เงินก็มีเงิน อยากได้สิ่งของก็มีเงินซื้อหา อีกทั้งยังเป็นคนมีความสามารถ แต่สุดท้ายกลับต้องมาเสียชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มเดินสมุทร…”
โจวเสาจิ่นเชื่อครึ่งหนึ่งแต่ก็สงสัยด้วยครึ่งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าราชสำนักมักจะพูดอยู่เสมอว่ากลุ่มเดินสมุทรเป็นกลุ่มที่รวมกันตัวสร้างความเดือดร้อนที่ไม่อาจปล่อยเอาไว้หรอกหรือเจ้าคะ ในเวลานั้นท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองน่าจะรับราชการอยู่ในวังหลวงแล้วถึงจะถูก ถ้าหากว่านายท่านผู้เฒ่าลี่เสียชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มเดินสมุทร เหตุใดถึงไม่ฟ้องร้องกับทางการเล่า ต่อให้ไม่อาจจับตัวผู้ลงมือมาได้ ก็น่าจะทำให้กลุ่มเดินสมุทรได้รับความเสียหายครั้งใหญ่ได้ถึงจะถูก!”
“รายละเอียดปลีกย่อยนั้นข้าเองก็ไม่รู้” โจวชูจิ่นกล่าว “มีปีไหนบ้างที่ราชสำนักไม่พูดว่ากลุ่มเดินสมุทรคือกลุ่มที่ทำลายกฎหมายบ้านเมือง แต่มีครั้งไหนบ้างที่จัดการกับกลุ่มเดินสมุทรได้อย่างเด็ดขาด ไม่แน่ว่ากลุ่มเดินสมุทรนี้ก็มีความแข็งแกร่งของตัวเอง ต่อให้ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองจะเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้คนทำการค้าที่ถูกต้องน่านับถือ จะไปยั่วเย้าพวกหัวขโมยพเนจรเหล่านี้ได้อย่างไร ไม่แน่ว่าเรื่องราวในเวลานั้นก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจอธิบายได้อย่างแน่ชัดว่าใครผิดใครถูก เสมือนกับการดึงหัวไชเท้าที่มีดินโคลนติดมาด้วยก็เป็นได้!”
โจวชูจิ่นค่อนข้างไม่ใส่ใจนัก
“นี่ก็จริงเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นทอดถอนใจพลางกล่าว “เพียงแต่สงสารนายหญิงผู้เฒ่าถังก็เท่านั้น ต้องเป็นแม่หม้ายเลี้ยงบุตรตามลำพังมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้”
“ฉะนั้นถึงได้กล่าวว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ซึ่งก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าอะไรน่าสงสารหรือไม่น่าสงสาร” โจวชูจิ่นกล่าว “ถ้าหากว่านายท่านผู้เฒ่าลี่ยังมีชีวิตอยู่ มีท่านผู้นำตระกูลจวนรองคอยออกอุบายให้ความช่วยเหลือ จวนหลักไหนเลยจะมีวันนี้ได้ ท่านผู้นำตระกูลของจวนรองมีอายุมากกว่าท่านผู้นำของจวนหลัก นายท่านผู้เฒ่าลี่ก็มีอายุมากกว่านายท่านผู้เฒ่าซวิน…นี่นับเป็นชะตาที่ฟ้าเป็นผู้ลิขิต เจ้าไม่อาจปฏิเสธชะตากรรมได้หรอก!”
อำนาจของครอบครัวมีจำกัด พอโตขึ้นก็ต้องรีบรู้ความให้ได้ไว รู้ความได้ไวก็ช่วยให้ตัวเองแก่งแย่งอำนาจมาได้มากขึ้น และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดภรรยาเอกถึงไม่กลัวสามีไปมีอนุภรรยา แต่จะกลัวมากกว่าหากว่าบุตรชายที่อนุภรรยาคลอดออกมามีอายุมากกว่าบุตรชายของตน
โจวเสาจิ่นนึกถึงระเบียนประวัติของตระกูลที่อยู่ในการครอบครองของท่านผู้นำตระกูลจวนรองมาโดยตลอด
ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองย่อมไม่อาจยอมแพ้ได้อย่างแน่นอน ก็เลยฝากความหวังเอาไว้ที่เฉิงสือ
สองพี่น้องกระซิบกระซาบเรื่องที่เป็นความลับกันครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเริ่มสายแล้ว จึงเดินไปที่เรือนเจียซู่
ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับมีแขกอยู่ด้วย
ซื่อเอ๋อร์กระซิบบอกโจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นว่า “เป็นฮูหยินใหญ่ไป่จากตรอกฉุนอี้เจ้าค่ะ บอกว่าพอได้ยินเรื่องของหลานทิงกับซินหลานแล้ว ก็เลยตั้งใจมาหานายหญิงผู้เฒ่าเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็โกรธจนใบหน้าแดงก่ำ กล่าวขึ้นว่า “พวกเราปฏิบัติอย่างอยุติธรรมต่อเฉิงไป่หรืออย่างไร นางถึงยังมีหน้ามาหาท่านยายเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงอีก! แล้วนางจะชี้แจงข้อเท็จจริงอะไรหรือ พวกเราไม่ไปเอาเรื่องนางก็ดีเท่าไรแล้ว”
“คุณหนูรองอย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ” ซื่อเอ๋อร์กระซิบกล่าวเสียงเบา “นางไม่ได้มาเพื่อชี้แจงให้เฉิงไป่ แต่นางมาเพื่อชี้แจงให้ตัวเองเจ้าค่ะ บอกว่านางไม่รู้เรื่องอะไร ตอนที่เฉิงไป่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่อยู่บ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ นางที่เป็นสตรีเพียงผู้เดียวจะควบคุมสามีของตัวเองได้อย่างไร สิ่งที่เฉิงไป่กระทำอยู่นอกบ้าน นางล้วนไม่ทราบเรื่อง ยังบอกอีกว่าตอนที่เฉิงไป่เสียชีวิตนั้นเฉิงลู่อายุเพียงแค่หกขวบ จึงยิ่งไม่รู้ว่าบิดากระทำเรื่องอะไรเอาไว้บ้าง วันนี้ความผิดที่เฉิงไป่ได้กระทำเอาไว้ กลับนำหายนะมาสู่ลูกหลาน นางคิดแล้วก็รู้สึกอยากตายไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง พูดมาเกือบจะครึ่งชั่วยามแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไร แม้คำปลอบใจนางสักประโยคก็คร้านจะพูดแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นได้ยินแล้วต่างก็รู้สึกว่าช่างน่าขันยิ่งนัก
โจวชูจิ่นถึงกับกล่าวขึ้นว่า “เมื่อก่อนข้าก็หลงคิดไปว่าถึงแม้ฮูหยินใหญ่ไป่จะเป็นคนกลับกลอกโลเลไปบ้างแต่ก็ยังพอจะพูดจาด้วยเหตุผล ทั้งที่ยังไม่เคยเผชิญความเจ็บปวดด้วยตัวเอง วันนี้ที่หายนะกำลังจะมาถึงตัว กลับพูดอะไรออกมาทำนองว่านำหายนะมาสู่ลูกหลาน คนตายแล้วก็เหมือนกับตะเกียงที่อับแสง หากว่าไม่อาจส่งต่อหายนะมาสู่ลูกหลานได้ เช่นนั้นหลังจากที่ฆ่าคนตายหรือวางเพลิงแล้วใครๆ ก็ผูกคอฆ่าตัวตายหนีความผิด แล้วเรื่องติดค้างทั้งหมดก็จะจบลงตามคนที่ตายไปแล้ว เช่นนั้นจะมีผู้ใดเกรงกลัวต่อการก่ออาชญากรรมหรือการกระทำผิดกฎหมายอีกเล่า” ขณะที่นางกล่าว ก็ยกเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังห้องโถงหลัก “นางมาตามรังควานท่านยายเช่นนี้หมายความอย่างไร ให้นางมาพูดกับข้านี่!”
……………………………………………………………