ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 155 อบรมสั่งสอน
โจวเสาจิ่นกลัวว่าพี่สาวจะเสียเปรียบ จึงรีบเดินตามเข้าไปในห้องด้วย
ต่งซื่อกำลังคุกเข่ากอดขาของฮูหยินผู้เฒ่ากวนอยู่ตรงนั้นพลางสะอื้นไห้ไปด้วยจนน้ำมูกน้ำตาไหล ฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่นั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นมองต่งซื่อด้วยความรู้สึกกึ่งช่วยอะไรไม่ได้กึ่งไม่พอใจ ท่าทางราวกับปวดศีรษะเป็นอย่างมากก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็บันดาลโทสะขึ้นมาในทันที เพียงแต่ไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยปาก โจวชูจิ่นก็ร้องเรียก “ฮูหยินใหญ่ไป่” ขึ้นมาก่อนเสียงหนึ่ง ปั้นหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “ท่านมาถึงตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้พบท่านขณะที่พวกเราสองพี่น้องมาคารวะยามเช้าท่านยายเช่นนี้ ท่านประสบเรื่องทุกข์ใจอันใดหรือ ถึงได้ร้องห่มร้องไห้จนหน้าตาเลอะไปหมด ดวงตาก็แดงก่ำ ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงจนไม่เป็นทรงแล้วเจ้าค่ะ” ขณะที่กล่าว ก็ก้าวออกไปประคองต่งซื่อไปด้วย และกล่าวตำหนิซื่อเอ๋อร์ที่พุ่งเข้ามาช่วยด้วยอย่างไม่พอใจว่า “พี่สาวซื่อเอ๋อร์ก็เหมือนกัน ฮูหยินใหญ่ไป่มีสภาพเช่นนี้ เจ้ากลับไม่บอกให้พวกสาวใช้เด็กไปตักน้ำเข้ามาให้ฮูหยินใหญ่ไป่ล้างหน้าล้างตา!” จากนั้นก็ดึงต่งซื่อขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ท่านมีเรื่องที่ไม่อาจกล่าวกับท่านป้าใหญ่ของข้าหรือเจ้าคะ ถึงต้องมาร่ำไห้ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้ นี่ก็จะปีใหม่แล้ว จะเป็นลางไม่ดีเอาได้! ผู้ที่รู้อยู่แล้วอาจจะกล่าวว่าเพราะท่านกับท่านยายของข้ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันประหนึ่งมารดากับบุตรสาว มีเรื่องอะไรก็มาบอกเล่าให้ท่านยายฟังโดยไม่ต้องเคร่งครัดเรื่องกิริยามารยาทมากนัก แต่ผู้ที่ไม่รู้จะคิดไปได้ว่าในบ้านของท่านมีคนสิ้นใจตายหรือไม่ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้เอาได้นะเจ้าคะ…”
สาปแช่งให้มีคนตายหรือเกิดไฟไหม้ในบ้านของพวกเขาเช่นนี้ เฉิงลู่ที่กำลังรีบรุดกลับบ้านมาฉลองปีใหม่ก็ยังกลับไม่ถึงบ้านอย่างปลอดภัยเลย อีกทั้งจวนจะถึงปีใหม่แล้ว ถึงอย่างไรโจวชูจิ่นก็เป็นเพียงคนรุ่นหลังที่เด็กกว่าตนหนึ่งรุ่น ต่งซื่อไหนเลยจะยังทนอยู่ได้ จึงกระโดดพรวดขึ้นมาพลางกล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้พูดอะไรพล่อยๆ เจ้าก็รู้ว่าใกล้จะปีใหม่แล้ว เรื่องคนตายหรือไฟไหม้ เป็นเรื่องที่สมควรกล่าวออกมาเช่นนี้ได้หรือ…”
โจวชูจิ่นไม่รอให้ถ้อยคำของต่งซื่อสิ้นเสียงลง ก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ เพียงแต่ได้ยินพวกสาวใช้เด็กที่อยู่ข้างนอกต่างพูดกันเช่นนี้ ยังคิดว่าในบ้านของท่านเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ จึงพลั้งปากกล่าวออกไปชั่วขณะหนึ่ง ท่านก็เป็นผู้ใหญ่อย่าได้ถือสาผู้น้อยเลย ครั้งนี้ก็โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิดนะเจ้าคะ ในเมื่อทั้งมารดาและบุตรในบ้านท่านต่างก็สุขสบายดี เหตุใดท่านถึงได้มาร้องไห้คร่ำครวญเช่นนี้ ทำเอาทุกคนที่อยู่ข้างนอกต่างพากันกล่าวถึงเรื่องนี้กันไปหมด…”
ต่งซื่อพูดไม่ออก แล้วก็เหลือบไปเห็นโจวเสาจิ่น
ใบหน้าที่ร่วงโรยตามวัยของนางขึ้นสีแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่
ยามที่อยู่ต่อหน้าโจวเสาจิ่น นางมักจะมีภาพลักษณ์ที่สง่างามและมีจิตใจกว้างขวาง สำรวมและเคร่งขรึมอยู่เสมอ…
ต่งซื่อถลึงตาใส่โจวชูจิ่นครั้งหนึ่งอย่างดุดัน
เฉิงไป่ก่อเรื่องอื้อฉาวน่าอับอายขายหน้าเช่นนั้นออกมา นางยอมร่ำไห้เช่นนี้จนผู้อื่นได้ทราบกันไปทั่ว ยอมให้ผู้อื่นนินทาลับหลังถึงเรื่องอันโหดเ**้ยมไร้จิตใจของเฉิงไป่ได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ นางไม่อาจยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าจะต้องพาบุตรชายมากล่าวขอโทษโจวเสาจิ่นสองพี่น้อง หรือมาขอขมาลาโทษคนของตระกูลโจวได้ เพราะการทำเช่นนั้นจะไม่ยิ่งเป็นการยืนยันเรื่องอื้อฉาวของเฉิงไป่หรอกหรือ หากบุตรชายของนางต้องแบกข้อครหานี้ไว้ เช่นนั้นต่อไปเขาจะเงยหน้าขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนอีกได้อย่างไร ยังจะกล่าวถึงเรื่องแต่งงานอีกได้อย่างไร
ตอนนางอยู่ที่บ้านก็ขบคิดแล้วขบคิดอีก คิดว่าจะดีจะร้ายตนก็อาวุโสกว่าพี่น้องตระกูลโจวอยู่รุ่นหนึ่ง อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เอ็นดูสงสารนางที่เลี้ยงดูบุตรมาอย่างยากลำบากเพียงลำพังมาโดยตลอด หากนางสะอื้นไห้อย่างน่าอับอายต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนไปแล้วหนหนึ่ง ไม่แน่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนอาจจะใจอ่อน แล้วปล่อยเรื่องนี้ไปก็เป็นได้ รอให้เฉิงลู่กลับมา ค่อยให้เขาตระเตรียมของขวัญล้ำค่าสำรองเอาไว้ไปขอขมาเฉิงเหมี่ยนอีกครั้ง เฉิงเหมี่ยนยังจะขัดขืนไม่เชื่อฟังฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้อยู่หรือ จากนั้นทุกคนก็คงจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกไปโดยปริยาย
หากว่าจวนสี่ไม่สืบสาวราวเรื่อง จวนอื่นๆ จะเอาอะไรมาซุบซิบนินทาได้อีก!
สำหรับตระกูลโจว หากว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่เอาเรื่อง เฉิงไป่เองก็จากไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว กล่าวออกไปก็ไม่เกิดผลดีอันใดต่อจวงซื่อ นางจะมอบที่นาทำเลดีสามสิบหมู่ที่เชิงเขาจงซานผืนนั้นชดเชยให้แก่ตระกูลโจว ด้วยเห็นแก่หน้าของตระกูลเฉิง บางทีตระกูลโจวอาจจะไม่สอบสวนเพื่อเอาผิดเรื่องนี้อีกก็เป็นได้
ทว่าคาดไม่ถึงว่าครั้งนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับใจแข็งไม่ยินยอม พร่ำกล่าวเพียงว่านี่เป็นเรื่องของตระกูลเฉิงกับตระกูลโจวสองตระกูล นางเป็นเพียงอดีตแม่ยายผู้หนึ่ง ไม่อาจใช้อำนาจบีบบังคับด้วยเหตุผลเพียงเพราะช่วยเลี้ยงดูบุตรสาวสองคนให้ตระกูลโจวได้…นางจึงไม่มีวิธีอื่นใดนอกจากร่ำไห้
วันนี้ถูกโจวเสาจิ่นมาเห็นเข้าพอดี เกรงว่าวันหลังก็ยากที่จะวางมาดของผู้อาวุโสเช่นนั้นต่อหน้านางได้อีก
โจวเสาจิ่นเห็นพี่สาวถูกจ้องเขม็ง ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
แต่ก่อนนางก็หลงคิดไปว่าต่งซื่อเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีและอ่อนโยนผู้หนึ่ง
แม้นได้รับจุดจบเช่นนั้นในชาติก่อนแต่นางก็ไม่เคยกล่าวโทษผู้ใดเป็นจริงเป็นจังเลย!
โจวเสาจิ่นอดกล่าวไม่ได้ว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องจ้องพี่สาวข้าเช่นนั้นก็ได้ ไม่ว่าผู้ใดมาเห็นท่านร้องไห้ฟูมฟายใหญ่โตขนาดนี้ ก็ย่อมคิดว่าบ้านของท่านเกิดเรื่องใหญ่กันทั้งนั้น! พี่สาวของข้าเพียงแค่เป็นห่วงท่าน หากว่าเป็นเรื่องของผู้อื่น พี่สาวของข้าคงจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรแล้วเดินจากไปเสียตั้งนานแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องของท่านยังมีท่านยายของข้าอยู่ หรือว่าท่านคิดจะมาหาความผิดเอากับพวกข้าสองพี่น้องอย่างนั้นหรือ”
ต่งซื่อรู้มาโดยตลอดว่าโจวชูจิ่นนั้นชาญฉลาดและมีความสามารถ ถ้อยคำที่กล่าวไปเมื่อครู่นั้นราวกับเข็มที่ซ่อนอยู่ในปุยฝ้าย นางรู้สึกหวั่นกลัวโจวชูจิ่นเล็กน้อย ทว่าตอนนี้พอโจวเสาจิ่นกล่าวแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่ง นางจึงกระหวัดนึกไปถึงโจวเสาจิ่นที่ไม่เคารพนางในงานวันเกิดของผู้นำตระกูลจวนรองคราวนั้น ทั้งนึกถึงบุตรชายที่หมายจะสู่ขอนาง แต่ไม่คาดคิดว่านางจะไม่สำนึกในความปรารถนาดีของผู้อื่น จึงพลันรู้สึกกรุ่นโกรธด้วยความอับอาย พลางคิดว่าแม้ข้าจะต่อกรกับโจวชูจิ่นไม่ได้ แต่เรื่องจัดการโจวเสาจิ่นอย่างเจ้านั้นข้าได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว จึงอ้าปากโต้แย้งกลับไปอย่างไม่คิดว่า “เสาจิ่น เจ้าไปฝึกลับฝีปากกับผู้อื่นจนคมคายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่ผ่านมายามเซียงชิงของพวกข้าอยู่ต่อหน้าข้าก็มักจะเอ่ยชมเจ้าอยู่เสมอ กล่าวว่าเจ้าเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม อ่อนโยนและมีจิตใจดี เป็นเด็กสาวนิสัยดีที่หาได้ยากผู้หนึ่ง…”
พอโจวเสาจิ่นได้ยินนางเอ่ยถึงเฉิงลู่ความโกรธก็พลุ่งพล่านขึ้นจนตัวสั่นไปทั้งร่าง
ไม่แปลกใจที่ชาติก่อนสองแม่ลูกคู่นี้ต่างก็ไม่เคยเห็นตนเองอยู่ในสายตา ที่แท้ก็เป็นเพราะผู้อื่นคิดว่านางมีจิตใจดีทำให้ข่มเหงรังแกได้ง่ายนี่เอง!
นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไหนเลยจะยังสนใจเรื่องลำดับความอาวุโส กล่าวแทรกคำพูดของต่งซื่ออย่างเย็นชาว่า “ท่านพูดถึงเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ข้าเป็นเพียงหญิงสาวในห้องหอผู้หนึ่ง เหตุใดพี่ชายลู่ถึงเอาเรื่องของข้าไปกล่าวกับท่านลับหลังข้าได้ ข้าเห็นว่าพี่ชายลู่เป็นสุภาพบุรุษที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมผู้หนึ่งที่มักให้ความเคารพนอบน้อมต่อพวกพี่ชายน้องชาย แล้วก็ดูแลเอาใจใส่พวกข้าที่เป็นน้องสาวทั้งหลายอย่างดี แต่เหตุไฉนพอท่านกล่าวออกมา กลับกลายเป็นว่าประหนึ่งเปลี่ยนอุปนิสัยของเขาจนกลายเป็นคนละคนไปได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกข้าต่างก็มองพี่ชายลู่ผิดไป พอลับตาคนพี่ชายลู่กลับกลายเป็นผู้ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นผู้หนึ่ง…”
ต่งซื่อได้ยินแล้วก็เดือดดาลจนลมแทบจับ
การที่โจวเสาจิ่นสวมหมวกใบใหญ่เป็นข้อกล่าวหามาให้เช่นนี้ ในภายภาคหน้าบุตรชายยังจะเป็นผู้มีคุณธรรมได้อยู่อีกหรือ!
สิ่งสำคัญกว่านั้นคือนางไม่อยากจะเชื่อว่าโจวเสาจิ่นจะเป็นผู้เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมา
ที่ผ่านมาโจวเสาจิ่นอ่อนแอไร้ความสามารถ จะต้องมีคนหนุนหลังนางเป็นแน่ นางถึงได้กล้าต่อปากต่อคำกับตนเช่นนี้
“เสาจิ่น เจ้าดูเจ้าตอนนี้สิว่ายังหลงเหลือกิริยาของสตรีชั้นสูงอยู่ตรงที่ใดบ้าง” ต่งซื่อเบิกตากว้าง พลางกล่าวอย่างเคียดแค้น “เจ้ารีบหยุดพล่ามได้แล้ว หากว่าถ้อยคำเหล่านี้ไปได้ยินถึงหูของผู้อื่นล่ะก็ พวกเขาจะคิดว่าเจ้าชอบนินทาว่าร้าย และชอบแสดงฝีปากเอาได้…”
โจวชูจิ่นได้ยินแล้วก็ก้าวออกมาข้างหน้าสองสามก้าว หมายจะตอบโต้คำตำหนินั้นของต่งซื่อ
โจวเสาจิ่นเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ผู้คนล้วนชื่นชอบบีบลูกพลับเนื้ออ่อน แต่ก่อนตนก็เป็นลูกพลับเนื้ออ่อนลูกนั้น ต่งซื่อนั้นต้องการบีบคั้นตน เว้นเสียแต่ว่านางอยากจะหลบอยู่ข้างหลังพี่สาวตลอดไปเฉกเช่นชาติก่อน หาไม่แล้วนางก็ต้องลุกขึ้นมาตอบโต้ต่งซื่อด้วยตนเอง ให้ต่งซื่อรู้ว่า แม้อุปนิสัยนางจะดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีหลักการหรือไม่มีเส้นแบ่งขอบเขต
“ฮูหยินใหญ่ไป่ คำพูดนี้ข้าไม่อาจเห็นดีเห็นงามด้วยเจ้าค่ะ” นางดึงตัวพี่สาวเอาไว้ พลางกล่าวแทรกประโยคของต่งซื่อว่า “เบื้องบนข้ามีท่านยาย เบื้องล่างข้ามีท่านป้าใหญ่ ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ของข้าต่างไม่เคยกล่าวเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเรื่องการอบรมสั่งสอนคุณธรรมของข้านั้นจำต้องให้ท่านมาดูแลรับผิดชอบแทนตั้งแต่เมื่อใด หรือว่าท่านคิดว่าท่านสั่งสอนบุตรชายจนเป็นซิ่วไฉได้ผู้หนึ่งแล้ว จึงมีเกียรติสูงส่งกว่าท่านยายหรือท่านป้าใหญ่ของข้าอย่างนั้นหรือ หากว่าท่านอยากได้รับเกียรติส่วนนี้จริงๆ ล่ะก็ ข้าแนะนำให้ท่านไปดูแลจัดการเรื่องราวภายในบ้านของตัวเองให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยมาสั่งสอนเถอะ! จะได้ไม่เป็นการยืนอยู่ที่ประตูและชี้นิ้วกล่าวถึงเรื่องของคนอื่นในขณะที่ซุ้มองุ่นหลังเรือนของตนเองกลับพังถล่มลงมา จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะเอาเปล่าๆ นะเจ้าคะ”
เมื่อสักครู่ต่งซื่อยังพูดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนอยู่ว่าตนไม่รู้เรื่องที่เฉิงไป่ได้กระทำลงไป ตอนนี้ถูกโจวเสาจิ่นเย้ยหยันว่าโง่งมไร้ความสามารถ นางทั้งโกรธเคืองทั้งอับอาย ใบหน้าแดงก่ำ อ้าปากกำลังจะต่อว่าโจวเสาจิ่น แต่ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับตะโกนเรียก “เสาจิ่น” ออกมาคำหนึ่ง และกล่าวขึ้นว่า “ยังไม่รีบขอโทษฮูหยินใหญ่ไป่อีกหรือ! เรื่องของพวกผู้ใหญ่ ใช่เรื่องที่คนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าเอามาพูดเช่นนี้ได้หรือ” กล่าวจบ ก็ไม่รอให้โจวเสาจิ่นได้กล่าวขอโทษต่งซื่อ ก็ยิ้มพลางกล่าวกับต่งซื่อว่า “พวกเด็กๆ ล้วนไม่รู้ความ เจ้าเป็นผู้ใหญ่ ก็อย่าไปถกเถียงกับนางเลย” จากนั้นก็หันไปกล่าวกับโจวเสาจิ่นอีกว่า “ยังจะยืนนิ่งอยู่ที่นี่อีกทำไม ไม่ใช่ว่าตอนบ่ายเจ้าต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานหรอกหรือ ไม่ง่ายเลยกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะยกย่องเจ้าเช่นนี้ เจ้าต้องขยันหมั่นเพียรถึงจะถูก ไม่ขอให้เจ้าต้องเกรงกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ต้องตรงต่อเวลาถึงจะถูก…”
นี่เป็นการตำหนิโจวเสาจิ่นเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่ากำลังปกป้องโจวเสาจิ่นอยู่ต่างหาก
หากว่าต่งซื่อฟังออก โจวเสาจิ่นสองพี่น้องก็ย่อมต้องฟังออกเช่นเดียวกัน
โจวชูจิ่นรีบดึงตัวน้องสาวถอยออกไป
ต่งซื่อโกรธจนหน้าดำคร่ำเครียด แต่เมื่อหวนนึกถึงเมื่อสักครู่ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนข่มขู่นางด้วย ‘เรือนหานปี้ซาน’ เอย ‘ฮูหยินผู้เฒ่ากัว’ เอยแล้ว ก็ให้รู้สึกปวดตับขึ้นมา
ทว่าทางด้านโจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นกลับพยายามปิดปากกลั้นหัวเราะอยู่ในห้องน้ำชา โดยเฉพาะโจวเสาจิ่น นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้กล่าวอะไรออกไปตามใจนึกเช่นนี้ จนไม่รู้ว่าในใจเบิกบานมากเพียงใดแล้ว นางพลันนึกถึงนิทานเรื่องนั้นที่จี๋อิ๋งเล่าให้นางฟังในวันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
จะเลือกก้มหน้าก้มตาอย่างนอบน้อมเพียงเพื่อเกียรติภูมิที่จะได้รับหลังความตายหรือว่าจะทำตัวอิสระตามใจชอบเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และได้ทำแต่สิ่งที่ตนเองชื่นชอบดี
โจวเสาจิ่นตกอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ากวนส่งต่งซื่อกลับไป และเรียกพวกนางสองพี่น้องเข้าไปหา นางถึงได้ตื่นจากภวังค์
“เสาจิ่นก็รู้จักปกป้องยายแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางตบหลังมือของนางเบาๆ รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
โจวชูจิ่นกับนางผูกพันกันทางสายโลหิต ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเป็นเพียงหลานสาวในนามของนางเท่านั้น ฉะนั้นนางจึงกล้าอบรมสั่งสอนโจวชูจิ่นทว่าไม่กล้าอบรมสั่งสอนโจวเสาจิ่นอย่างเต็มที่เหมือนที่ทำกับโจวชูจิ่นเช่นนั้น แต่คาดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นเด็กคนนี้จะรู้ความได้มากขนาดนี้ และวันหนึ่งยังรู้จักปกป้องนางดั่งหลานสาวร่วมสายโลหิตของนางอีกด้วย นางรู้สึกว่าการที่ตนได้ฟูมฟักเลี้ยงดูโจวเสาจิ่นมาหลายปีนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอดกล่าวไม่ได้ว่า “ต่อไปก็ไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงกับผู้อื่นอีก ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ฮูหยินใหญ่ไป่ก็เป็นผู้อาวุโสของเจ้า หากคนอื่นเห็นเข้า จะพานคิดว่าเจ้าไม่รู้จักอดทนอดกลั้นต่อผู้อื่น เป็นเจ้าที่กระทำไม่ถูก ภายหลังหากพบเจอเรื่องเช่นนี้อีก เจ้าเพียงแค่ร้องไห้ออกมายกใหญ่ก็พอ ถ้านางยังจะกล่าวตำหนิเจ้าอีก เช่นนั้นก็เป็นนางที่ผิดแล้ว”
ขอบตาของโจวเสาจิ่นเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตาแห่งความตื้นตัน
นี่ถึงจะเป็นถ้อยคำห่วงใยที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ในชาติก่อน นางแสวงหาแต่ไม่ได้รับ ทว่าในชีวิตนี้ถ้อยคำเหล่านี้กลับร่วงลงบนตัวนางอย่างนุ่มนวลเช่นนี้
นางยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวขึ้นทั้งน้ำตาว่า “เป็นเพราะข้าเห็นว่าไม่มีคนนอกอยู่ในห้องของท่าน หากว่าอยู่ข้างนอก ข้าย่อมไม่โต้เถียงกับนางเช่นนี้เป็นแน่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นท่าทีซาบซึ้งใจของนาง ก็ยิ่งรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นนั้นเหมือนจวงซื่อยิ่งนัก รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ จึงรู้สึกชื่นชอบนางมากยิ่งขึ้น ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าต้องจดจำไว้ให้ดี อย่าได้ไปปะทะคารมกับผู้อื่น ต่อให้ชนะ ก็จะทำให้ผู้อื่นไม่พอใจเอาได้ ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า ล่วงเกินสุภาพชนยังจะดีกว่าล่วงเกินคนต่ำทราม เจ้าไม่รู้หรอกว่าคนผู้นั้นจะเป็นสุภาพชนหรือเป็นคนต่ำทราม ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องจับตาดูให้ถ้วนถี่และระแวดระวังเอาไว้สักหน่อยถึงจะดี”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารับคำไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงหัวเราะร่าไปหลายครั้ง พลางกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าจะไม่พร่ำบ่นพวกเจ้าอีกแล้ว ข้านั้นควรจะรับผิดชอบเพียงเรื่องที่ทำให้พวกเจ้ามีความสุขเท่านั้นถึงจะถูก ส่วนเรื่องอบรมสั่งสอนพวกเจ้า ให้เป็นหน้าที่ของป้าใหญ่เหมี่ยนของพวกเจ้าเถอะ!”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นหัวเราะ
โจวชูจิ่นบ่นขมุบขมิบว่า “ท่านยายผลักความรับผิดชอบอีกแล้วนะเจ้าคะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะเบิกบานออกมาดังลั่น
สาวรับใช้ภายในห้องต่างก็หัวเราะขึ้นมาอย่างแช่มชื่นด้วยเช่นเดียวกัน
………………………………………………………………….