ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 169 เข้าใจ
โจวเสาจิ่นนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้เหมยกุยภายในห้องรับรองของเรือนเจียซู่ ใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆ นั้นดูเสมือนกับว่ากำลังตั้งใจฟังฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินอู๋สนทนากันอยู่ ทว่าความจริงแล้วสายตากลับมองไปยังต้นทับทิมที่กำลังแตกยอดอ่อนอยู่ภายนอกหน้าต่าง
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่เดิมทีบอกว่าจะเดินทางกลับมาหลังเทศกาลโคมไฟก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก กระทั่งวันนี้เข้ากลางเดือนสี่แล้วก็ยังคงไม่เห็นแม้แต่เงาอยู่เช่นเดิม ถ้าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอยู่บ้าน นางก็คงไม่จำเป็นต้องมาออกมารับรองแขกเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวนเช่นนี้
นางจำได้ว่าชาติก่อนฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับมาหลังเทศกาลโคมไฟ ต่อมาค่อยเดินทางไปผูโข่วอีกครั้งในช่วงเดือนสี่ แล้วงานแต่งของพี่ชายเก้ากับคุณหนูใหญ่ตระกูลเหอถึงจะถูกกำหนดออกมา
หรือว่าครั้งนี้จะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น?
นางยกย่องนับถือสะใภ้ผู้พี่ผู้นี้ยิ่งนัก
ไม่เพียงมีหน้าตางดงาม อุปนิสัยอ่อนโยนโอบอ้อมอารีเท่านั้น แต่ยังดีกับพี่ชายเก้าเป็นอย่างมาก
หลังจากที่จวนสี่ได้รับผลกระทบเนื่องด้วยเรื่องของนางแล้ว เรื่องราวภายในบ้านต้องขอบคุณที่มีนางเป็นผู้ออกหน้าจัดการให้ ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ของจวนสี่คงจะยากลำบากมากกว่านั้นเป็นแน่
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังครุ่นคิดว่าควรจะเขียนจดหมายไปหยั่งเชิงสถานการณ์กับท่านป้าใหญ่ดีหรือไม่อยู่นั้น ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีคนสะกิดนางเบาๆ มาจากด้านหลัง นางเก็บอารมณ์เล็กน้อย พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนในห้องรับรองต่างก็กำลังมองนางด้วยรอยยิ้ม
เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ
นางกลั้นหายใจด้วยความหวั่นวิตกอย่างห้ามไม่อยู่ มีเสียงหึ่งๆ ราวเสียงยุงของชุนหว่านดังมาจากข้างหูว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ชวนท่านไปชมดอกไม้ที่จวนตระกูลอู๋เจ้าค่ะ”
ในใจของโจวเสาจิ่นพลันรู้สึกร้อนระอุขึ้นมา
ชาติก่อน อู๋เป่าจางก็เคยชวนนางไปชมดอกไม้ที่จวนในช่วงเวลาเดียวกันนี้เช่นกัน ตอนนั้นนางมีความสัมพันธ์ที่ดียิ่งกับอู๋เป่าจาง และเฉิงเจียเองก็ชื่นชอบการได้ออกไปโน่นมานี่ยิ่งนัก อู๋เป่าจางจึงได้โอกาสประจบประแจงเฉิงเจียพอดี ด้วยเหตุนี้พวกนางลูกพี่ลูกน้องสองคนจึงไปจวนตระกูลอู๋ด้วยกัน ปรากฏว่า ณ จวนตระกูลอู๋ พวกนางได้พบกับอู๋ไท่เฉิงผู้เป็นพี่ชายของอู๋เป่าจาง ซึ่งเขาก็ได้ชวนเฉิงอี้และเฉิงนั่วกับเฉิงจวี่ของจวนห้ามาชมดอกไม้ที่จวนตระกูลอู๋ด้วยเช่นกัน อู๋เป่าจางพูดอะไรทำนองว่าทุกคนต่างก็เป็นญาติสนิทมิตรสหายกัน รวมถึงอากาศของฤดูใบไม้ผลิก็กำลังดีซึ่งหาได้ยากยิ่ง ฉะนั้นจึงอย่าได้เข้มงวดกับพิธีรีตองมากขนาดนั้น ให้ทุกคนไปเดินเล่นพร้อมกันก็แล้วกัน
ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าไม่เหมาะสมสักเท่าไร แต่ไม่อาจขัดเฉิงเจียที่เห็นด้วยไปแล้ว จึงได้แต่ตามพวกเขาไปที่สวนดอกไม้ด้านหลัง
อู๋ไท่เฉิงนั้นจ้องนางตาไม่กระพริบ แต่กลับต้อนรับขับสู้เฉิงเจียอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็ยังมีเฉิงจวี่อีกผู้หนึ่ง ที่ทางซ้ายก็เรียกคำหนึ่งว่า ‘น้องสาว’ ทางขวาก็เรียกคำหนึ่งว่า ‘น้องสาว’ ชมตลอดว่านางมีหน้าตาที่งดงาม ส่วนเฉิงอี้ผู้โง่เขลาผู้นั้นก็เอาแต่สนใจเรื่องตกปลากับเฉิงนั่วอยู่ข้างๆ โดยไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น…นางทั้งอับอายและกรุ่นโกรธ จึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เฉิงเจียไล่ตามมา
แต่ทั้งสองคนก็จากกันไม่ดีสักเท่าไร
ถึงแม้สุดท้ายแล้วเฉิงเจียจะกลับซอยจิ่วหรูกับนาง แต่ก็ไม่ให้ความสนใจนางเป็นเวลานานอยู่ช่วงหนึ่ง ทอดทิ้งนางแล้วไปเล่นกับอู๋เป่าจางแทน ในเวลานั้นเองที่อู๋เป่าจางได้รับความโปรดปรานจากสะใภ้ใหญ่สือของจวนรอง และก็เป็นเวลานั้นเช่นเดียวกันที่อู๋ไท่เฉิงเริ่มไปมาหาสู่กับเฉิงฉือและเฉิงเจิ้ง
“ข้าไม่ว่าง” โจวเสาจิ่นปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
สีหน้าของฮูหยินอู๋เปลี่ยนไปจนไม่น่ามองเล็กน้อย
อู๋เป่าหวาเองก็ขมวดคิ้วมุ่นเป็นปม
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ปีที่ผ่านมานี้ โจวเสาจิ่นแทบจะไม่พูดจาแข็งกระด้างอย่างเช่นเมื่อก่อนอีกเลย แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงได้…
นางอดไม่ได้ลอบสงสัยอยู่ในใจ
ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นก็เข้าใจเรื่องราวขึ้นมา ลอบตำหนิความหยาบคายของตัวเองอยู่ในใจ กล่าวยิ้มๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “ข้าต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานทุกวัน รู้สึกอิจฉาคุณหนูใหญ่อู๋จริงๆ ที่ออกไปเป็นแขกด้านนอกได้”
สีหน้าของฮูหยินอู๋ผ่อนคลายลงเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “พระธรรมของคุณหนูรองคัดไปถึงไหนแล้ว นี่ก็เกือบจะครบหนึ่งปีแล้ว เหตุใดถึงยังคัดไม่เสร็จอีกเล่า”
“เดือนเก้าก็น่าจะเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “คงต้องรอให้ข้าคัดพระธรรมให้เสร็จแล้วค่อยเป็นเจ้าภาพเชิญคุณหนูอู๋ทั้งสามท่านมานั่งเล่นที่บ้านแล้วเจ้าค่ะ”
ความจริงแล้วนางคัดให้เสร็จเร็วกว่านี้ได้ แต่หลังจากที่เฉิงฉือย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนหานปี้ซานแล้ว นางจึงเปลี่ยนความตั้งใจเสียใหม่
แต่ถ้าเดือนเก้าแล้วนางก็ยังสร้างบทสนทนากับเฉิงฉือไม่ได้ นางเกรงว่านางคงไม่อาจสร้างบทสนทนากับเฉิงฉือได้อีกต่อไปแล้ว ถึงเวลานั้นคงได้แต่ต้องคิดหาวิธีอื่นต่อไป
ถึงเวลานั้นรั้งอยู่ที่เรือนหานปี้ซานต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว!
ฮูหยินอู๋ทอดถอนหายใจพลางกล่าว “คุณหนูรองช่างมีจิตใจที่แน่วแน่ยิ่งนัก หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เกรงว่าพระธรรมนี้คงต้องเปลี่ยนคนคัดใหม่เสียแล้ว!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางพยักหน้า ดูออกว่ากำลังมีความสุขยิ่งนัก
ฮูหยินอู๋จึงกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “ข้ากับท่านเอาแต่พูดถึงเรื่องเก่าเรื่องแก่ในอดีต เกรงว่าพวกเด็กๆ คงนั่งไม่ติดที่กันแล้ว ข้าว่าให้คุณหนูรองพาพวกนางไปเดินเล่นในสวนสักหน่อยก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
นี่หมายความว่ามีเรื่องต้องการคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากวน
โจวเสาจิ่นจึงพาอู๋เป่าจางสามพี่น้องตรงไปยังสวนดอกไม้
ระหว่างทาง นางหันไปยิ้มกับอู๋เป่าหวา กระซิบถามอู๋เป่าหวาเสียงเบาว่า “คราวก่อนได้ยินว่าพี่สาวของเจ้ากำลังจะหมั้นหมายกับนายท่านสามของจวนตระกูลหลิว เป็นอย่างไรบ้างแล้ว ยังไม่ได้กำหนดวันแต่งงานออกมาอีกหรือ ข้าเห็นว่าพี่สาวของเจ้ายังคงตามฮูหยินอู๋ออกมาเป็นแขกอยู่ แสดงว่ายังอีกไกลกว่าจะถึงวันแต่งงานใช่หรือไม่”
บนทางเดินเล็กๆ ท่ามกลางสวนป่าในฤดูใบไม้ผลิ เสียงวิหคร้องย่อมกำจรออกไปได้ไกล
พี่น้องตระกูลอู๋ต่างก็ตะลึงงัน
ถึงแม้เรื่องนี้จะถูกตระกูลหลิวและตระกูลอู๋ทั้งสองตระกูลปิดข่าวได้แล้วอย่างรวดเร็ว แต่คนที่มาจากตระกูลที่พอจะมีหน้ามีตาในเมืองจินหลิงต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี การที่โจวเสาจิ่นถามออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เป็นเพราะคนในห้องหอที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้นางฟังไม่ทราบเรื่อง หรือเป็นเพราะนางต้องการหมิ่นเกียรติของตระกูลอู๋กันแน่นะ
แต่ไม่นานอู๋เป่าหวาก็ปัดสมมุติฐานข้อหลังตกไป
ด้วยความสัมพันธ์ของตระกูลเฉิงและตระกูลอู๋ทั้งสองตระกูลในตอนนี้แล้ว โจวเสาจิ่นไม่น่าจะทำเช่นนั้นถึงจะถูก นอกจากนี้ หากโจวเสาจิ่นตั้งใจหมิ่นเกียรติของตระกูลอู๋จริงๆ ล่ะก็ โจวเสาจิ่นก็น่าจะเลือกสถานที่อื่นในการถามถึงเรื่องนี้หรือไม่ก็ใช้เสียงดังถามอู๋เป่าจางไปแล้ว แต่นางกลับเลือกที่จะพูดกับตนเป็นการส่วนตัวแทน…
ทว่าอู๋เป่าจางกลับโมโหโกรธาจนเลือดเดือดปุดๆ นางอุตส่าห์เลือกที่จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในงานวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลจวนรองเมื่อคราวก่อนไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นยังจะกัดนางไม่ปล่อยอยู่อีก
นางอดไม่ได้หันไปมองรอบๆ ทั้งสี่ด้าน
อู๋เป่าจือเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของนาง ด้านหน้าเป็นโจวเสาจิ่นกับอู๋เป่าหวา ส่วนพวกบ่าวรับใช้ต่างๆ ล้วนติดตามอยู่ไกลๆ
นางพยายามข่มความโกรธเอาไว้ในใจ กล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า “คุณหนูรอง การแต่งงานขึ้นอยู่กับบิดามารดาเป็นผู้ตัดสินและการแนะนำของพ่อสื่อแม่สื่อ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปได้ยินข่าวลือพวกนี้มาจากที่ใด แต่บิดามารดาไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้ามาก่อน ปากของคุณหนูรองออกจะยื่นยาวเกินไปสักหน่อยแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นดวงตาเบิกโพลง ทั้งใบหน้าแสดงความประหลาดใจชัด หมายจะกล่าวบางอย่างแต่ก็หยุดไป กว่าครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราไปนั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำข้างๆ ทะเลสาบกันเถิด ทิวทัศน์ทางด้านนั้นไม่เลวเลยทีเดียว”
ตั้งแต่ที่อุดรูรั่วของจวนห้าได้แล้ว รวมถึงไม่มีเฉิงสวี่อยู่ด้วย สำหรับนางแล้ว ตระกูลเฉิงก็ถือว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง
แน่นอนว่าอู๋เป่าหวาและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
คนทั้งกลุ่มจึงตรงไปที่ศาลาริมน้ำ
อู๋เป่าหวามองอู๋เป่าจางที่มีสีหน้าซีดเผือดแล้ว ก็บังเกิดความคิดบางอย่างในใจ กระซิบกล่าวขอโทษโจวเสาจิ่นว่า “ช่วงนี้พี่สาวของข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก หากว่ามีตรงที่ใดที่กล่าวผิดไป ขอคุณหนูรองอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลยนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นค้นพบว่าอู๋เป่าหวาเป็นคนเฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง
ดูอย่างคำพูดนี้ก็กล่าวได้ดียิ่งนัก
อู๋เป่าจางปฏิเสธเรื่องงานแต่ง อู๋เป่าหวาจึงกล่าวว่าเป็นเพราะอารมณ์ของนางไม่ค่อยดีนัก
จะมีเรื่องอะไรที่ทำให้นางอารมณ์ไม่ดีได้เล่า
นั่นจึงยิ่งกระตุ้นให้คนไปขบคิดต่อ
โจวเสาจิ่นรังเกียจอู๋เป่าจางยิ่งนัก ความเดียดฉันท์นี้ไม่ใช่เพียงเพราะสิ่งที่อู๋เป่าจางได้กระทำมาทั้งหมดในชาติก่อนเท่านั้น แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือทุกอย่างที่อู๋เป่าจางกระทำยามนางปรากฏตัวขึ้นมักจะกระตุ้นให้ตนนึกถึงความทรงจำอันเลวร้ายเหล่านั้นที่เกิดขึ้นในชาติก่อน ราวกับปีศาจร้ายเหล่านั้นยังดำรงอยู่ ทำให้อารมณ์ของนางดำดิ่งและหดหู่ยิ่งนัก
นางหวังว่าอู๋เป่าจางจะได้แต่งงานออกไปในเร็ววัน แล้วอยู่ให้ไกลห่างจากนาง และไม่ต้องมาปรากฏตัวอยู่ในชีวิตของนางอีกต่อไป
โจวเสาจิ่นตัดสินใจจะลองหยั่งเชิงอู๋เป่าหวาดูสักหน่อย
นางกระซิบกล่าวว่า “เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นใช่หรือไม่ เมื่อครู่ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” ขณะที่นางกล่าว ก็เหลือบไปมองอู๋เป่าจางครั้งหนึ่ง
โดยปกติคนที่กำลังสนทนาอยู่ด้วยในเวลานี้ล้วนจะต้องกล่าวปลอบใจโจวเสาจิ่นสักประโยคสองประโยค จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย แต่อู๋เป่าหวากลับยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองคงยังไม่ทราบเรื่องกระมัง ตระกูลหลิวเคยมาคุยเรื่องหมั้นหมายกับพวกข้ามาก่อน พี่สาวใหญ่ของข้าไม่ได้ว่าอะไร ทว่าพี่ชายใหญ่ของข้ากลับรังเกียจที่อีกฝ่ายเป็นพ่อหม้าย แต่ก็ไม่บอกท่านพ่อของข้าสักคำ กลับไปต่อยตีผู้อื่นเสียแล้ว…”
“น้องรอง เจ้ากำลังพูดเรื่องเหลวไหลอะไรอยู่หรือ” อู๋เป่าจางได้ยินแล้วสีหน้าซีดเผือด แม้แต่ในความฝันนางก็ยังไม่เคยคิดว่าคนที่มักจะ ‘เห็นแก่สถานการณ์โดยรวมเป็นหลัก’ มาโดยตลอดอย่างอู๋เป่าหวาจะกล่าวเช่นนี้ออกมาได้ นางกระโดดพรวดขึ้นมาหมายจะไปดึงแขนของอู๋เป่าหวาเอาไว้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ อู๋เป่าหวาก้าวเท้ายาวๆ ออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ทำให้หลบเลี่ยงอู๋เป่าจางได้พอดิบพอดี พลางกล่าวไปด้วยว่า “พี่ใหญ่ ที่นี่ก็ไม่ได้มีใครอื่น อีกอย่างเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองจินหลิงแล้วรอบหนึ่ง ต่อให้ข้าไม่พูด ไม่ช้าก็เร็วยังไงคุณหนูรองก็ทราบเรื่องอยู่ดี แทนที่จะให้คุณหนูรองได้ยินคำพูดที่เพิ่มเติมเสริมแต่งเชื้อไฟมาแล้วพวกนั้นจากปากของคนอื่น ไม่สู้พวกเราเล่าให้ฟังเองอย่างตรงไปตรงมาจะดีกว่า หากวันใดที่มีคนมานินทาเรื่องนี้ต่อหน้าคุณหนูรอง คุณหนูรองก็ยังช่วยโต้แย้งให้พวกเราได้สักประโยคสองประโยค…”
อู๋เป่าจางได้ยินแล้วก็ดิ้นพล่านประหนึ่งหนูที่ตกลงไปในหม้อ ปรารถนาให้ตัวเองเข้าไปดึงทึ้งอู๋เป่าหวาสักครั้ง
โจวเสาจิ่นมองไปที่อู๋เป่าหวาครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
ประจวบเหมาะกับที่อู๋เป่าหวาก็หันมามองที่นางพอดี
สายตาของทั้งสองสบประสานกัน แล้วก็ยิ้มออกมาราวกับเข้าใจความหมายแฝงนั้นเป็นอย่างดี
ที่แท้คนที่คุณหนูรองต้องการคิดบัญชีด้วยก็คืออู๋เป่าจาง
แม้นจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่สุดท้ายแล้วเหตุการณ์นี้ก็เป็นประโยชน์กับตัวนางเอง
อู๋เป่าหวาครุ่นคิด
เห็นทีว่าความทรงจำในชาติก่อนของตนไม่ได้ผิดพลาด ความสัมพันธ์ระหว่างอู๋เป่าหวากับอู๋เป่าจางนั้นดุจน้ำกับไฟ ที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้
โจวเสาจิ่นคิด
ทั้งสองคนเดินไปทางขวาคนหนึ่งทางซ้ายคนหนึ่งโดยไม่ได้นัดหมาย เสมือนกับต้องการขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน และทิ้งระยะห่างระหว่างกันเอาไว้
***
เมื่อส่งฮูหยินอู๋จากไปแล้ว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็กลับมา
นี่ช่างตรงกับคำกล่าวที่ว่าพอพูดถึงเฉาเชา[1] เฉาเชาก็มาถึง
เมื่อคราวก่อนฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเขียนจดหมายมาบอกว่า นางจะกลับมาหลังเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง
โจวเสาจิ่นตามพี่สาวออกไปต้อนรับด้วยอาการทั้งประหลาดใจทั้งยินดี
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนลงจากเกี้ยวโดยมีเฉิงเก้าช่วยประคอง ถึงแม้ทั่วทั้งใบหน้าจะมีแต่ความเหนื่อยล้า ทว่ากลับยากที่จะปกปิดความยินดีเอาไว้ได้
การเจรจาเรื่องงานแต่งคงจะผ่านพ้นไปด้วยดีแล้วกระมัง
โจวเสาจิ่นลอบคาดเดากับตัวเอง
ตอนที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังสนทนากันอยู่นั้นนางจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
ทว่าหลังจากที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมอบของฝากที่นำกลับมาให้พวกนางสองพี่น้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็ให้พวกนางกลับไปพักผ่อนที่เรือน
โจวเสาจิ่นโอดครวญอย่างเสียดายไปครั้งหนึ่ง วันรุ่งขึ้นนางจึงลากพี่สาวไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนตั้งแต่เช้าตรู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มตาหยีพลางเล่าเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเฉิงเก้ากับคุณหนูใหญ่ตระกูลเหอที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าให้พวกนางฟัง
โจวเสาจิ่นที่ทราบเรื่องอยู่ก่อนแล้วยังดีหน่อย ส่วนโจวชูจิ่นกลับเอ่ยถามขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านป้าใหญ่น่าจะเคยเจอคุณหนูใหญ่ตระกูลเหอมาแล้วกระมัง คุณหนูใหญ่เหอนิสัยเป็นอย่างไรบ้าง รูปร่างหน้าตางดงามหรือไม่ แล้วพี่ชายเก้าว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ใกล้จะได้สู่ขอหลานสะใภ้คนโตแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง หัวเราะร่าพลางกล่าวว่า “ที่ป้าใหญ่ของเจ้าไปอาศัยอยู่ที่ผูโข่วนานขนาดนี้ ก็เพราะปรารถนาจะไปดูอุปนิสัยของคุณหนูใหญ่ตระกูลเหอให้ดีๆ สักหน่อย การแต่งงานครั้งนี้นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเหอเป็นผู้ทำการตัดสินใจ หลังจากที่นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเหอได้ทำการทดสอบความรู้ของพี่ชายเก้าของพวกเจ้าแล้วถึงได้พยักหน้ายอมรับ ถือเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่งแล้ว!”
โจวชูจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็เม้มริมฝีปากกลั้นหัวเราะ
ประจวบเหมาะกับที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเดินเข้ามาพอดี
เห็นโจวเสาจิ่นที่กำลังหัวเราะอย่างงดงามปานดอกไม้นั้นแล้ว ภายในใจก็ไม่รู้ว่ามีความสุขมากเพียงใด
บุตรชายคนโตกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา คุณหนูใหญ่ตระกูลเหอก็งดงามเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม รอให้ผ่านไปอีกสักสองปี ให้เฉิงอี้สู่ขอเสาจิ่นแล้ว นางก็จะได้อยู่บ้านเลี้ยงหลานอย่างเป็นสุขใจเสียที!
นางดึงมือของโจวชูจิ่นเอาไว้แต่หันไปกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ข้าลอบสังเกตคุณหนูใหญ่ตระกูลเหอมานาน ถือเป็นเด็กสาวที่รู้เหตุรู้ผลผู้หนึ่ง หากแต่งเข้ามาแล้วจะต้องเข้ากันได้ดีกับพวกเจ้าเป็นแน่”
********************************************************
[1] เฉาเชา (曹操) เป็นรัฐบุรุษที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นทั้งกวี นักเขียนอักษรภาพ และเทพเจ้าแห่งสงคราม