ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 170 เรื่องมงคล
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังคิดอะไรอยู่ นางกับพี่สาวหัวเราะพลางพยักหน้ารับ ทั้งหมดต่างก็ดีใจไปกับเฉิงเก้า รอจนกระทั่งตอนที่เฉิงเก้ามาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวนหลังจากที่เขาไปพบเฉิงเหมี่ยนมาแล้ว เขามีอาการขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ เป็นเหตุให้สองพี่น้องตระกูลโจวหัวเราะคิกไม่หยุด หัวเราะจนใบหน้าของเฉิงเก้าแดงระเรื่อ ทำตัวไม่ถูกจนไม่รู้ว่าจะเข้ามาหรือจะถอยกลับออกไปดี
“พวกเจ้าสองคนนี่นะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนแสร้งตำหนิยิ้มๆ พลางหาทางออกให้หลานชายคนโต “มา เข้ามาหาข้านี่ อย่าไปใส่ใจน้องสาวทั้งสองของเจ้าเลย พวกนางกำลังดีใจแทนเจ้าอยู่!”
เฉิงเก้าพยักหน้า พยายามเก็บอาการขณะนั่งลงข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนท่ามกลางสายตายิ้มกริ่มของโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่น
“หมั้นหมายแล้ว ก็เท่ากับเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่อไปจะทำอะไร ก็ต้องสุขุมรอบคอบยิ่งขึ้นถึงจะใช้ได้ นอกจากกตัญญูต่อบุพการี รักเอาใจใส่ภรรยาแล้ว ยังต้องดูแลน้องชายน้องสาวด้วย เข้าใจหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจับมือของเฉิงเก้าเอาไว้ พลางเอ่ยถึงความคาดหวังที่มีต่อหลานชายคนโตออกมา
“ขอรับ!” เฉิงเก้าลุกขึ้นทำเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวนอย่างนอบน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มอย่างตื้นตันใจ จากนั้นบอกกล่าวเรื่องเกี่ยวกับงานหมั้นหมายให้เฉิงเก้าฟัง “…ทางด้านของพวกเราทางนี้ บิดามารดาของเจ้าตัดสินใจว่าจะเชิญอาฉือของเจ้ากับนายท่านใหญ่ของตระกูลกู้ช่วยเป็นเถ้าแก่ให้ ฮูหยินใหญ่ของตระกูลกู้เป็นตัวแทนของผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพรทุกประการ[1] และป้าสะใภ้หลูของเจ้าจะช่วยเป็นผู้ไปสู่ขอให้เจ้า”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ ถามขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ท่านน้าฉือกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“ยัง” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ถือสา กล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อวานเย็นข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวมา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับปากเรียบร้อยแล้ว”
ถึงว่า!
โจวเสาจิ่นลอบถอนหายใจยาวอยู่ในใจครั้งหนึ่ง
นางมอบหมายให้ฝานฉีเฝ้าสังเกตเอาไว้ว่าเฉิงฉือจะกลับมาเมื่อใด เมื่อวานตอนที่ฝานฉีมารายงานนางนั้นยังบอกเลยว่าเขายังไม่กลับมา…
แต่การให้ท่านน้าฉือเป็นเถ้าแก่นั้น…
นางคิดๆ ดูแล้วก็ให้รู้สึกว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก
แต่บุรุษของตระกูลเฉิงที่พำนักอยู่ที่บ้านในตอนนี้ก็มีเพียงท่านน้าฉือกับท่านผู้นำตระกูลจวนรองเท่านั้นที่มีตำแหน่งติดตัวเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง ท่านผู้นำตระกูลจวนรองย่อมไม่ไปทำเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว เช่นนั้นก็เหลือเพียงต้องให้ท่านน้าฉือเป็นคนไปเสียแล้ว
ส่วนนายท่านใหญ่ของตระกูลกู้นั้นปัจจุบันเป็นอาจารย์ใหญ่ประจำสำนักศึกษาของตระกูลกู้ เพียงแต่ไม่รู้ว่านิสัยใจคอเป็นเช่นไรเท่านั้น ถ้าหากเป็นคนที่ประนีประนอมก็ดีหน่อย แต่หากเป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้นและไม่ยืดหยุ่นล่ะก็ งานแต่งเฉิงเก้าก็คงจะ…โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็แอบใจตุ้มๆ ต่อมๆ แทนเฉิงเก้า
ต่อจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำชับอะไรกับเฉิงเก้าอีกบ้างนั้นนางก็ไม่ได้ตั้งใจฟังสักเท่าไร รู้แต่เพียงว่าเฉิงเก้าพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
กระทั่งหลังจากที่เฉิงเก้าออกไปแล้ว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวปลอบโยนฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่าไม่ต้องเป็นกังวล ตอนที่นางกล่าวว่า ช่วงที่เก้าเกอเอ๋อร์อยู่ที่ผูโข่วนั้น ทุกคนที่บ้านของข้าล้วนชื่นชอบเขา ท่านวางใจเถิด พวกเขาไม่สร้างความลำบากให้เขาอย่างแน่นอน นั้น นางถึงได้สติกลับมา
ตามหลักแล้ว ตอนที่ไปสู่ขอนั้นว่าที่เจ้าบ่าวต้องไปพร้อมกับคณะของเถ้าแก่ด้วย
โจวเสาจิ่นเป็นคนมาสองชาติภพ ตอนงานแต่งของตัวเองก็ไม่ได้มีแก่ใจไปสนใจ ส่วนงานแต่งของผู้อื่นก็เพียงไปร่วมพิธีเท่านั้น แต่ไม่เคยได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยมาก่อน
เฉิงเก้าเปรียบเสมือนกับพี่ชายของนาง พี่ชายกำลังจะแต่งงาน จึงเป็นธรรมดาที่นางจะอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกอย่าง
นางนึกขึ้นมาได้ว่าชาติก่อนตอนที่เฉิงเก้าหมั้นหมายนั้น พี่สาวได้ติดตามฮูหยินใหญ่หลูนำปิ่นปักผมทองไปมอบให้ตระกูลเหอด้วย นางจึงเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ตอนที่ไปทำพิธีหมั้นหมายเล็กในครั้งต่อไปนี้ ข้ากับพี่สาวตามท่านป้าใหญ่หลูไปผูโข่วด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
ตอนหมั้นหมายเล็กในครั้งต่อไปนั้น ฝั่งเจ้าบ่าวจะนำปิ่นปักผมทองไปมอบให้ฝั่งเจ้าสาว ในเวลานี้ฝ่ายสตรีของฝั่งเจ้าบ่าวให้คนติดตามคณะเถ้าแก่ไปดูตัวว่าที่เจ้าสาวได้
คนที่ไปดูตัวว่าที่เจ้าสาวอาจจะเป็นอาสะใภ้ พี่สะใภ้น้องสะใภ้ หรือน้องสาวของสามีในอนาคตของว่าที่เจ้าสาวก็ได้
โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นก็ถือได้ว่าเป็นน้องสาวของสามี
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนลังเลใจเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นมีรูปร่างหน้าตางดงามเกินไป หากไปแล้วย่อมไปข่มว่าที่เจ้าสาวอยู่บ้างเล็กน้อยหรืออาจจะหลายส่วน จึงกลัวว่าตระกูลเหอจะเข้าใจผิดพาลคิดว่าตระกูลเฉิงต้องการข่มขวัญว่าที่เจ้าสาว
ทว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับรู้สึกว่าอย่างไรก็ได้
หากโจวเสาจิ่นแต่งให้กับเฉิงอี้แล้ว ใช่ว่าเหอเฟยผิงจะไม่ได้เจอหน้าโจวเสาจิ่นไปตลอดชีวิตเสียเมื่อไหร่
นอกจากนี้นางก็เคยส่งข่าวให้พี่สะใภ้ของตนทราบนานแล้วว่า ในบ้านมีคุณหนูสองคนที่ล้วนแล้วแต่มีรูปลักษณ์หน้าตางดงามเป็นหนึ่ง พี่สะใภ้ของตนยังเคยกล่าวว่า ให้นางพาคนไปให้ดูตัวสักหน่อย หากดีมากอย่างที่นางว่าไว้จริง เช่นนั้นพวกนางทั้งสองตระกูลก็เกี่ยวดองกันอีกสักครั้งหนึ่ง สู่ขอโจวเสาจิ่นที่ยังไม่ได้หมั้นหมายกับผู้ใดนั้นให้กับหลานชายคนโตของตระกูลเดิมของนาง หากไม่ใช่เพราะนางเผยความตั้งใจออกไป ไม่แน่ว่าพี่สะใภ้ของนางอาจจะเดินทางมาดูตัวโจวเสาจิ่นจริงๆ ก็เป็นได้!
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ให้พวกนางไปเถิดเจ้าค่ะ! เสาจิ่นของพวกเรางดงามเพียงนี้ ไม่ต้องกลัวหากผู้อื่นจะมอง”
โจวเสาจิ่นรู้ว่าตัวเองงดงาม แต่ไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองงดงามกว่าพี่สาว ด้วยเหตุนี้เรื่องที่ว่าจริงๆ แล้วตัวเองงดงามเพียงใดนั้น นางประเมินตัวเองต่ำลงมาอยู่หลายส่วน และก็ดูไม่ออกด้วยว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังระแวดระวังเรื่องอะไรอยู่ ยังเข้าใจไปว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลัวว่านางจะเอาแต่เล่น ถึงเวลาแล้วจะทำให้ตระกูลเฉิงเสียหน้าได้ พอได้ยินคำของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนนางก็รีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านยาย ข้าจะเป็นเด็กดี จะเดินตามหลังพี่สาวอย่างเชื่อฟังเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ได้ เจ้าไปกับพี่สาวของเจ้าก็แล้วกัน!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นบุตรสะใภ้กล่าวเช่นนั้น แสดงว่าต้องแน่ใจแล้วว่าตระกูลเหอไม่น่าจะมีความคิดเช่นนั้น นางจึงไม่ทันได้สังเกตว่าตัวเองยังไม่ได้เอ่ยว่าจะให้โจวชูจิ่นตามไปส่งปิ่นปักผมทองเสียหน่อย แต่โจวเสาจิ่นกลับกล่าวออกมาอย่างมั่นใจว่าโจวชูจิ่นจะต้องตามไปส่งปิ่นปักผมทองด้วยอย่างแน่นอน
คนในห้องเองต่างก็ไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ทุกคนต่างกล่าวถึงเรื่องงานหมั้นของเฉิงเก้าอย่างมีความสุข จากนั้นฮูหยินใหญ่หลูก็เข้ามา
เฉิงเจียก็มาพร้อมกับฮูหยินใหญ่หลูด้วย
พอนางเข้าประตูมาก็ตะโกนขึ้นว่า “ข้าก็อยากไปส่งปิ่นปักผมทองให้พี่สะใภ้ใหญ่เก้าด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
“ท่านอย่าได้ฟังที่นางพูดจาเหลวไหลเลยนะเจ้าคะ” เจียงซื่อนวดหน้าผากอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า หลังจากทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้ว ก็กล่าวขึ้นว่า “นางเป็นพวกชอบสร้างความวุ่นวาย หากนางไปด้วย ไม่รู้ว่าจะไปสร้างเรื่องน่าขายหน้าอะไรบ้าง ถึงเวลานั้นจะทำให้พวกเราต้องอับอายไปถึงผูโข่วเอาได้เจ้าค่ะ”
เฉิงเจียได้ยินแล้วน้ำตาเกือบจะไหลออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจเสียให้ได้
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมองเฉิงเจียผู้มีดวงตาสดใสงดงามนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกใจอ่อนยวบ รีบกอดเฉิงเจียเอาไว้ แล้วกล่าวกับเจียงซื่อว่า “พี่สะใภ้ก็กระไร หลานเจียของพวกเราก็ถึงวัยปักปิ่นไปแล้ว ไหนเลยจะไม่รู้ความอย่างที่ท่านกล่าวมา” กล่าวไปด้วย ก็ส่งสายตาอย่างมีนัยไปให้เจียงซื่อด้วยครั้งหนึ่ง
เจียงซื่อถึงได้กลืนคำตำหนิที่ติดอยู่ที่ปากแล้วนั้นกลับลงไป แล้วหยิบรายการของหมั้นที่ตนร่างมาจากที่บ้านส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน “ท่านลองดูเจ้าค่ะว่าใช้ได้หรือไม่”
โจวชูจิ่นรับไป จากนั้นก็อ่านให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟังทุกคำทุกประโยค
เฉิงเจียลากโจวเสาจิ่นไปกระซิบกระซาบด้วยตรงมุมหนึ่ง
นางต้องการโน้มน้าวโจวเสาจิ่นให้ไปผูโข่วด้วยกัน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะอ่านรายการของหมั้นขนาดยาวทั้งม้วนจนจบ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวชมเชยเจียงซื่ออย่างพึงพอใจว่า ทำงานได้ละเอียดรอบคอบและน่าเชื่อถือ ยิ้มพลางให้โจวชูจิ่นนำรายการของหมั้นส่งให้เหอซื่อ กล่าวว่า “เจ้าลองดูอีกที หากไม่มีอะไรต้องเพิ่มหรือลดแล้ว ก็ให้จัดเตรียมของตามรายการนี้เลยก็แล้วกัน!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเองก็พึงพอใจยิ่งนัก ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณเจียงซื่อ ต้องการดึงตัวนางไปดื่มน้ำชาที่เรือนหานชิว จะได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับรายละเอียดที่ต้องจัดเตรียม
นอกจากฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้ว ทุกคนต่างพากันไปที่เรือนหานชิว
ระหว่างทาง ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนปล่อยให้โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ เดินรั้งท้ายอยู่ข้างหลัง แล้วกระซิบกระซาบกับเจียงซื่อไม่หยุด เจียงซื่อยังหันกลับมามองเฉิงเจียอยู่หลายครั้ง
เฉิงเจียเข้าใจว่ามารดากำลังเตือนตัวเองไม่ให้เล่นทะลึ่งตึงตัง ทุกครั้งที่มารดาหันหน้ากลับมานางจะหันไปยิ้มให้มารดาอย่างกระตือรือร้น หวังเพียงว่าเมื่อมารดาเห็นว่านางเอาอกเอาใจเช่นนี้แล้วจะอนุญาตให้นางไปงานหมั้นของคุณหนูเหอที่ผูโข่วพร้อมกับโจวเสาจิ่นด้วย
คิดไม่ถึงว่าเมื่อกลับถึงบ้านยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยปาก มารดาก็บอกนางว่า “พาเจ้าไปด้วยก็ได้ แต่หากเจ้าทำเรื่องอะไรแปลกๆ ไม่เข้าท่าแม้เพียงนิดเดียว ต่อไปก็อย่าได้หวังว่าข้าจะพาเจ้าออกไปไหนอีก”
เฉิงเจียดีอกดีใจเหลือแสน ให้คำมั่นสัญญากับมารดาไม่หยุดหย่อน
วันรุ่งขึ้น เจียงซื่อเรียกช่างตัดชุดเข้ามาตัดเสื้อผ้าให้เฉิงเจีย ทั้งยังเลือกเครื่องประดับที่เหมาะสมกับเด็กสาวออกมาจากสินสอดติดตัวของนางอีกหลายชิ้น กล่าวย้ำเตือนกับนางอีกรอบหนึ่ง จากนั้นถึงได้ออกไปวุ่นกับการจัดเตรียมงานหมั้นให้เฉิงเก้า
เฉิงเจียรีบวิ่งไปบอกโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นเองก็ดีใจยิ่งนัก แต่เวลานี้นางไม่มีเวลาสนใจเฉิงเจียมากนัก จึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน รอข้ากลับมาแล้วพวกเราค่อยมาคุยกันอย่างละเอียดอีกทีก็แล้วกัน!”
เฉิงเจียมองเครื่องบอกเวลาภายในห้อง แล้วกล่าวขึ้นว่า “นี่เพิ่งจะผ่านยามอู่สือไปเอง…เจ้าจะไปเร็วเพียงนี้ไปเพื่ออันใด”
โจวเสาจิ่นขบคิดอย่างรวดเร็ว กล่าวขึ้นว่า “รีบไปจะได้รีบกลับมาอย่างไรเล่า!”
เฉิงเจียไม่ได้สงสัยสิ่งใดอีก รีบกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปรีบกลับเถิด”
โจวเสาจิ่นให้ซือเซียงอยู่เป็นเพื่อนนาง ส่วนตัวเองก็วิ่งไปที่เรือนหานปี้ซานอย่างรีบเร่ง เนื่องจากนางเพิ่งจะได้รับข่าวมาว่าเฉิงฉือกลับมาแล้ว
นางอยากจะรู้เหลือเกินว่าสุดท้ายแล้วจี๋อิ๋งกลับชังโจวไปแล้วหรือตามเฉิงฉือกลับมาด้วย
ณ เรือนหานปี้ซาน ไหวซานกำลังสั่งการให้พวกบ่าวเด็กเคลื่อนย้ายหีบใส่ของ ส่วนเฉิงฉือกำลังคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ในห้อง
โจวเสาจิ่นเลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำชาที่อยู่ข้างๆ
ปี้อวี้กับเจินจูกำลังคุยกันอยู่ในห้องน้ำชา
โจวเสาจิ่นรีบถามขึ้นว่า “พวกเจ้าน่าจะเจอจี๋อิ๋งแล้วกระมัง”
“เจอแล้วเจ้าค่ะ!” ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ “นางก้มหน้าก้มตาเดินกลับไปที่ห้องแล้ว ข้าตะโกนเรียกนางนางก็ไม่ตอบ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกใจคอไม่ดี กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าไปคัดพระธรรมที่ห้องพระก่อนก็แล้วกัน”
ปี้อวี้ส่งนางออกมาจากห้องน้ำชา
โจวเสาจิ่นเลี้ยวเข้าไปที่เรือนหลีอินจากทางด้านหลัง
ประตูห้องข้างของจี๋อิ๋งปิดแน่นสนิท สาวใช้เด็กหลายคนกำลังยืนอยู่ใต้ทางเดินพลางมองหน้ากันและกันอย่างสับสนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
โจวเสาจิ่นรีบก้าวเข้าไป หันไปพยักหน้าให้สาวใช้เด็กเหล่านั้นด้วยท่าทีเคร่งขรึม จากนั้นค่อยๆ เคาะช่องตาข่ายหน้าต่างของจี๋อิ๋งเบาๆ “จี๋อิ๋ง ข้าเอง เจ้าเป็นอะไรไปหรือ รีบเปิดประตูเถิด!”
นางคิดว่าตัวเองจะต้องเคาะหน้าต่างอีกหลายๆ ครั้งเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะสิ้นเสียงของนางไป ก็มีเสียง เอี๊ยด ดังขึ้นพร้อมกับที่บานหน้าต่างเปิดออกมา
โจวเสาจิ่นเกือบหลบไม่ทัน เกือบจะโดนกระแทกที่ใบหน้าเสียแล้ว
แต่ไหนเลยที่นางจะมีแก่ใจมาสนเรื่องพวกนี้ จี๋อิ๋งดูเสมือนกับผักที่เพิ่งผ่านการลวกด้วยน้ำร้อนมา ดูเซื่องซึมและเหงาหงอยไปทั้งตัว ดวงตาทั้งแดงก่ำและบวมช้ำ โชคดีที่เวลาพูดนางยังคงสงบเยือกเย็นอยู่ “เจ้ามาแล้วหรือ! เข้ามานั่งข้างในเถิด!” ขณะที่พูด ก็ไปเปิดประตูให้โจวเสาจิ่นไปด้วย
โจวเสาจิ่นรีบถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
จี๋อิ๋งปิดประตูลงอีกครั้ง นั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นที่หันหน้าเข้าหาหน้าต่างตัวนั้นพร้อมกับนาง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ากลับไปได้พบกับเจียวจื่อหยาง เขาบอกว่า ถึงแม้พวกเราทั้งสองตระกูลจะถอนหมั้นกันแล้ว แต่นั่นก็เป็นความคิดของบิดาของเขา นอกจากข้าแล้ว ไม่ว่าใครเขาก็ไม่อาจแต่งงานด้วยได้ ยังบอกข้าอีกว่า ให้ข้าหนีไปกับเขา…”
“ไม่ได้เป็นอันขาด!” โจวเสาจิ่นหน้าซีดเผือด รีบกล่าวว่า “ผู้เข้าพิธีแต่งงานจะกลายเป็นภรรยาส่วนผู้ที่หนีตามกันไปจะกลายเป็นอนุ! เจ้าห้ามทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ออกมาเป็นอันขาด หากเจ้าปรารถนาจะแต่งงานกับเขาจริงๆ ก็ควรจะไปคุกเข่าขอร้องท่านพ่อท่านแม่ของเจ้า แต่ไม่อาจหนีตามเขาไปโดยไม่ทำอะไรให้ชัดเจนเช่นนี้”
เห็นท่าทางเป็นกังวลอย่างสุดซึ้งของโจวเสาจิ่นแล้ว ใบหน้าที่บึ้งตึงของจี๋อิ๋งก็เผยรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานออกมาสายหนึ่ง
“ข้ารู้” น้ำเสียงของนางยังคงทุ้มต่ำเช่นเดิม แต่ก็อ่อนโยนขึ้นมาหนึ่งส่วน “ข้าไม่ได้โง่ ที่เขาพูดอะไรก็ทำตามนั้น ตอนที่ข้าได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ก็คิดว่า เดิมทีเป็นเพราะข้าต้องมาเป็นสาวใช้ให้น้าฉือของเจ้าเป็นเวลาสิบปี ฉะนั้นข้าก็เลยเห็นด้วยกับการถอนหมั้น แต่ในเมื่อตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว และเจียวจื่อหยางก็ยังไม่ได้แต่งงาน ข้าก็ยังไม่ได้แต่งงาน แทนที่จะหนีตามเจียวจื่อหยางไปอย่างที่เขาพูดมา ไม่สู้ข้าไปโน้มน้าวบิดาของเจียวจื่อหยาง ให้เขายอมให้ข้ากับเจียวจื่อหยางหมั้นหมายกันอีกครั้งยังจะดีเสียกว่า…”
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวชมว่า “เจ้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก! คิดหาทางออกได้อย่างรวดเร็ว”
จี๋อิ๋งหัวเราะเบาๆ พลางกล่าว “เจ้าลองเดาสิว่า ตอนที่ข้าไปบ้านตระกูลเจียวนั้น ข้าค้นพบอะไร”
โจวเสาจิ่นนึกถึงเรื่องที่ว่านางยอมกลับมาที่ตระกูลเฉินแทนที่จะอยู่ที่บ้านแล้ว ก็ให้รู้สึกหนาวเหน็บอยู่ในใจ กล่าวพึมพำว่า “หรือว่า…หรือว่าเขาแต่งงานไปแล้ว?”
จี๋อิ๋งยิ้มพลางกล่าว “แต่งงานแล้วนับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เช่นนั้นจะมีอะไรให้น่าประหลาดใจกันเล่า”
รอยยิ้มนั่น ไปถึงแค่ตรงริมฝีปาก ทว่าแววตากลับเยือกเย็นยิ่งนัก ดูราวกับดาบที่ถูกถอดออกจากฝัก ส่องแสงเปล่งประกายไปทั่วทุกด้าน
โจวเสาจิ่นสั่นสะท้านไปครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ละ…แล้วเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
**********************************************************
[1] ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพรทุกประการ (全福人) เป็นตัวแทนของภรรยาที่ได้รับพรและมีความสุขในทุกด้าน มีครอบครัวที่ครบถ้วนทั้งบิดามารดา สามี ลูก และญาติพี่น้องอยู่กันอย่างสมัครสมานสามัคคี