ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 172 อยู่ต่อ
จี๋อิ๋งไม่สังเกตเห็นสายตาที่โจวเสาจิ่นส่งมาแม้แต่น้อย
นางตื่นตระหนกยิ่งนัก!
ตอนกลับบ้านท่าทางของนางประหนึ่งได้หนีขึ้นสู่สรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่าลิงโลดยินดีมากเพียงใด ไม่แม้แต่จะได้ไปร่ำลาเฉิงจื่อชวนด้วยซ้ำ ปรากฏว่ากลับบ้านไปอยู่ได้ไม่กี่วัน นางก็ต้องกลับมาอีกครั้งด้วยใจที่เศร้าหมอง ทั้งยังหลบอยู่แต่ในเรือนเสมือนกับคนที่ปิดหูขโมยระฆัง ไม่ออกมาพบหน้าเฉิงจื่อชวนเลยสักครั้ง
เรื่องของกลุ่มเดินสมุทรนั้นคงจะปิดเฉิงจื่อชวนไม่ได้ ด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเฉิงจื่อชวน สุดท้ายแล้วเขาจะรับนางเอาไว้หรือไม่นั้น อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่บิดาของนางก็ยังไม่แน่ใจอยู่บ้าง เขาเพียงแต่ย้ำกำชับกับนางเอาไว้ว่า เจ้ากัดฟันพูดเพียงว่าเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านเท่านั้น ครั้นได้พบหน้าบิดามารดากับพี่ชายน้องชายแล้วก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว หากว่าเขาไม่อนุญาต ข้ากับเขายังมีสัญญาสิบปีนั้นอยู่ ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไม่ต้องกลัว
จะไม่ให้นางกลัวได้อย่างไร
หากว่าบิดามั่นใจว่านางจะไม่เป็นไร เขาจะยังย้ำกำชับกับนางเช่นนั้นหรือ
หากว่าเฉิงจื่อชวนไม่รับนางเอาไว้ นางจะทำอย่างไรดีนะ
ที่ผ่านมาโจวเสาจิ่นไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของจี๋อิ๋งมาก่อน ราวกับว่านางได้กระทำความผิดมหันต์บางอย่างก็ไม่ปาน
นางรีบก้าวไปจับมือของจี๋อิ๋งเอาไว้ พลางกระซิบปลอบนางว่า “ไม่เป็นไร ท่านน้าฉือเป็นคนดียิ่ง ประเดี๋ยวเจ้าจงจำเอาไว้ว่าอย่าไปบันดาลโทสะ แต่ให้พูดคุยกับเขาดีๆ…”
ทว่าถ้อยคำของนางยังไม่ทันกล่าวจนจบ บ่าวหญิงสูงวัยที่อยู่ข้างนอกประตูก็เร่งนางว่า “แม่นางจี๋อิ๋ง” ขึ้นมาก่อนเสียแล้ว
มือของโจวเสาจิ่นทั้งนุ่มและอบอุ่นยิ่ง จิตใจของจี๋อิ๋งจึงค่อยๆ สงบลงมา
อย่างไรก็ไม่อาจหันกลับไปได้แล้ว เลวร้ายที่สุดก็ปล่อยให้มัจฉาตายหรือตาข่ายขาดไปข้างใดข้างหนึ่ง[1]ก็แล้วกัน มีอะไรให้ต้องกังวลกัน!
ไม่ใช่สิ ต่อให้หันกลับไปได้ นางก็ไม่เสียใจที่ฟันแขนของเจียวจื่อหยางขาด
เช่นนั้นยังมีสิ่งใดให้ต้องเสียใจหรือหวั่นกลัวอีกหรือ!
ทันใดนั้นในใจของจี๋อิ๋งก็เปี่ยมไปด้วยความอาจหาญ ยิ้มพลางพยักหน้าให้โจวเสาจิ่น แล้วเดินไปเปิดประตู
บ่าวหญิงสูงวัยที่รออยู่ข้างนอกประตูมีดวงตาประหนึ่งผ่านโลกมามาก อายุราวห้าสิบปี รูปร่างสูงโปร่งและผอมเพรียว ผมสีดำขลับเกล้าเป็นมวยเอาไว้ตรงท้ายทอยอย่างเรียบร้อย โพกศีรษะด้วยผ้าโพกเนื้อหยาบลายบงกชคู่สีขาวกับสีคราม ประดับไว้ด้วยปิ่นไม้ท้อ สวมชุดสี่เชวี่ยผ้าเนื้อหยาบไร้ลวดลายสีน้ำเงินคราม ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ดูมากทั้งประสบการณ์และความสามารถ
“คุณหนูรอง” นางคารวะโจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อม ทว่าสีหน้ากลับดูไม่โอหังหรือประจบสอพลอแต่อย่างใด ประหนึ่งเป็นภรรยาผู้จัดการของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ไม่เหมือนบ่าวหญิงคนหนึ่งแม้แต่น้อย
จี๋อิ๋งชี้ไปที่บ่าวหญิงสูงวัยผู้นั้น พลางกล่าวว่า “นี่คือซางมามาผู้ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายนายท่านสี่”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางทักทายนาง เมื่อครุ่นคิดแล้ว ก็ดึงจี๋อิ๋งไปข้างหนึ่ง พลางกระซิบข้างหูนางว่า “เจ้าไม่ต้องกลัวนะ พี่ชายเก้าของข้ากำลังจะแต่งงาน พวกข้าได้เชิญท่านน้าฉือมาเป็นเถ้าแก่…”
ความกลัวของนางกับเรื่องเป็นเถ้าแก่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิดเดียว ทว่าพอเปลี่ยนตัวผู้ที่จะเป็นเถ้าแก่เป็นเฉิงฉือแล้ว…เหตุใดจึงทำให้คนรู้สึกว่าน่าขันได้มากขนาดนี้!
จี๋อิ๋งขำพรืดอย่างห้ามไม่อยู่
นางรู้ดีว่า เรื่องนี้จะต้องทำให้อารมณ์ของจี๋อิ๋งผ่อนคลายลงได้บ้าง!
โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้ม พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถอะ! อย่าให้ท่านน้าฉือต้องรอนาน”
“ขอบใจมาก!” จี๋อิ๋งเอ่ยขอบคุณนางอย่างจริงใจ แล้วมุ่งไปยังลานของเรือนหลีอินกับซางมามา
ส่วนโจวเสาจิ่นก็ไปคัดพระธรรมที่ห้องพระ
กระทั่งแสงภายในห้องค่อยๆ มืดสลัวแล้ว นางถึงได้วางพู่กันในมือลง แล้วขบคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องขยันคัดขนาดนี้ก็ได้ หากคัดได้จำนวนเท่านี้ต่อไป คงจะคัดเสร็จภายในเดือนสี่นี้เป็นแน่
นางพลิกพระธรรมที่เหลืออยู่เพียงปึกเล็กๆ ปึกหนึ่งดูแล้วพลางถอนหายใจ
ชุนหว่านได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงเดินเข้ามา พลางแจ้งว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ แม่นางจี๋อิ๋งรอท่านอยู่ข้างนอกตลอดทั้งบ่ายเลยเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องพระไป
ช่วงย่ำค่ำยามสนธยาของฤดูใบไม้ผลิค่อนข้างสั้น จี๋อิ๋งนั่งอยู่ใต้ชายคาของห้องพระพลางเหม่อมองแสงอัสดงที่แต้มอยู่ทั่วนภา แสงอาทิตย์สีส้มยามโพล้เพล้ส่องบนใบหน้าของนาง ทำให้ดวงหน้าของนางเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางถามว่า “เจ้ามาถึงแล้วไฉนจึงไม่เข้าไปหาเล่า”
จี๋อิ๋งคลี่ยิ้มพลางหันมากล่าวว่า “เจ้าคัดลอกพระธรรมเสร็จแล้วหรือ ข้ากลัวจะรบกวนเจ้า พอได้ยินชุนหว่านกล่าวว่า เจ้าคัดใกล้จะเสร็จแล้ว ข้าเลยคิดว่าเจ้าคงอยากจะคัดให้เสร็จเร็วๆ แล้วกลับเรือนหว่านเซียงเป็นแน่ ข้ามาหาเจ้าก็ไม่ใช่ด้วยเรื่องอื่นใด เฉิงจื่อชวน เอ่อ นายท่านสี่ท่านผู้นี้เป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว ตอนที่เรียกข้าไปพบ กล่าวเพียงว่าต่อไปข้าต้องเชื่อฟังหนานผิง เรือนหานปี้ซานไม่เหมือนเจ่าหยวน หากว่าข้ายังกล้าทำผิดอีก จะส่งข้ากลับบ้าน” ขณะที่นางกล่าว ก็เม้มปากกลั้นยิ้ม สีหน้าแต้มความชื่นบานอย่างอธิบายไม่ได้ “ไม่แน่ว่าต่อไปข้าอาจจะต้องฝึกเย็บปักกับเจ้าจริงๆ แล้วก็เป็นได้!”
“ดีๆ!” โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกปีติยินดีไปกับนาง กล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดว่า ท่านน้าฉือไม่ใช่คนประเภทที่ใจแข็งดั่งหินศิลา หากว่าเขามีกำลังพอ ต้องรับเจ้าเอาไว้เป็นแน่”
ถ้อยคำนี้จี๋อิ๋งไม่อาจเห็นด้วย แต่ครั้งนี้เฉิงฉือก็เมตตานางจริงๆ ถึงได้ยอมเปิดแหทิ้งเอาไว้ข้างหนึ่ง[2] นางจึงซาบซึ้งบุญคุณยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ขณะที่โจวเสาจิ่นกล่าวเช่นนี้อยู่นั้น นางจึงพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
โจวเสาจิ่นเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องที่สมควรฉลอง…อ้อ เจ้ามารับประทานมื้อเย็นที่เรือนของข้าดีหรือไม่ ไม่ได้สิ เจ้าต้องกลับไปบอกหนานผิงเสียก่อน ดูว่าอีกประเดี๋ยวเจ้าต้องเข้าเวรหรือไม่ หากว่าไม่ต้องเข้าเวร เจ้าค่อยไปรับประทานมื้อเย็นกับข้า แต่ถ้าต้องเข้าเวร พวกเราค่อยเปลี่ยนไปฉลองในวันที่เจ้าไม่เข้าเวรก็แล้วกัน อย่างไรเจ้าก็อยู่ต่ออยู่แล้ว ยังไม่ต้องรีบฉลองในวันสองวันนี้ก็ได้ ข้าเพียงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดี ควรแก่การเฉลิมฉลองก็เท่านั้น!”
จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็ฉีกยิ้มพลางกล่าวว่า “นายท่านสี่ไม่ได้สั่งให้ข้าอยู่เวร ข้าคิดว่าน่าจะไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ” โจวเสาจิ่นถามยืนยัน “นี่เป็นวันแรกที่เจ้ากลับมา ไม่ใช่ว่าวันแรกเจ้าก็ทำผิดเสียแล้วหรอกนะ”
“ไอ้โหยว! เจ้าช่างขี้บ่นจริงๆ เลย” จี๋อิ๋งดึงโจวเสาจิ่นแล้วเดินไป “ไปรับประทานอาหารที่เรือนของเจ้ากันเถอะ! เจ้าบอกคนในห้องครัวให้ทำอาหารอร่อยๆ ให้ข้าที หลายวันมานี้ข้ากระวนกระวายใจ จนนอนก็นอนไม่หลับ กินอะไรก็กินไม่ลง…”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก รอให้ชุนหว่านเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ก็กลับเรือนหว่านเซียงไปด้วยกัน
***
เฉิงฉือกำลังอ่านบัญชีอยู่ เมื่อเห็นไหวซานเดินเข้ามา ก็เอ่ยถามว่า “จี๋อิ๋งไปเรือนหว่านเซียงหรือ”
“ขอรับ!” ไหวซานตอบ “คุณหนูรองตระกูลโจวกล่าวว่า นี่เป็นเรื่องที่ควรฉลอง ดังนั้นจึงเชิญจี๋อิ๋งไปรับประทานมื้อเย็นที่เรือนหว่านเซียงขอรับ”
เฉิงฉือพยักหน้า แล้วก้มหน้าอ่านบัญชีต่อไป
ไหวซานยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน
เฉิงฉือเงยหน้าขึ้นมา แล้วเอ่ยถามว่า “ยังมีอะไรอีกหรือ”
ไหวซานกระอึกกระอัก แล้วรวบรวมความกล้าถามขึ้นว่า “นายท่านสี่ขอรับ ตระกูลจี้ใช้อุบายเช่นนี้กับพวกเรา พวกเราจะปล่อยไปอย่างนี้หรือขอรับ”
เฉิงฉือตอบว่า “แม้แต่เจ้าก็ยังรู้ว่าตระกูลจี้กำลังใช้อุบายกับพวกเราอยู่ แล้วตระกูลจี้จะไม่รู้อย่างนั้นหรือ หรือกลุ่มเดินสมุทรจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ”
ไหวซานไม่เข้าใจ
เฉิงฉือคร้านจะอธิบายให้เขาฟัง จึงกล่าวว่า “หากเจ้าไม่เข้าใจ ก็ไปถามฉินจื่ออัน”
ไหวซานค้อมศีรษะแล้วเดินออกจากห้องหนังสือไป
เฉิงฉือลูบหน้าผากแล้วก้มหน้าอ่านบัญชีต่อ
ไหวซานไปพบฉินจื่ออัน
ฉินจื่ออันกำลังสนทนาอยู่กับฉินจื่อผิง ครั้นทราบจุดประสงค์ที่ไหวซานมาหาแล้วจึงอธิบายไปว่า “เหตุผลที่นายท่านสี่ให้จี๋อิ๋งกลับมา หลักๆ ยังเป็นเพราะเห็นแก่ตระกูลจี้ที่ให้ความเคารพนายท่านสี่ ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร เมื่อเทียบกับกลุ่มเดินสมุทรแล้ว ตระกูลจี้ก็พอจะถือได้ว่าเป็นคนของนายท่านสี่ เหตุที่กลุ่มเดินสมุทรออกอุบายล่อลวงจี๋อิ๋ง ก็เพื่อพุ่งเป้ามาที่นายท่านสี่ นายท่านสี่คงไม่อาจยอมให้คนนอกมาหยามศีรษะของตนได้หรอกกระมัง นี่จึงเป็นการกระทำเพื่อให้คนอื่นเห็นและรู้ว่า ขอเพียงสัตย์ซื่อกับนายท่านสี่ นายท่านสี่จะไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาถูกผู้อื่นข่มเหงรังแกอย่างแน่นอน…
…นอกจากนี้ตระกูลจี้ยังส่งคนมาโดยไม่บอกกล่าวใดๆ พวกเขาก็แค่คนที่นายท่านสี่ติดสินบนแล้วพวกเขาไม่เหมือนกับกลุ่มเดินสมุทรที่ไม่รู้สำนึกบุญคุณคน ไม่เช่นนั้นภายหลังเมื่อเหตุการณ์จบลงแล้วตระกูลจี้คงไม่ส่งบุตรชายที่กำเนิดจากภรรยาเอกมาเป็นตัวประกัน แม้ว่าภายหลังผู้ที่ถูกส่งมาจะเป็นบุตรสาวผู้หนึ่งที่กำเนิดจากภรรยาเอกก็ตาม แต่จี๋อิ๋งก็เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ที่เก่งกาจที่สุดของตระกูลจี้ ภายหน้าหากตระกูลจี้อยากจะครองอำนาจเป็นใหญ่เหนือเขตที่ราบตอนกลางต่อไป วิทยายุทธ์ของจี๋อิ๋งจึงเป็นหนึ่งในหลักประกันที่สำคัญมากของตระกูลจี้ ตอนนี้ตระกูลจี้กับกลุ่มเดินสมุทรกำลังขัดแย้งกันอยู่จนไม่อาจสมานฉันท์กันได้ ตระกูลจี้อาจพูดได้ว่าในเวลานี้ไม่อาจปกป้องคุ้มครองนางได้ เป็นจี๋อิ๋งที่หนีกลับมาเอง รอให้ข้อพิพาทระหว่างตระกูลจี้กับกลุ่มเดินสมุทรจวนสิ้นสุดลง ตระกูลจี้ยังจะแสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อยู่หรือ ในเมื่อก่อนหน้านั้นเสียมารยาทไปแล้ว เช่นนั้นในภายหน้าก็ต้องชดใช้ให้กับสิ่งที่ตนเสียมารยาทไปใช่หรือไม่ ที่ราบตอนกลางไม่ใช่ภูมิภาคที่ผลิตเกลือ การที่พวกเขาครอบครอบพื้นที่ทั่วทั้งที่ราบตอนกลาง ฉะนั้นไม่ว่าเกลือจากแม่น้ำไหว เกลือจากเจ้อเจียง หรือเกลือจากซื่อชวน หากว่าต้องการจะเข้ามาค้าขายในเขตที่ราบตอนกลางล่ะก็ ทุกคนต่างก็ต้องเข้าหาตระกูลจี้ พวกเขาจึงต้องพิจารณาแบ่งน้ำแกงถ้วยหนึ่งให้นายท่านสี่ด้วยมิใช่หรือ!” จากนั้นก็กล่าวอีกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง จี๋อิ๋งผู้นั้นมีค่ามากยิ่ง นายท่านสี่ไม่ถีบส่งนางออกไปอย่างแน่นอน”
“ข้าไม่ได้เป็นกังวลเรื่องของจี๋อิ๋ง เรื่องที่เจ้ากล่าวมาข้าเองก็รู้” ไหวซานกล่าว “ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าช่วงนี้นายท่านสี่แปลกไปมาก เหตุใดอยู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนเป็นคนที่พูดคุยได้ง่ายเช่นนี้…”
ฉินจื่ออันหูผึ่ง
ไหวซานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าได้ยินมานานแล้วว่า ข้างนอกไม่มีผู้ใด”
สีหน้าของฉินจื่ออันผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย กระซิบว่า “นายท่านสี่บอกว่าอยากจะออกจากตระกูลเฉิง แต่ไม่เคยบอกเลยว่าจะไปที่ใด บุรุษผู้ยิ่งใหญ่หลบซ่อนตัวอยู่ในราชสำนัก ส่วนบุรุษผู้น้อยหลบซ่อนตัวในท้องตลาด ข้ามองว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการปูทางหนีไปที่ใดสักแห่งของนายท่านสี่…”
ไหวซานพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าวางแผนคร่าวๆ เอาไว้ในใจแล้วบ้างหรือยัง”
“ยัง!” ฉินจื่ออันกล่าวด้วยท่าทีของหนุ่มโสดผู้ไม่มีครอบครัวว่า “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ตัดสินใจว่าจะติดตามนายท่านสี่ไป เขาไปที่ใดข้าก็จะไปที่นั่น” สายตาของเขาร่วงลงบนตัวของฉินจื่อผิง “อย่างไรก็ตามท่านพ่อของข้ายังมีบุตรชายอีกคนหนึ่ง”
ฉินจื่อผิงผู้มีสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อยมาโดยตลอดพอได้ยินแล้วก็คืนสติกลับมาในทันที กล่าวขึ้นว่า “ข้าก็ตั้งใจจะติดตามนายท่านสี่ด้วยเช่นเดียวกัน เจ้าอย่าคิดจะเปลี่ยนใจข้าเลย” จากนั้นก็ไม่สนว่าฉินจื่ออันจะทำหน้าอย่างไร ก็กล่าวอีกว่า “นายท่านสี่…คิดว่าจี๋อิ๋งมีค่ามากเพียงนั้นถึงได้รั้งนางเอาไว้จริงๆ หรือ หากว่าตระกูลจี้ยอมเสียเบี้ยเพื่อรักษาขุนเล่า เช่นนั้นไม่ใช่ว่าจี๋อิ๋งจะตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือ”
“เจ้าจะกังวลเรื่องของจี๋อิ๋งไปทำไม” ฉินจื่ออันเอ่ยถามด้วยนัยน์ตาที่ลุกโชน ราวกับต้องการมองให้ทะลุไปถึงก้นบึ้งหัวใจของฉินจื่อผิงก็ไม่ปาน
“มะ…ไม่มีอะไร!” ฉินจื่อผิงเลิ่กลั่กขึ้นมาในทันใด แต่ก็เก็บอาการคืนกลับมาได้อย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่คิดว่า จี๋อิ๋งอยู่กับพวกเรามานานหลายปี พอนึกถึงเรื่องราวอันน่าคับข้องใจของนางแล้ว ก็รู้สึกว่านางน่าสงสารยิ่งนัก”
ฉินจื่ออันไม่เอ่ยคำใด
ไหวซานกะพริบตา แต่ก็ไม่กล่าวอะไรเหมือนกัน
บรรยากาศภายในห้องพลันเปลี่ยนเป็นชะงักงันขึ้นมาเล็กน้อย
ฉินจื่อผิงรีบกล่าวว่า “ใช่แล้ว พวกเจ้าได้ยินแล้วหรือยัง คุณชายใหญ่เก้าของจวนสี่กำลังจะแต่งงาน จวนสี่เชิญฮูหยินผู้เฒ่าช่วยออกหน้า ขอให้นายท่านสี่กับนายท่านใหญ่ของตระกูลกู้ช่วยเป็นเถ้าแก่ให้ ในอีกสองวันนายท่านสี่กับนายท่านใหญ่ของตระกูลกู้จะไปผูโข่วเพื่อสู่ขอเจ้าสาวให้คุณชายใหญ่เก้า!”
“พวกเรารู้กันหมดแล้ว” ฉินจื่ออันกล่าวเสียงเรียบ “จวนสี่เพียงอยากยืมตำแหน่งจิ้นซื่อขั้นสองของนายท่านสี่ก็เท่านั้น นายท่านสี่ไปนั่งอยู่ที่นั่นประหนึ่งเป็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์ก็พอแล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะ มีอะไรจะบอกข้าหรือไม่”
“ข้ามีอะไรจะบอกเจ้าอย่างนั้นหรือ” ฉินจื่อผิงพึมพำเสียงเบา ทว่านัยน์ตากลับไม่กล้าสบตาตรงๆ กับพี่ชาย
ไหวซานยิ้มพลางช่วยพูดแก้เก้อว่า “วันนั้นนายท่านสี่จะไปจริงๆ หรือ ข้าต้องไปด้วยหรือไม่ บอกตรงๆ ว่า ข้าจินตนาการท่าทางยามที่นายท่านสี่ไปสู่ขอเจ้าสาวให้ผู้อื่นไม่ออกเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าลักษณะนิสัยของนายท่านใหญ่ตระกูลกู้จะเป็นเช่นไร หากว่าพูดน้อยเหมือนนายท่านสี่ล่ะก็คงแย่แน่ๆ…”
ทว่าสองพี่น้องตระกูลฉินต่างก็ไม่สนใจเขา ต่างจ้องกันไม่วางตาดั่งไก่ชนที่จ้องจะกระโจนเข้าหากัน
………………………………………………………………….
[1] ปล่อยให้มัจฉาตายหรือตาข่ายขาดไปข้างใดข้างหนึ่ง เปรียบเปรยว่า สู้กันจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต
[2] เปิดแหเอาไว้ข้างหนึ่ง เปรียบเปรยว่า ยอมเมตตาปล่อยให้ผู้กระทำผิดมีทางหนี เหมือนแหดักจับปลาที่เปิดแหข้างหนึ่งเอาไว้ให้ปลาหนีรอดไปได้