ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 179 เชื้อเชิญ
ถึงแม้ว่าเฉิงฉือจะกล่าวเช่นนี้ แต่ข่าวลือที่ว่า คุณหนูรองตระกูลโจวเป็นยอดฝีมือด้านหมากล้อม ที่เกือบจะชนะนายท่านสี่ฉือ ก็แพร่ออกไปทั่วซอยจิ่วหรูราวกับปีกที่สยายออกก็ไม่ปาน แม้แต่โจวชูจิ่นเองก็ยิ้มพลางเอ่ยถามน้องสาวว่า “เจ้าเล่นหมากล้อมเป็นตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระวนกระวายจนหน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ รีบกล่าวอธิบายไม่หยุดไม่หย่อน
หากเป็นเพียงถ้อยคำหยอกล้อจากคนสนิทอย่างโจวชูจิ่นเช่นนี้ก็แล้วกันไป แต่ก็มีคนอย่างเจิ้งซื่อผู้เป็นสะใภ้ใหญ่สือเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน ที่เมื่อพบนางกลางทางก็ยิ้มพลางจับมือนางแล้วกล่าวว่า “อันที่จริงคุณหนูรองไม่ต้องถ่อมเนื้อถ่อมตัวขนาดนี้ ในอีกสองสามวันข้าเตรียมจะจัดงานอ่านบทกลอนขึ้นภายในเรือน เมื่อถึงตอนนั้นคุณหนูรองต้องมาร่วมงานให้ได้ คุณหนูเจ็ดตระกูลเซินคลั่งไคล้การเล่นหมากเป็นชีวิตจิตใจ ไว้ข้าจะแนะนำนางให้เจ้ารู้จัก พวกเจ้าจะได้ประลองหมากกันสักสองสามกระดาน”
เจิ้งซื่อผู้เป็นสะใภ้ใหญ่สือนั้น หากวันนี้ไม่จัดงานชมดอกไม้วันพรุ่งนี้ก็จัดงานอ่านบทกลอน ไม่มีวันใดที่หยุดพักเลย
แต่ก่อนโจวเสาจิ่นคิดว่าสะใภ้ใหญ่สือเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกันดี ทั้งมีบุตรชายข้างกาย และยังได้รับความโปรดปรานจากมารดาของสามีเป็นอย่างมาก ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใดๆ ในชีวิตเลยสักนิด การที่นางมีพลังและอารมณ์เพลิดเพลินมาเล่นสนุกก็นับเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเห็นว่าบุตรชายของนางยังไม่ทันครบเดือนก็ต้องตระเตรียมจัดงานชมดอกไม้พวกนี้แล้ว เมื่อได้ย้อนมาขบคิดดูในตอนนี้แล้ว บางทีอาจไม่ใช่เพียงการชื่นชอบเล่นสนุกที่ผิวเผินเช่นนั้นก็เป็นได้
ดังเช่นคุณหนูเซินท่านนั้นที่นางเอ่ยถึง นางก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
กล่าวได้ว่า บรรดาผู้คนที่สะใภ้ใหญ่สือคบหา ไม่ใช่คนที่ไปมาหาสู่กับตระกูลเฉิงอยู่บ่อยๆ เหล่านั้น
โจวเสาจิ่นจำใจกล่าวทักทายสะใภ้ใหญ่สือสองสามประโยคไปตามมารยาท แล้วรีบรุดตรงไปยังเรือนเจียซู่
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วสีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมา เรียกฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับโจวชูจิ่นเข้ามาปรึกษาหารือว่าควรจะจัดการอย่างไรดี
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่ยี่หระ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลานั้นก็ไม่ไปเสียก็ได้แล้ว”
ทว่าโจวชูจิ่นกลับคาดเดาความคิดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนออก กล่าวพึมพำว่า “เกรงว่าไม่ไปไม่ได้นะเจ้าคะ! ทุกคนต่างอาศัยอยู่ในซอยเดียวกัน จริงๆ แล้วเรื่องที่ว่าเสาจิ่นจะเล่นหมากล้อมเป็นหรือไม่ พี่สะใภ้สือเพียงเอ่ยถามคำเดียวก็รู้แล้ว การที่นางกระทำเช่นนี้ กลัวว่าจะมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่เจ้าค่ะ”
สำนวนที่ว่า ‘เซี่ยงอวี๋รำดาบ โดยมีเจตตาลอบสังหารเพ่ยกง’ นั้นพลันผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของโจวเสาจิ่น นางโพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “…หรือว่าคิดจะเหยียบย่ำชื่อเสียงของท่านน้าฉือหรือเจ้าคะ”
ตามข่าวลือแล้ว โจวเสาจิ่นเป็นรองเฉิงฉือเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหากคุณหนูเซินเอาชนะโจวเสาจิ่นได้…เฉิงฉือผู้เป็นบุรุษ ในสายตาของผู้อื่นแล้วก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษมาก ไม่เพียงเท่านี้ หากได้เล่นหมากกับคุณหนูเซิน แล้วเอาชนะคุณหนูเซินได้ ด้วยระดับความสามารถของเฉิงฉือก็ถือเป็นอะไรที่รู้กันอยู่แล้ว
เฉิงฉือมียศตำแหน่งเป็นจิ้นซื่อขั้นสองอยู่กับตัวแต่ไม่ได้เข้ารับราชการ จึงตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าบัณฑิตมากมายมานานแล้ว หากเล่นหมากได้เพียงเท่านี้ เช่นนั้นที่ว่าเขา ‘มีความรู้ลึกซึ้งทั้งด้านการเขียนอักษรและการวาดภาพ’ ก็อาจจะต้องพิจารณากันเสียใหม่ หากว่าคิดโยงไปอีกขั้นหนึ่ง การที่ตระกูลเฉิงไม่ให้เฉิงฉือรับราชการ หรือจะเป็นเพราะรู้ว่าความสามารถของเฉิงฉือนั้นใช้ไม่ได้ ไม่เพียงพอต่อการทำงานในราชสำนัก ไม่สู้ซ่อนเขาเอาไว้ในตระกูลเสียยังจะดีกว่า บุคคลผู้สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้ผู้หนึ่ง แม้นใช้การไม่ได้เพียงใด หากมีครูบาอาจารย์คอยสนับสนุนช่วยสั่งสอน ก็ทำงานราชการง่ายๆ ได้ หรือว่าแม้แต่งานง่ายๆ นี้เฉิงฉือก็ทำไม่ได้ เช่นนั้นเขาสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อมาได้อย่างไร…
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ
นางเอ่ยถามว่า “การทำเช่นนี้จวนรองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมิใช่หรือ ทุกคนต่างอาศัยอยู่ด้วยกัน หากคนใดคนหนึ่งได้รับเกียรติคนอื่นๆ ก็ได้รับเกียรติตามไปด้วย หากคนใดคนหนึ่งถูกหมิ่นเกียรติคนอื่นๆ ก็ถูกหมิ่นเกียรติไปด้วย!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นจริงจังมากเกินไป
ตระกูลใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขามากมาย เมื่อผ่านไปหลายรุ่น สายโลหิตเจือจางลงแล้ว ย่อมจะแบ่งแยกใกล้ไกลกับญาติที่สนิทหรือห่างเหินกัน หนำซ้ำครั้นผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ ก็จะเกิดช่องว่างระหว่างกัน การทำเรื่องสกปรกสักเรื่องหนึ่งจึงเป็นเรื่องธรรมดา ขอเพียงไม่กีดขวางผลประโยชน์โดยรวมของตระกูล ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ตระกูลเฉิงเองก็เป็นเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาหน้าตา การฉีกหน้ากันอย่างนี้ล้วนไม่เป็นผลดีกับทุกคน
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับมีความทรงจำจากชาติก่อน
จวนรองมีความพยายามมากผิดปกติที่ต้องการจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูล
ทันใดนั้นนางก็ได้ความคิดบ้าบิ่นหนึ่งขึ้นมา
เป็นไปได้หรือไม่ว่า รายรับกองกลางของตระกูลเฉิงสูงมาก สูงมากพอถึงขั้นที่ว่าจะทำให้จวนที่ได้ดูแลรายรับกองกลางของตระกูลจะได้ผลประโยชน์ที่มหาศาลตามไปด้วย
โจวเสาจิ่นถามท่านยายว่า “รายรับกองกลางของซอยจิ่วหรูนี้แบ่งสรรปันส่วนกันอย่างไรหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตกตะลึง
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขัดเขินว่า “ข้าเพียงคิดว่าค่อนข้างแปลก ตกลงแล้วจวนหลักกับจวนรองมีความแค้นอะไรกันแน่ จนไม่อาจสะสางได้ ตามหลักแล้ว บัดนี้จวนหลักรุ่งโรจน์ขึ้นมาราวกับกองไฟที่ราดด้วยน้ำมัน ในเมื่อไม่ได้มีความพยาบาทจากการสังหารบิดาหรือความแค้นจากการแย่งชิงภรรยา ต่อให้จวนรองอยากจะกุมอำนาจในตระกูลจนแทบคลั่ง ก็ต้องระแวดระวังและอดกลั้นเอาไว้ ค่อยๆ วางแผนแย่งชิงมาถึงจะถูก แต่นี่เหตุใดถึงมาชิงดีชิงเด่นกับจวนหลักอย่างไม่สนใจอะไรเลยเช่นนี้ หากว่าพี่ชายสือกับพี่ชายอวี่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเยาว์ก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้พี่ชายสือเป็นเพียงซิ่วไฉผู้หนึ่ง ส่วนพี่ชายอวี่ยังไม่เคยแม้กระทั่งลงสนามสอบเลยสักครั้ง แล้วพวกเขาจะเอาอะไรต่อกรกับจวนหลักหรือ นี่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยนะเจ้าคะ”
ครั้นโจวชูจิ่นได้ยินโจวเสาจิ่นกล่าวว่า ไม่สมเหตุสมผล ออกมา ก็อดเม้มปากกลั้นยิ้มไม่ได้
ตั้งแต่เมื่อไรกันหนอ ที่น้องสาวผู้มักจะกล่าวว่า ข้ารู้สึกว่า ข้าคิดว่า อยู่เสมอนั้นจะเริ่มสังเกตเห็นความสมเหตุสมผลของเรื่องต่างๆ ได้แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนใคร่ครวญอย่างละเอียด แล้วคิดว่าคำพูดของโจวเสาจิ่นมีเหตุผลยิ่ง จึงกล่าวว่า “พวกเราหลายจวนต่างก็แยกตระกูลออกมานานแล้ว ที่นาของตระกูลนั้นอยู่ในครอบครองของจวนหลัก จวนหลักเห็นแก่ความเป็นตระกูลเดียวกัน ทุกๆ ปีจึงแบ่งเงินสามร้อยเหลี่ยงให้กับจวนสี่และจวนห้า ส่วนจวนรองและจวนสามได้รับเงินจำนวนเท่าไรนั้น ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ก็ไปสืบดูได้…
…สมัยที่ข้าเพิ่งจะดูแลกิจการของครอบครัวตอนนั้น หากว่าฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล กำไรจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตในทุกๆ ปีจะได้ประมาณห้าร้อยเหลี่ยง หากปีนั้นเผชิญภัยแล้ง จะได้รับมากสุดที่หนึ่งร้อยแปดสิบเหลี่ยง บางปีถึงขั้นเก็บเกี่ยวพืชผลไม่ได้เลย ดังนั้นจวนหลักจึงแบ่งเงินสามร้อยเหลี่ยงให้พวกเราโดยไม่สนว่าผลผลิตในปีนั้นๆ จะดีหรือไม่ ข้าจึงกระดากอายที่จะซักถามถึงกำไรของผลผลิตจากไร่นา แต่ข้าคิดว่า ต่อให้จวนหลักซื้อที่นาเพิ่มเติมในภายหลัง ผลกำไรจากไร่นาก็ยังคงอยู่ตรงนั้น อย่างไรก็ไม่อาจทำให้ผู้อื่นอิจฉาตาร้อนได้หรอก เว้นเสียแต่ว่า ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง จนไม่อาจใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยต่อไปได้…
…แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนเหตุเพราะเจิ้งซื่อแตกกิ่งก้านสาขาให้แก่ตระกูลเฉิง ท่านผู้นำตระกูลจวนรองก็ได้มอบที่ดินให้นาง ข้ามองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะขัดสนเงินทองแต่อย่างใด…
…ในทางกลับกันตอนนี้สิ่งที่ยึดหลายๆ จวนเข้าด้วยกันได้ก็คือผลกำไรจากร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่…
…แต่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่บริหารโดยอาสี่ฉือแต่เพียงผู้เดียว ต่อให้จวนรองฉกชิงไปได้ แล้วใครจะมาบริหารจัดการได้หรือ ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ไม่ได้เป็นของพวกเราตระกูลเดียว ร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่าของตระกูลหลี่ก็ครอบครองหุ้นส่วนอยู่ด้วย!”
พอได้ยินท่านยายกล่าวเช่นนี้ โจวเสาจิ่นก็รู้สึกว่าดูเหมือนตนจะขยายประเด็นออกไปไกล โชคดีที่ท่านยายนอกจากจะไม่กล่าวอะไรเพิ่มแล้ว ยังส่งคนไปตรวจสอบผลกำไรจากที่นาและคลังกองกลางอีก โดยบอกว่า “ความระมัดระวังช่วยให้เดินเรือได้เป็นหมื่นปี ระแวดระวังเอาไว้ก่อนอย่างไรก็ไม่มีทางผิดพลาดได้” ทั้งยังชมเชยโจวเสาจิ่นว่า “คิดได้อย่างรอบคอบ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
ครั้นออกจากเรือนเจียซู่แล้ว นางปรึกษากับพี่สาวว่า “ควรจะนำความไปแจ้งท่านน้าฉือสักหน่อยหรือไม่ ท่านน้าฉือเป็นบุรุษ อาจจะไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมน่าอายเหล่านี้ก็เป็นได้”
โจวชูจิ่นรู้สึกว่าสมควรอย่างยิ่ง จึงกล่าวว่า “หากดึงเจ้าออกจากเรื่องนี้ได้ก็จะยิ่งดี ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ต้องพลอยโดนลูกหลงไปด้วย ไม่แน่ว่าข่าวลือที่บอกว่า ‘เจ้าเล่นหมากเกือบจะชนะท่านน้าฉือ’ ก็อาจจะเป็นพวกเขาที่กระพือคลื่นให้โหมกระหน่ำซัดโถมยิ่งขึ้นก็เป็นได้”
โจวเสาจิ่นกลับไม่ได้คิดเช่นนี้ แต่การที่พี่สาวเห็นพ้องด้วยยังคงทำให้นางมั่นใจมากขึ้นหลายส่วน
นางไปที่เรือนหลีอิน
เฉิงฉือกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้เอนหลังใต้ชายคา ลมเย็นที่พัดโชยมาทำให้สาบเสื้อของเขากระพือเป็นพักๆ ทำให้คนเห็นแล้วก็รู้สึกเย็นสบายขึ้นเล็กน้อย
พอเห็นโจวเสาจิ่นเดินเข้ามา เขาก็ยกยิ้มขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ว่าอย่างไร มาหาข้าเพื่อเล่นหมากหรือ!”
โจวเสาจิ่นไม่ต้องเอ่ยถามก็รู้แล้วว่าเขาต้องได้ยินข่าวลือในช่วงนี้แล้วเป็นแน่
ทันใดนั้นนางก็เข้าใจความรู้สึกของจี๋อิ๋งบ้างแล้ว
มีเจ้านายที่ทำท่าทางเมินเฉยเสมือน ‘เจ้ารีบร้อนแต่เขาไม่รีบร้อน’ คนหนึ่ง ก็ไม่แปลกที่จี๋อิ๋งจะเอ่ยเรียกชื่อของท่านน้าฉือตรงๆ ลับหลังเขา
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จี๋อิ๋งกลับมาจากชังโจว ก็ไม่เคยเอ่ยชื่อของท่านน้าฉือตรงๆ อีกเลย นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง
โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้เฉิงฉือฟังรอบหนึ่ง
ทว่าเฉิงฉือกลับไม่ใส่ใจ ยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้าไม่ไปประลองหมากด้วยก็พอแล้ว”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างประชดหน่อยๆ ว่า “ข้าหลบเลี่ยงในวันที่หนึ่งได้แต่ไม่อาจหลบเลี่ยงไปจนถึงวันที่สิบห้าได้นะเจ้าคะ! หากว่าพี่สะใภ้สือตั้งใจจริงๆ ล่ะก็ นางย่อมหาโอกาสได้เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็เล่นหมากล้อมไม่เป็นเลยแม้แต่น้อย หากข่าวลือนี้แพร่งพรายออกไป…น่าอับอายยิ่งนักเจ้าค่ะ!
เฉิงฉือไม่สนใจเจตนาแฝงของจวนรอง แต่กลับแนะนำนางว่า “เจ้าเรียนหมากล้อมกับเฉินต้าเหนียงอยู่มิใช่หรือ ถึงเวลานั้นหากได้เล่นกับคุณหนูเซินผู้นั้นสักกระดานชื่อเสียงก็จะกลับมาเองมิใช่หรือ”
“แต่ตอนนี้ข้ายังไม่เข้าใจรูปแบบการเริ่มเล่นที่มุมเลยนะเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นก้มหน้าลง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “หนำซ้ำการโกหกผู้อื่นเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่ค่อยดีนัก…ข้าคงไม่โชคดีไปทุกๆ ครั้งหรอกกระมัง เช่นนั้นก็คงต้องใช้ชีวิตไปอย่างเหน็ดเหนื่อยแย่เลยเจ้าค่ะ!
เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้น พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
เป้าหมายที่นางมาก็เพื่อจะเตือนเฉิงฉือ ในเมื่อเขารับทราบแล้ว เป้าหมายของนางก็ถือว่าบรรลุแล้ว สำหรับตัวนาง เลวร้ายที่สุดก็ถูกคนหัวเราะเยาะสักครั้ง ไม่แน่ว่านางยังใช้ประโยชน์จากสะใภ้ใหญ่สือ ให้บรรดาคนที่คิดว่านางเล่นหมากเก่งไม่มาราวีนางอีกต่อไป
แต่จะให้นางผ่านวันเวลาโดยแบก ‘ชื่อเสียงอันดี’ เอาไว้บนหลังทั้งๆ ที่ไม่มีมูลความจริงนั้น นางก็ไม่อาจข่มตานอนหลับได้อย่างสงบเช่นกัน
“เช่นนั้นท่านอ่านหนังสือต่อเถิดเจ้าคะ!” นางลุกขึ้นกล่าวขอตัว “ข้าจะไปคัดพระธรรมที่ห้องพระแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือมองตามหลังของนางที่จากไปไกลๆ พลางขมวดคิ้วขึ้น
เป็นเขาเองที่บอกนางว่า ให้นางไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ ทว่าตอนนี้กลับถูกคนของจวนรองมาหาเรื่องจนเป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งซอย ตามหลักแล้ว ต่อให้นางไม่มาหาเขาเพื่อต่อว่าต่อขานก็น่าจะมาขอให้เขาช่วยสะสางปัญหานี้ให้ถึงจะถูก แต่นางกลับมาเพียงเพื่อเตือนเขา…เป็นเพราะเด็กน้อยผู้นี้เดียงสาเกินไป หรือเป็นเพราะว่านางมีวิธีการรับมือแล้วกันแน่
เฉิงฉือตัดสินใจจะรอดูสถานการณ์ต่อไป
จนกระทั่งสะใภ้ใหญ่สือให้หงหรุ่ยสาวใช้ข้างกายมาส่งเทียบเชิญให้กับนาง โจวเสาจิ่นจึงปฏิเสธคำเชิญสะใภ้ใหญ่สืออย่างตรงไปตรงมาว่า “ขอบคุณคำยกยอของสะใภ้ใหญ่สือยิ่งนัก เพียงแต่ว่าความจริงแล้วข้าเล่นหมากไม่เป็น หากไปร่วมงานด้วยก็กลัวจะเล่นหมากเป็นเพื่อนคุณหนูเซินไม่ได้ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องล้อเล่นของคนในจวน เพียงแต่สะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าไม่เอ่ยถามก่อนกลับคิดเป็นตุเป็นตะว่าเป็นเรื่องจริง เกรงว่าจะทำให้สะใภ้ใหญ่สือของพวกเจ้าผิดหวังเสียแล้ว”
หงหรุ่ยยิ้มพลางกล่าวโน้มน้าวว่า “สะใภ้ใหญ่ของพวกข้าก็กล่าวเอาไว้เหมือนกันว่า คุณหนูรองต้องช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดพระธรรมอยู่ที่จวนหลัก เป็นไปได้มากว่าคงจะไม่มีเวลาว่างมาร่วมงานอ่านบทกลอน แต่สะใภ้ใหญ่ของพวกข้าเห็นว่าคุณหนูรองมีอุปนิสัยที่โดดเด่น ความจริงแล้วก็เพียงปรารถนาจะผูกมิตรด้วย จึงใช้งานอ่านบทกลอนเป็นข้ออ้างเชิญคุณรองมาร่วมงานด้วยเจ้าค่ะ สำหรับเรื่องการเล่นหมากนั้น ก็เพียงกล่าวไปอย่างนั้น ขอให้คุณหนูรองอย่าได้เก็บมาใส่ใจเจ้าค่ะ” แล้วกล่าวอีกว่า “แขกที่สะใภ้ใหญ่ของพวกข้าเชิญมาในครั้งนี้ล้วนเป็นหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับคุณหนูรอง ทั้งยังเชิญพ่อครัวใหญ่ของเหลาสุราเป่ยเจียงกับเหลาสุราเหมยเหยียนสองแห่งมาช่วยทำงานอาหารในงานเลี้ยง ตอนนี้คุณหนูรองวางงานอ่านบทกลอนหรือการเล่นหมากอะไรลงก่อน แล้วไปลิ้มลองฝีมือพ่อครัวใหญ่ของเหลาสุราสองแห่งนั้นก็พอ สะใภ้ใหญ่ของพวกข้าจัดงานเลี้ยงฉลองเช่นนี้ ก็เพียงแค่อยากสร้างบรรยากาศรื่นเริงเท่านั้น คุณหนูรองลองไปร่วมงานดูสักครั้งก็จะรู้เองเจ้าค่ะ” กล่าวพลางหยิบเทียบเชิญออกจากอก แล้วกล่าวว่า “ท่านดูสิเจ้าคะ เทียบเชิญนี้มอบให้คุณหนูใหญ่ สะใภ้ใหญ่ของพวกข้ากล่าวว่า คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองต่างก็เหมือนกับไข่มุกที่สุกสกาววาววับราวกับหยาดน้ำค้างในยามเช้า หากขาดคุณหนูคนใดคนหนึ่งไปงานอ่านบทกลอนก็คงหม่นหมองไม่มีสีสันเสียแล้ว ขอให้คุณหนูทั้งสองท่านมาร่วมงานให้ได้นะเจ้าคะ ให้สะใภ้ใหญ่ของพวกข้าได้รู้ว่าข้าไม่ได้กินดื่มไปวันๆ โดยไม่ทำการทำงานใดๆ ด้วยเจ้าค่ะ” ประโยคสุดท้าย เป็นการกล่าวหยอกเย้าด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
…………………………………..