ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 187 เมืองอี๋เจิน
เรือลำนี้เก่าก็เก่า เล็กก็เล็ก แต่เฉิงฉือย่อมไม่สนใจเป็นธรรมดา เขายิ้มพลางนั่งลงข้างฮูหยินผู้เฒ่ากัว เนื่องจากเป็นโต๊ะกลม จึงดูละม้ายคล้ายเตาหลอมสามขาเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นเป็นผู้ที่ไม่จู้จี้เรื่องอาหารการกิน จึงรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเตรียมตัวสำหรับการเดินทางในครั้งนี้มาตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน นางตื่นนอนแต่รุ่งสาง แม้ว่าจะนอนพักกลางวันในช่วงบ่ายไปครู่หนึ่งแล้ว แต่เนื่องด้วยอายุที่มากแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงรู้สึกอิดโรยเป็นอย่างมาก เดิมทีไม่รู้สึกอยากอาหารสักเท่าใด แต่พอเห็นโจวเสาจิ่นเจริญอาหารถึงเพียงนี้ นางจึงรับประทานข้าวไปมากกว่าครึ่งถ้วยอย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือเห็นแล้วก็ลอบพยักหน้าเบาๆ
คิดว่าตัดสินใจถูกแล้วที่พาโจวเสาจิ่นไปเขาผู่ถัวด้วย ไม่เช่นนั้นด้วยอุปนิสัยของเขาและมารดา เกรงว่าจะไร้บทสนทนาตลอดทางไปจนถึงผู่ถัว หรือไม่ก็มีแต่มารดาที่พูดอยู่ฝ่ายเดียว และลอบรู้สึกเสียใจไปจนถึงผู่ถัว
ตกเย็น พวกเขาพักแรมอยู่ที่ท่าเรือเมืองอี๋เจิน
จ้าวคุนผู้เป็นเจ้าเมืองเมืองอี๋เจินออกมาให้การต้อนรับเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นหลบไปอยู่ในห้องโดยสารของเรือ จนกระทั่งจ้าวคุนมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวผ่านฉากกั้นห้อง และเชิญเฉิงฉือไปรับประทานอาหารบนฝั่งแล้ว โจวเสาจิ่นถึงได้ออกไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ห้องพักโดยสาร
ครั้งนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้ดึงโจวเสาจิ่นไปเล่นไพ่ แต่หลังจากที่ตรวจดู ‘ศูรางคมสูตร’ แล้ว ก็เริ่มวิจารณ์และติข้อบกพร่องของอักษรที่นางคัดมา
โจวเสาจิ่นฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วเขียนอักษรใหม่ทีละตัวให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูตามที่นางบอก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางตั้งอกตั้งใจยิ่งนัก ทำให้มีอารมณ์ร่วมไปด้วย จึงชี้แนะอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น
คนหนึ่งสอน อีกคนหนึ่งคัดตาม เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่เฉิงฉือกลับมา ก็เป็นยามไฮ่[1]เสียแล้ว
โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งโหยง รีบเชิญฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปนอนหลับพักผ่อน
บางทีอาจเป็นเพราะได้ทำในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงอารมณ์ดียิ่ง นอกจากจะไม่ง่วงนอนแล้ว ในทางกลับกันยังเอ่ยถามเฉิงฉือว่า “เหตุใดจ้าวคุนผู้นี้ถึงได้มาเยี่ยมเยียนเจ้าหรือ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
เฉิงฉือไม่ได้มียศตำแหน่งทางราชการ ซ้ำยังเป็นเพียงแค่การออกมาท่องเที่ยว หากว่าพอมีความสัมพันธ์กับตระกูลเฉิงอยู่บ้าง อย่างมากที่สุดก็ส่งบริวารคนสนิทคนหนึ่งมามอบของขวัญเป็นการต้อนรับ หากไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับตระกูลเฉิงเลย จะเมินเฉยพวกเขาเสียก็ได้ เมืองอี๋เจินเป็นเมืองป้อมปราการทั้งทางบกและทางน้ำ ไม่รู้ว่าแต่ละปีมีขุนนางเดินทางผ่านมามากเพียงใด หากว่ามาต้อนรับขับสู้เช่นนี้ทุกครั้งไป หากเจ้าเมืองอี๋เจินไม่เหนื่อยตายไปเสียก่อนก็คงผลาญทรัพย์หมดจนอดตาย ครั้งนี้จ้าวคุนไม่เพียงออกมาต้อนรับเฉิงฉือด้วยตนเอง ยังเชิญเฉิงฉือไปกินดื่มสังสรรค์ จะต้องมีเรื่องขอไหว้วานเป็นแน่
“เขาเป็นสหายที่สอบผ่านขุนนางในปีเดียวกันกับพี่รองขอรับ” เฉิงฉืออาบน้ำและเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว ผมเผ้าที่มัดรวบเอาไว้ยังเปียกหมาดๆ อยู่ กล่าวเสียงเบาว่า “เขาได้ยินว่าท่านจะเดินทางผ่านมา จึงมาคารวะท่านเป็นการเฉพาะขอรับ”
“เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “คงจะมีเรื่องขอร้องพี่ชายทั้งสองคนของเจ้ากระมัง”
เฉิงฉือตอบยิ้มๆ ว่า “บอกว่าฝ่ายสิงเหรินซือ[2] มีข่าวคราวแจ้งมาขอรับ จางจวิ้นหวาผู้เป็นเจ้ากรมพิธีการและเป็นผู้ทรงคุณวุฒิประจำพระตำหนักเหวินหวาสุขภาพทรุดโทรม เขาได้ร่างหนังสือถึงองค์ฮ่องเต้ ขอเกษียณราชการในเดือนเก้า เป็นไปได้ว่าพี่ใหญ่อาจจะได้โยกย้ายตำแหน่งไปอยู่ในหกกรมขอรับ”
ตอนนี้เฉิงจิงดำรงตำแหน่งเป็นราชทูตฝ่ายซ้ายของศาลว่าการ เป็นหนึ่งในเสนาบดีทั้งเก้า หากว่าได้โยกย้ายตำแหน่งไปอยู่ในหกกรมล่ะก็ เช่นนั้นก็เป็นไปได้ที่จะเป็นผู้สืบตำแหน่งเจ้ากรม
ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมในรัชสมัยปัจจุบันมักจะควบตำแหน่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในราชสำนักเสมอ
กล่าวได้ว่า เฉิงจิงจะได้เข้าสู่ราชสำนัก
โจวเสาจิ่นรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย
ชาติที่แล้ว เฉิงจิงเข้าสู่ราชสำนักหลังจากที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์
หากสถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ครั้งนี้ เฉิงจิงอาจยังคงรั้งอยู่ในตำแหน่งราชทูตฝ่ายซ้ายของศาลว่าการต่อไปก็เป็นได้
นางเหมือนอยากจะเอ่ยปากกล่าวแต่หยุดเอาไว้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังปลื้มปีติอยู่จึงไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่เฉิงฉือผู้เฝ้าระวังอยู่เสมอกลับสังเกตเห็น
รอจนกระทั่งออกจากห้องพักโดยสาร เฉิงฉือเจาะจงเรียกตัวโจวเสาจิ่นมา เอ่ยถามนางว่า “เจ้าได้ยินข่าวอะไรมาใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าควรจะบอกดีหรือไม่
ในเมื่อมีข่าวลือเช่นนี้แพร่ออกมา แสดงว่าเฉิงจิงก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกราชสำนักหมายตาเอาไว้ หากว่าสองพี่น้องตระกูลเฉิงวางแผนเตรียมการแต่เนิ่นๆ ไม่แน่ว่าเฉิงจิงอาจจะเข้าสู่ราชสำนักเร็วกว่าเดิมก็เป็นได้ ในแวดวงขุนนางใหญ่มักจะให้ความสำคัญเรื่องลำดับความอาวุโส การที่เฉิงจิงเข้าสู่ราชสำนักเร็วขึ้นวันหนึ่ง อิทธิพลของตระกูลเฉิงย่อมแข็งแกร่งมากขึ้นอีกวันหนึ่ง หากนางไม่เอ่ยปากพูด ครั้นเฉิงฉือจับพิรุธของนางแล้ว ก็ต้องหาข้ออ้างแก้ตัวอยู่เรื่อยไป แต่ถ้าหากนางกล่าวออกไป ถ้อยคำนี้ควรเรียบเรียงอย่างไรถึงจะไม่ทำให้เฉิงฉือเคลือบแคลงสงสัยเอาได้ แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ นางอยากจะบอกเฉิงฉือเหลือเกิน
นางปรารถนาให้เฉิงจิงเข้าสู่ราชสำนักโดยเร็ว ยิ่งตระกูลเฉิงขยับเข้าใกล้ใจกลางของอำนาจราชสำนักได้มากเท่าใด ก็ยิ่งรับฟังข่าวสารที่ผู้อื่นไม่ได้รับได้มากขึ้นเท่านั้น โอกาสที่จะหลุดพ้นจากโชคชะตาในชาติก่อนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ทว่าเฉิงฉือกลับไม่คิดเช่นนี้
หากจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เขากับโจวเสาจิ่นเป็นเพียงคนที่ไม่สนิทสนมกันแต่ต้องมาเผยความในใจให้แก่กัน ต่อให้โจวเสาจิ่นได้ยินอะไรมาบ้างหรือทราบอะไรมาบ้าง การที่นางลังเลจะบอกหรือไม่บอกเขานั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่เขาเป็นคนที่สังเกตสิ่งรอบข้างอย่างละเอียดรอบคอบ และจับผิดสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของโจวเสาจิ่นได้โดยไม่ตั้งใจ จึงทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกลำบากใจ
เขาครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ซักถามถึงแหล่งข่าวของเจ้า และจะไม่ซักไซ้ว่าเจ้าทราบได้อย่างไร เจ้าเพียงบอกผลลัพธ์แก่ข้าก็พอแล้ว”
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักรัวๆ
หากว่านางกับเฉิงฉือมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีเหมือนอย่างตอนนี้ได้ล่ะก็ ครั้นถึงยามที่นางต้องบอกเรื่องที่ตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์สินและฆ่าล้างยกตระกูล ท่านน้าฉือจะไม่ไถ่ถามถึงสาเหตุที่มาแต่จะทำเพียงเอ่ยถามถึงผลลัพธ์เฉกเช่นตอนนี้หรือไม่นะ
ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร นางก็ต้องลองดูสักครั้ง
เช่นนี้นางก็ไม่ต้องโกหกซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปกปิดเรื่องปาฏิหาริย์เหนือความเข้าใจที่เกิดขึ้นกับตนเองแล้ว
อย่างไรก็ตาม โจวเสาจิ่นยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย
นางกล่าวอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ข้า…เพียงได้ยินว่า…อาจจะเป็นหวงหลี่เจ้าค่ะ!”
ชาติก่อน นางไม่ได้สนใจเรื่องราวเหล่านี้เลย
ตามความคิดของนาง หน้าที่การงานในราชสำนักของเฉิงจิงนั้นราบรื่นยิ่งนัก
ต่อมานางลอบได้ยินว่าระหว่างหวงหลี่กับเฉิงจิงมีความแค้นแต่หนหลังที่ต้องสาวความไปถึงตอนที่ทั้งสองคนยังเป็นเสนาบดีทั้งเก้า ทว่าเมื่อครั้งที่ท่านอาจารย์ของหวงหลี่เกษียณราชการ ในปีนั้นเขาได้ออกหน้าเสนอให้ศิษย์ของตนเข้าสู่ราชสำนักแก่หัวหน้าเหล่าขุนนาง ต่อมาภายหลังเฉิงจิงก็เข้าสู่ราชสำนักด้วยเช่นกัน แต่ลำดับชื่อกลับอยู่ถัดออกมาจากของหวงหลี่ กระทั่งเมื่อนางไปเที่ยวกับอาจูในช่วงเทศกาลวันสารทจีนของปีที่แล้ว อาจูเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเฉิงจิงกับหวงหลี่ให้ฟังแต่นางก็ยังไม่ได้คิดไกลไปกว่านั้น…จวบจนเมื่อครู่ พอเฉิงฉือเอ่ยว่าเฉิงจิงอาจจะได้เข้าสู่ราชสำนัก นางถึงได้ค้นพบว่าหวงหลี่ผู้นั้นที่นางเคยได้ยินชื่อในชาติก่อน ผู้เป็นเจ้ากรมพิธีการและเป็นผู้ทรงคุณวุฒิประจำตำหนักตะวันออก เคยเสียเปรียบให้กับเฉิงจิง ภายหลังจึงเป็นขุนนางในราชสำนักที่เข้าหน้ากันไม่ติดกับเฉิงจิง
เฉิงฉือเชื่อคำพูดของโจวเสาจิ่น
นางเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสามปีที่อาศัยอยู่ในเมืองจินหลิงมาทั้งชีวิตและเติบโตอยู่แต่ในห้องหอ ต่อให้เฉลียวฉลาดมากเพียงใดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกุเรื่องขึ้นมาอย่างไร้มูลความจริงโดยที่ไม่ทราบสถานการณ์การเมืองในราชสำนักเลย ยิ่งไปกว่านั้นถ้อยคำของนางก็ยังมีเหตุผลยิ่งนัก
เรื่องที่เฉิงจิงได้รับตำแหน่งราชทูตฝ่ายซ้ายของศาลว่าการได้อย่างไรนั้น ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขา!
ยามนี้เฉิงจิงกับหวงหลี่ต่างเป็นเพียงหนึ่งในเสนาบดีทั้งเก้า เบื้องบนมีผู้หลักผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งข่มเอาไว้อยู่ ไม่ว่าหวงหลี่จะมีความคิดเห็นอย่างไรต่อเฉิงจิง เพื่อแสดงว่าตนเป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีและมองการณ์ไกล เวลานี้เขาไม่อาจเผยท่าทีที่แท้จริงของเขาที่มีต่อเฉิงจิงให้ผู้อื่นเห็นได้ หนำซ้ำคราวก่อนหวงหลี่เสียเปรียบให้กับเฉิงจิงครั้งใหญ่ เซินหมิ่นจือผู้เป็นท่านอาจารย์ของเขาใกล้จะเกษียณราชการแล้ว ครั้นเกษียณแล้วจะเสนอชื่อของหยวนเหวยชางให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าขุนนางแทนตนเอง หากว่าเซินหมิ่นจือสนับสนุนอยู่ฝ่ายหวงหลี่ล่ะก็ เพื่อเป็นการตอบแทน ครั้งนี้หยวนเหวยชางไม่อาจยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเฉิงจิงได้ อีกทั้งหวงหลี่ยังกอดขาของเซินหมิ่นจือเอาไว้อย่างเหนียวแน่น คราวก่อนเซินหมิ่นจือไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่หวงหลี่ คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องผลักดันหวงหลี่เข้าสู่ราชสำนัก หาไม่แล้วมิตรสหายและสานุศิษย์ของเซินหมิ่นจือจะไม่มองเขาอย่างผิดหวังหรอกหรือ
เหนือสิ่งอื่นใดคือ ครั้นเซินหมิ่นจือเกษียณราชการไปแล้ว หลานชายของเขาเพิ่งจะได้รับการขึ้นบัญชีเป็นบัณฑิตในสำนักฮั่นหลินเพื่อรอการสอบเป็นจิ้นซื่อต่อไป และได้เป็นผู้สังเกตการณ์อยู่ในกรมยุติธรรมเมื่อปีที่แล้ว บัดนี้หากเขาไม่ใช้อำนาจที่หลงเหลืออยู่เพื่อทิ้งเงาร่มเย็นให้แก่ผู้อื่นล่ะก็ คนเหล่านั้นจะให้ความช่วยเหลืออุปถัมภ์หลานชายของเขาได้อย่างไร
เห็นทีว่าหยวนเหวยชางได้ตัดสินใจตอบแทนบุญคุณของเซินหมิ่นจือแล้ว!
เฉิงฉือครุ่นคิดแล้วพยักหน้าให้โจวเสาจิ่นเบาๆ กล่าวว่า “ขอบคุณมากที่เจ้าบอกเรื่องนี้กับข้า นับว่าครั้งนี้ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน! วันหลังเจ้าขอร้องให้ข้าช่วยเหลือเจ้าได้เรื่องหนึ่ง” เขากล่าวแล้วหยุดชะงัก ก่อนจะสำทับอีกว่า “ขอเรื่องใดก็ได้หนึ่งเรื่อง! แต่หากว่าเจ้าหมายจะเป็นจักรพรรดินีดังเช่นจักรพรรดินีเจ๋อเทียนล่ะก็ เกรงว่าข้าคงไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะทำให้ได้! เรื่องที่เจ้าอยากให้ข้าทำต้องเป็นเรื่องที่ข้ามีกำลังทำได้”
โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มออกมา หัวใจเต้นระรัวยิ่งขึ้น
ตอนนี้นางไม่อาจขอร้องเฉิงฉือ ให้เขาช่วยนำความไปบอกเฉิงจิง เรื่องที่ว่าในอีกสิบสองปีข้างหน้าตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และฆ่าล้างยกตระกูล!
โชคดีที่พอถ้อยคำนี้ตีตื้นขึ้นมาอยู่ที่ริมฝีปากนางยังควบคุมตนเองไม่ให้พลั้งปากออกไปได้
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นโบกมือปฏิเสธรัว พลางกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ท่านช่วยเหลือข้าตั้งหลายครั้ง ข้าไม่ได้ตอบแทนท่านดีๆ เลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็นับว่าข้าตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยเหลือข้าก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือไม่ได้ตรึกตรองอะไรมากตอนที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ ส่วนโจวเสาจิ่นก็ไม่ตระหนักถึงน้ำหนักและความหมายของ ขอเรื่องใดก็ได้เรื่องหนึ่ง ที่เขาสัญญาเอาไว้เช่นกัน
หากว่าเขาไม่คิดจะออกจากตระกูล เขาจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างคลุมเครือเช่นนี้เป็นแน่ แต่เขาตัดสินใจจะออกไปแล้ว จึงไม่ไยดีเรื่องภายในตระกูลเฉิงอีกต่อไป สัญญาที่กล่าวกับโจวเสาจิ่นนี้อย่างมากที่สุดก็มีกำหนดเพียงสองปี…ไม่สู้เขาคอยสังเกตสถานการณ์และช่วยเหลือนางสักสองสามครั้ง เช่นนี้สำหรับโจวเสาจิ่นแล้วย่อมคุ้มค่ามากกว่า
เขาตัดสินใจแล้ว ยกยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็แยกกับโจวเสาจิ่นที่กราบเรือ
โจวเสาจิ่นยินดีอย่างลิงโลดยิ่งนัก กระทั่งหลังจากที่ล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้าขึ้นบนเตียงแล้ว รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนริมฝีปากยังคงสดใสประดุจแสงตะวันในคิมหันตฤดู
ในที่สุดนางก็ช่วยเหลือท่านน้าฉือได้แล้วครั้งหนึ่ง
ท่านน้าฉือจะต้องคิดว่านางไม่ได้ไร้ประโยชน์สักเท่าใดอย่างแน่นอน
ขอเพียงให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับท่านน้าฉือย่อมต้องดีขึ้นมากเป็นแน่
ส่วนทางด้านเฉิงฉือ ตอนนี้เขากำลังเขียนจดหมายหาเฉิงจิงอยู่
ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามหากยังไม่ได้ปิดฝาโลงก็ไม่อาจตัดสินชี้ขาดได้ เขาไม่ได้เขียนกล่าวอะไรมากนัก เพียงเตือนพี่ใหญ่ให้จับตาดูความสัมพันธ์ระหว่างเซินหมิ่นจือกับหยวนเหวยชาง และเตือนให้เขาระวังรอยร้าวระหว่างเขากับหวงหลี่ไปในจดหมาย
เขาเชื่อว่าพี่ใหญ่น่าจะเข้าใจความหมายของเขา
แม้ว่าเขาตัดสินใจออกจากตระกูลเฉิงแล้ว แต่ตราบใดที่เขายังไม่ได้ออกไป ก็ยังนับเป็นบุตรหลานของตระกูลเฉิงอยู่
เฉิงฉือวางพู่กันลง แล้วลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง
พระจันทร์เสี้ยวลอยล่องอยู่เหนือท้องนภา ดวงดาราพร่างพราวประดับประดาอยู่รอบๆ หลายดวง บริเวณโดยรอบเงียบสงัดไร้สรรพเสียงใดๆ มีเพียงโคมไฟสีแดงดวงใหญ่ที่แขวนอยู่บนเสากระโดงเรือสะท้อนแสงสีแดงบนผิวน้ำ แต่งแต้มสีสันอบอุ่นในค่ำคืนอันเยียบเย็นนี้
เฉิงฉือเรียกไหวซานเข้ามา กล่าวว่า “ส่งม้าเร็วนำจดหมายนี้ไปมอบให้นายท่านใหญ่โดยเร็ว”
ไหวซานขานรับแล้วออกไป
เฉิงฉือยืนอยู่ข้างหน้าต่างโดยลำพังเป็นเวลานาน ถึงได้ปิดหน้าต่าง
เรือสำราญโคลงเคลงอยู่บนผิวน้ำราวกับเปลที่แกว่งไปมาก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว นอนหลับทั้งคืนโดยไม่ฝันจนถึงเช้า
เสียงร้องเพลงเอิกเกริกของบรรดาคนเรือ เสียงซู่ซ่าที่ราดน้ำระหว่างทำกับข้าวของบ่าวรับใช้บนเรือ และเสียงเอี๊ยดอ๊าดเวลาคนเดินย่ำบนไม้กระดานบนเรือ…ปลุกนางให้ตื่นขึ้นมา
หลังจากงัวเงียอยู่พักหนึ่ง โจวเสาจิ่นถึงนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังอยู่บนเรือสำราญไปเจิ้นเจียง
นางร้องเรียกชุนหว่านติดๆ กัน แล้วสวมรองเท้าลงจากเตียง
ชุนหว่านกับบ่าวหญิงสูงวัยร่างกำยำสองคนยกน้ำเข้ามา
“คุณหนูรอง ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางบอกให้บ่าวหญิงสูงวัยวางอ่างน้ำไว้ข้างโต๊ะเครื่องแป้งไปด้วย และช่วยโจวเสาจิ่นรวบผ้าม่านไปด้วย พลางกล่าวขึ้นว่า “ชิงเฟิงบอกว่า พรุ่งนี้ตอนบ่ายพวกเราก็จะถึงเจิ้นเจียงแล้ว จากนั้นจะเปลี่ยนขึ้นเรือสำเภาไปหังโจวเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “เจ้าเห็นจี๋อิ๋งบ้างหรือไม่”
หลังจากที่ตนขึ้นเรือมาแล้ว นางก็ไม่เห็นจี๋อิ๋งอีกเลย
………………………………………………………………….
[1] ยามไฮ่ ประมาณ 21.00-23.00 นาฬิกา
[2] สิงเหรินซือ (行人司) ทำหน้าที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและส่งข่าวสารต่างๆ