ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 192 กังวลใจ
พูดง่ายแต่ทำยาก
ถึงแม้โจวเสาจิ่นจะทำใจกล้าตะโกนใส่เฉิงฉือไปประโยคหนึ่งเช่นนั้น แต่พอถึงวันรุ่งขึ้น นางกลับเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องพักโดยสารอยู่นานกว่าจะหยิบตำราการเล่นหมากล้อมเล่มนั้นแล้วเดินไปยังที่ๆ เฉิงฉือพำนักอยู่
เฉิงฉือกลับทำเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สั่งให้หลั่งเย่ว์ไปตั้งกระดานหมาก
โจวเสาจิ่นรวบรวมความกล้าเรียกหลั่งเย่ว์เอาไว้ แล้วกล่าวกับเฉิงฉือว่า “ท่านน้าฉือ ฝีมือการเล่นหมากล้อมของท่านสูงกว่าข้ามากนัก เวลาท่านเดินหมากกับข้าประหนึ่งกำลังแข่งงัดศอกกับเด็กน้อยอยู่ก็ไม่ปาน ชัยชนะที่ได้มาจากการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรม ย่อมไม่อาจหาความเบิกบานใจได้ ไม่สู้ท่านอธิบายการเริ่มเล่นที่มุมที่อยู่ใน ‘ตำราการเล่นหมากล้อม’ เล่มนี้ให้ข้าฟังจะดีเสียกว่า ถึงแม้ข้าเคยเรียนการเล่นหมากล้อมกับเฉินต้าเหนียงมาช่วงหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการเล่นหมากล้อมเท่าใดนักเจ้าค่ะ!”
ที่ผ่านมาเฉิงฉือรู้สึกว่าพรสวรรค์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เขาไม่ชอบสอนคนที่ใช้ความขยันมากลบความไม่ฉลาดของตนพวกนั้น
เห็นได้ชัดว่าโจวเสาจิ่นนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนฉลาด
แต่โจวเสาจิ่นมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว นางเอาตำราการเล่นหมากล้อมมากางเอาไว้บนโต๊ะตัวเล็กข้างตั่งหลัวฮั่นเรียบร้อย จากนั้นชี้ไปที่หมากหลายตัวบนมุมซ้ายพลางกล่าว “ข้ารู้ว่าควรจะเดินหมากไปที่ตรงนี้ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องวางหมากข้างๆ ตรงนี้ด้วย หากเป็นเพราะต้องการสร้างหมากเป็น ไม่ใช่ว่าวางใกล้เข้าไปตัวหนึ่งก็ได้แล้วหรอกหรือ ถ้าหากผู้เล่นฝั่งขาวไม่วางหมากตรงนี้ แต่วางหมากลงตรงนี้ เช่นนั้นการวางหมากในครั้งนี้ของเขาไม่เท่ากับว่าเป็นการวางหมากที่สูญเปล่าไปแล้วหรอกหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือคิดไม่ถึงว่านางจะตั้งใจอ่านมากถึงเพียงนี้ ความไม่ชอบใจที่อยู่ในใจก็เจือจางลงอย่างช่วยไม่ได้
เขาชี้ไปที่หมากหลายตัวบนมุมขวา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าดู ทางด้านนี้เขายังมีทางให้วางหมากอีกหลายทาง หากวางหมากลงบนตำแหน่งที่เจ้ากล่าวมาเมื่อครู่นี้ พื้นที่บริเวณนี้ก็จะว่าง หมากหลายตัวบนมุมขวาก็จะกลายเป็นเป้าให้โจมตีได้ จึงต้องวางหมากลงบนตำแหน่งนี้เท่านั้น พวกมันถึงจะเฝ้าระวังกันและกันอย่างเสมอกันได้” ขณะที่เขากล่าว มือก็หันไปจัดหมากบนกระดานให้เหมือนกับกระดานหมากในตำราออกมา “เจ้าดู หากหมากสีดำกลายเป็นรูปแบบนี้ ไม่ว่าหมากสีขาวจะวางหมากลงทางซ้ายหรือทางขวา หมากสีดำล้วนวางหมากขยายออกไปทั้งทางซ้ายและทางขวา ทีนี้หมากสีขาวก็จะพบกับความยุ่งยาก…ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าหมากตานี้เดินได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก…”
เฉิงฉือสร้างเหตุการณ์สมมติไม่หยุด
โจวเสาจิ่นให้ความสำคัญกับโอกาสเช่นนี้ยิ่งนัก และก็ไม่มีเวลามาเขินอายอีก กล่าวเสียงไม่ขาดสายว่า “ท่านน้าฉือ ท่านช้าลงสักหน่อยเถิด ข้ายังไม่เข้าใจเลยเจ้าค่ะ!”
ถึงแม้เฉิงฉือจะไม่ค่อยได้พูดคุยเรื่องการเดินหมากกับผู้คนบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่เขาพูดเรื่องการเดินหมากคนที่แวดล้อมอยู่ข้างกายล้วนเป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง ยังไม่เคยมีใครกล่าวว่าไม่เข้าใจและให้เขาอธิบายช้าลงหน่อยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้เหมือนโจวเสาจิ่นมาก่อน
เขาจำต้องลดความเร็วลง ค่อยๆ อธิบายให้นางฟังทีละขั้นทีละตอน
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าเช่นนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร จึงบอกให้หลั่งเย่ว์ฝนหมึกให้นาง นางยกโต๊ะตัวเล็กวางลงบนตั่งหลัวฮั่น เฉิงฉือกล่าวไปด้วย นางก็จดตามไปด้วย
ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเฉิงฉือไม่มีอารมณ์หงุดหงิดแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วกลับจมเข้าไปอยู่ในภวังค์ความคิด
ทำให้สื่อมามาที่ตั้งใจเล่าเรื่องการเดินหมากระหว่างโจวเสาจิ่นกับเฉิงฉือให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังเป็นเรื่องขำขันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
นางรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาหลายสิบปี ตามหลักแล้วไม่ว่ามากหรือน้อยก็น่าจะคาดเดาอารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้บ้าง ซึ่งนางมักจะภูมิใจกับมันยิ่งนัก แต่ครั้งนี้นางกลับเดาไม่ออกเลยว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังคิดอะไรอยู่ นางยืนกลั้นหายใจอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ผ่านไปกว่าครู่ใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้สั่งนางเสียงเบาว่า “เจ้าช่วยไปเรียกฉินจื่อผิงมาให้ข้าหน่อย”
สื่อมามาราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก ไปเรียกฉินจื่อผิงเข้ามา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไล่สื่อมามาออกไป ให้นางปิดประตู แล้วกวักมือเรียกฉินจื่อผิงเข้ามาคุยที่ด้านหน้า
“จื่อผิง ตระกูลของพวกเจ้าก็เป็นพ่อบ้านให้ตระกูลของพวกข้ามาตั้งแต่รุ่นเทียดของเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจ้องฉินจื่อผิงด้วยสายตาระยิบระยับ ราวกับแม่เสือที่กำลังจ้องกระต่ายตัวหนึ่ง “มาถึงรุ่นของพวกเจ้า ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่ห้าแล้ว พวกเราทั้งสองตระกูลอาจกล่าวว่าเป็นเจ้านายกับบ่าว ทว่ากลับได้รับความไว้วางใจจากนายท่านผู้เฒ่าและนายท่านของตระกูลพวกข้ามากกว่าญาติพี่น้องจริงๆ เสียอีก ข้าเองก็อายุมากแล้ว ตามจริงก็ไม่ควรจะมายุ่งเรื่องพวกนี้แล้ว แต่ชายสี่เป็นบุตรชายของข้า และก็เป็นบุตรชายคนเล็กของข้า ยังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ หากเป็นเรื่องของผู้อื่นข้าอาจไม่สนใจ แต่เรื่องของเขาข้าวางใจลงไม่ได้ เจ้าจงบอกความจริงกับข้า ว่าเกิดปัญหาอะไรกับการค้าของเขาใช่หรือไม่”
ฉินจื่อผิงตกตะลึง กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดท่านถึงคิดเช่นนี้ การค้าของนายท่านสี่ยังคงราบรื่นดียิ่งนัก ไม่มีปัญหาอะไรเลยขอรับ!”
“เจ้าไม่ต้องมาหลอกข้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก้มหน้าลง “หากไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องการค้าของเขา เช่นนั้นก็เป็นเพราะเขามีแผนการอะไรบางอย่าง และก็เป็นแผนการที่หากพูดออกมาแล้วข้าจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน…ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่อาจข่มกลั้นอุปนิสัยของตัวเองแล้วไปถวายธูปที่เขาผู่ถัวเป็นเพื่อนข้าเป็นแน่!”
ฉินจื่อผิงมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาภายในใจ กล่าวจริงครึ่งหนึ่งและเท็จครึ่งหนึ่งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังท่าน แต่ท่านเองก็ทราบว่าข้าเป็นบ่าววิ่งงานให้นายท่านสี่ เรื่องต่างๆ ของเขานั้น ข้าไม่กล้าและก็ไม่อาจบอกท่านได้ ท่านอย่าบีบบังคับข้าเลยนะขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็น กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าสามพี่น้อง คนที่ชายสี่โปรดปรานที่สุดคือพี่ชายรองของเจ้า แต่ข้าเห็นว่าเจ้าซื่อสัตย์พึ่งพาได้ ทั้งยังเอาใส่ใจรอบด้าน ถึงได้ส่งเจ้าไปรับใช้อยู่ในเรือนของชายสี่ด้วย…ในเมื่อข้าส่งเจ้าไปในเรือนของชายสี่ได้ ก็ย่อมเอาเจ้ากลับมาได้เช่นเดียวกัน เจ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วนรอบด้านถึงจะถูก”
หน้าผากของฉินจื่อผิงมีเหงื่อผุดออกมาเท่าเม็ดถั่ว นานครู่ใหญ่กว่าเขาจะกล่าวเสียงเบาออกมาว่า “นายท่านสี่อยากจะร่วมมือกับผู้อื่นสร้างท่าเรือที่เป่ยถังของเทียนจิน ก็เลยขายใบอนุญาตค้าเกลือของปีนี้และเครื่องทอผ้าที่หังโจวออกไปจนหมดขอรับ…ถึงแม้ว่าการค้านี้จะทำเงินมาก แต่ก่อนที่จะทำเงินก็ทุ่มเงินไปมาก เรียกได้ว่ามีเงินมากเท่าไรก็ต้องเอาไปทุ่มเข้าไปมากเท่านั้น ตอนนี้ที่จวนยังไม่ทราบเรื่อง รอให้ทราบเรื่องแล้ว เกรงว่าอาจเกิดความโกลาหลขึ้นได้ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่เล็กน้อย “ก็เพียงเรื่องเงิน ชายสี่ไม่ถึงกับต้องเก็บอารมณ์ไม่ได้เช่นนี้”
ฉินจื่อผิงจำต้องโกหกต่อไป “ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับองค์ชายอีกหลายพระองค์ เรื่องนี้เป็นนายท่านสี่ที่ลงมือจัดการด้วยตัวเอง รายละเอียดปลีกย่อยนั้น ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่นคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ชายสี่ไม่ใช่คนกระหายผลประโยชน์ประเภทนั้น…แล้วไปข้องเกี่ยวกับองค์ชายหลายพระองค์เหล่านั้นได้อย่างไร”
“เรื่องนี้” คราวนี้ฉินจื่อผิงมีเหงื่อเย็นผุดออกมาแล้วจริงๆ “ข้าเองก็ไม่ทราบ…ที่ผ่านมาเวลานายท่านสี่จะทำอะไรก็มักจะลึกลับไม่เปิดเผย ข้าเองก็เดาไม่ออกจริงๆ ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อยๆ ปัดใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำชาเบาๆ นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ถึงได้กล่าวเสียงแข็งขึ้นว่า “เจ้าไปเถิด! แล้วก็ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้กับชายสี่”
“ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจเถิดขอรับ” ฉินจื่อผิงพลันรู้สึกถึงความรู้สึกของผู้รอดชีวิต ยิ้มขมขื่นพลางกล่าวขึ้นว่า “เรื่องเช่นนี้ข้าไหนเลยจะกล้าเอาไปพูดกับนายท่านสี่! หากนายท่านสี่ทราบเข้าจะไม่แล่หนังของข้าหรอกหรือขอรับ!”
“เจ้ารู้อย่างนั้นก็ดี” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเสียงเคร่งแล้วโบกมือให้เขาออกไป
ฉินจื่อผิงตรงดิ่งไปยังห้องพักโดยสารของเฉิงฉือ
กลายเป็นว่าเฉิงฉือกำลังอธิบายวิธีการเล่นหมากให้โจวเสาจิ่นฟังอยู่ เขาจำต้องหลบอยู่ในห้องน้ำชาข้างๆ เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว โจวเสาจิ่นถึงได้ลุกขึ้นกล่าวขอตัว
ฉินจื่อผิงรีบขอเข้าพบ แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เฉิงฉือฟัง
เฉิงฉือไม่ยี่หระ กล่าวชมฉินจื่อผิงว่า “คิดไม่ถึงว่าในเวลาคับขันสมองของเจ้าจะยังปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ เรื่องนี้ถือว่าทำได้ดี ข้าจะจำไว้ ต่อไปหากท่านผู้นำตระกูลจวนรองถามขึ้น พวกเจ้าก็บอกไปตามนี้ก็แล้วกัน เจ้าถือโอกาสนี้ปล่อยข่าวนี้ออกไป เวลามีใครถามขึ้นมาจะได้ไม่ต้องมานั่งอธิบายอีก”
ฉินจื่อผิงถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
หลังจากรับมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เอ่ยถึงร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ขึ้นมา “…แรกเริ่มแม้แต่ข้าก็ไม่เห็นว่าดี ปรากฏว่าเจ้ากลับทำออกมาจนสำเร็จ ในบ้านจึงไม่ขาดแคลนค่าใช้จ่ายประจำวัน เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นห่วงผู้อื่นมากเกินไป อยากทำอะไรก็ทำไปเถิด อย่างมากพวกเราก็แค่เริ่มต้นกันใหม่”
เฉิงฉือขานรับยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกว่าในคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีความนัยแฝงอยู่
กระทั่งออกมาจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว นางจึงสั่งให้ชุนหว่านไปสืบความ ยังกล่าวขึ้นว่า “น่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในวันนี้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาเป็นแน่”
ชุนหว่านทดเก็บเอาไว้ในใจ ผ่านไปสองวันก็มาแจ้งนางว่า “ได้ยินว่านายท่านสี่สนใจที่ดินผืนหนึ่งที่เทียนจิน อยากจะสร้างท่าเรือที่นั่นสักแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าทุกคนต่างคัดค้าน นายท่านสี่ก็เลยไม่ค่อยเบิกบานใจนักเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้เริ่มปะติดปะต่อกันแล้ว!
โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “รู้หรือไม่ว่าเป็นที่ไหนของเทียนจิน”
ชาติก่อน นางรู้เรื่องพวกนี้น้อยยิ่งนัก จึงไม่รู้ว่ามีการสร้างท่าเรือขึ้นที่เทียนจินจริงหรือไม่ และก็ไม่รู้ด้วยว่าท่าเรือนั้นทำเงินได้หรือไม่
ชุนหว่านส่ายศีรษะ “ทุกคนต่างก็พูดอย่างไม่ชัดเจนนัก คาดว่าก็เพียงได้ยินมาเป็นบางส่วนเวลาไปรินน้ำชาเท่านั้นเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า ตอนที่ไปเรียนเดินหมากกับเฉิงฉืออีกครั้งนางจึงระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น
เฉิงฉือรู้สึกว่าถึงแม้เด็กคนนี้จะไม่ได้ฉลาดมาก แต่ก็เชื่อฟัง รู้ความ บางครั้งเพียงมองครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไร เพียงครึ่งประโยคก็ฟังความนัยแฝงนั้นออก เวลาอยู่ด้วยแล้วทำให้คนรู้สึกสบายใจ เวลาเขาอธิบายวิธีการเดินหมากจึงกลายเป็นมีความอดทนมากยิ่งขึ้นไปโดยปริยาย
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าเฉิงฉือคือคนที่น่าอัศจรรย์ที่สุดเท่าที่นางเคยเจอมาทั้งสองชาติภพ
ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ดีหรือไม่ดี เขาล้วนไม่หยิ่งทระนงหรือหุนหันพลันแล่น ไม่โกรธหรือบันดาลโทสะ ยังคงกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง
เลี่ยวเส้าถังผู้เป็นพี่เขยของนางเคยกล่าวเอาไว้ว่า คนประเภทนี้มักจะเป็นคนที่มั่นคงเด็ดเดี่ยว มีปณิธานที่แกร่งแกร่ง มีความเชื่อที่แน่วแน่ เป็นคนที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
เช่นนั้นเหตุใดเฉิงฉือถึงคิดจะลาจากตระกูลเฉิงกันนะ
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ในใจ
หรือว่าจะเป็นเพราะท่านผู้นำตระกูลจวนรองบีบบังคับเขา?
ต่อให้ท่านน้าฉือจะเก่งกาจมากกว่านี้ แต่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองก็อาวุโสกว่าเขาหลายรุ่น เขาจึงจำต้องหลีกทางให้กับผู้ทรงพลังกว่า…เห็นได้ชัดว่าชาติก่อนเขาก็เป็นคนที่น่าสงสารผู้หนึ่ง!
นางลอบถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างห้ามอารมณ์ความรู้สึกไม่อยู่
พอคิดเช่นนี้ ทุกๆ วันหลังจากที่นางอยู่คุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวในช่วงเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ช่วงบ่ายก็ไปคุยเรื่องการเดินหมากเป็นเพื่อนเฉิงฉือ
ไม่กี่วัน พวกเขาก็มาถึงฉางโจว
ฉางโจวตั้งอยู่ในเขตชายฝั่งของทะเลสาบขนาดใหญ่ ด้านบนติดกับจิงโข่ว ด้านล่างเป็นกูโจว เป็นหนึ่งในท่าเรือขนาดใหญ่ที่เชื่อมเหนือกับใต้เข้าด้วยกัน ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เมืองแห่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญของสามอู๋[1] ที่มีอำเภอที่มีชื่อเสียงแปดแห่ง’ เป็นตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ความเป็นอยู่ของผู้คนก็เฟื่องฟูยิ่งนัก
แต่ก็เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของกลุ่มเดินสมุทรด้วยเช่นเดียวกัน
โจวเสาจิ่นตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าจะขังจี๋อิ๋งเอาไว้ในห้องพักโดยสารของตนไม่ให้โผล่หน้าออกมา
แต่ใครจะรู้ว่าตอนที่นางไปหาจี๋อิ๋งนั้น จี๋อิ๋งกลับกำลังนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่
โจวเสาจิ่นหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ตอนที่เรือของพวกเขาเทียบท่านั้นก็ใกล้จะถึงเวลาจุดตะเกียงแล้ว แต่บนท่าเรือกลับเต็มไปด้วยคลื่นฝูงชนเช่นเดิม บ้างก็หาบของกินมาขาย บ้างก็ตั้งร้านอยู่กับพื้น บ้างก็ขนย้ายสินค้าลงจากเรือ บ้างก็เป็นพ่อค้าคนกลางวิ่งตามพ่อค้าที่ผ่านทางมา…ทำให้ตลอดทั้งท่าเรือเสียงดังอย่างไม่ขาดสาย แต่ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศของตลาด
โจวเสาจิ่นเท้าคางมองจากหน้าต่างออกไปอย่างเบิกบานใจ
ชุนหว่านกล่าว “คุณหนู ท่านว่าพวกเราขึ้นไปซื้อของบนท่าเรือได้หรือไม่เจ้าคะ ข้ารับปากซือเซียงกับพี่สาวฉือเซียงแล้วว่าจะซื้อหวีสับกลับไปฝากพวกนาง”
โจวเสาจิ่นถอนหายใจกล่าวว่า “ข้าเองก็รับปากท่านยาย ท่านป้าและพี่สาวเอาไว้ว่าจะซื้อหวีสับกลับไปฝากเหมือนกัน…แต่เจ้าดูสิว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเหมาะสมหรือ”
ก็เพราะว่าไม่เหมาะสมถึงได้ลองเสี่ยงดวงถามดูสักครั้งหนึ่ง!
ชุนหว่านขมวดคิ้วมุ่นอย่างเป็นกังวล
โจวเสาจิ่นกล่าว “คงต้องไปซื้อที่หังโจวเสียแล้ว ได้ยินว่าที่หังโจวมีของทุกอย่าง”
แต่ก็สู้การซื้อจากท้องถิ่นที่เป็นแหล่งกำเนิดไม่ได้!
ชุนหว่านคิดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป
มีคนตะโกนเสียงดังว่า “รบกวนสอบถามหน่อยว่าใช่เรือของตระกูลเฉิงจากซอยจิ่วหรูแห่งเมืองจินหลิงหรือไม่ขอรับ” อยู่ตรงบริเวณด้านหน้าของที่จอดเรือขนาดใหญ่ของท่าเรือ
โจวเสาจิ่นได้ยินฉินจื่อผิงตะโกนตอบกลับไปว่า “ไม่ทราบว่าเป็นสหายเก่าแก่จากตระกูลใดหรือ ที่นี่คือเรือของตระกูลเฉิงจากซอยจิ่วหรูแห่งเมืองจินหลิง!”
****************************************
[1] สามอู๋ ในที่นี้กล่าวถึงพื้นที่บริเวณทางตอนใต้ของเจียงซู รวมกับเซี่ยงไฮ้ และทางตอนเหนือของเจ้อเจียง