ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 197 เดินเที่ยวตลาด
ถึงแม้จะใช้สำหรับรับรองบรรดาหลงจู๊ที่มาจากสาขาใหญ่ แต่ห้องพักของร้านอวี้ไท่สาขาหนิงโปก็ตกแต่งได้ไม่เลวนัก เครื่องเรือนเป็นสีดำเคลือบเงาทั้งหมด แขวนด้วยผ้าม่านผ้าไหมหูโจวสีเขียว เครื่องกระเบื้องลายคราม ฉากกั้นปักลายตามรูปแบบเซียงซิ่วของหูหนาน ดูแล้วกว้างขวางโออ่า ทังยังไม่ขาดความประณีตและสง่างาม
แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่อาจเทียบได้กับเรือนหานปี้ซานที่ซอยจิ่วหรู ดังนั้นเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นห้องที่พวกนางกำลังจะเข้าพักก็ไม่ได้มีความประทับใจอะไรเป็นพิเศษ ทว่ากลับชื่นชอบต้นกุ้ยฮวาทั้งสองต้นกลางลานนั้นมาก ยิ้มพลางมองสำรวจไปรอบๆ หลายครั้ง กล่าวกับเฉิงฉือว่า “…ต้นไม้ทั้งสองต้นนี้ถึงฤดูของมันแล้ว”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเราตั้งมื้อเย็นที่ใต้ต้นกุ้ยฮวาดีหรือไม่ขอรับ วันนี้ไม่มีลมอะไร!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ช่างมันเถิด! พวกเราค้างที่นี่เพียงหนึ่งคืนเท่านั้น จะเป็นการทำให้พวกเขายุ่งจนหัวหมุนเปล่าๆ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “นี่มีอะไรให้ยุ่งยาก! ท่านใช้พวกเขาพวกเขาจะดีใจมากกว่า หากไม่ว่าอะไรท่านก็ไม่พูด ไม่ว่าอะไรก็ไม่ทำก็จากไปแล้ว เช่นนั้นพวกเขากลับจะยิ่งไม่สบายใจขอรับ” ขณะที่กล่าว เขาสั่งชิงเฟิงว่า “เจ้าไปบอกหวังเสี่ยว ว่าให้ตั้งมื้อเย็นของวันนี้ที่ใต้ต้นกุ้ยฮวา”
ชิงเฟิงรีบวิ่งออกไปส่งสารอย่างรวดเร็ว สตรีที่หวังเสี่ยวส่งมารับใช้โจวเสาจิ่นรีบสั่งให้สาวใช้และบ่าวสูงวัยที่พามาด้วยไปยกโต๊ะเก้าอี้
โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งลงใต้ต้นกุ้ยฮวา เฉิงฉือรับน้ำชาที่สาวใช้ยกมาให้ส่งให้มารดาด้วยตัวเอง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับน้ำชา จิบไปคำหนึ่งอย่างอารมณ์ดี
ชิงเฟิงวิ่งเข้ามากล่าวว่า “หลงจู๊หวังกล่าวว่า จะจัดการตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ ยังกล่าวอีกว่าได้จัดโต๊ะเลี้ยงรับรองข้างนอก…” เขาสำรวจสีหน้าของเฉิงฉือ
เฉิงฉือกล่าวเรียบๆ ว่า “ข้าออกเดินทางมาครั้งนี้เพื่อมาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า ความปรารถนาดีของเขาข้ารับรู้แล้ว ข้าจะรับมื้อเย็นที่นี่ คืนพรุ่งนี้ข้าจะจัดโต๊ะเลี้ยงรับรองพวกเขาที่หอฟู่หยวน สาขาหนิงโปทำงานได้ดียิ่ง ลำบากทุกคนแล้ว”
ชิงเฟิงวิ่งเหยาะๆ ไปให้คำตอบอีกครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือสั่งสตรีที่ถูกส่งมารับใช้พวกเขาว่า “นำอาหารขึ้นโต๊ะได้”
สตรีผู้นั้นขานตอบอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ” แล้วหมุนกายไปตั้งสำรับ
หมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊ว กุ้งผัดใบชาหลงจิ่ง ต้มจืดเต้าหูรวมมิตร ต้มสามโอชะ[1] หมูสับก้อนต้มซีอิ๊ว และเป็ดตุ๋นซีอิ๊ว…ไม่มีปลาสักจาน ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารเฉพาะของเจียงหนาน
สตรีผู้นั้นอธิบายเสียงเบาว่า “หลงจู๊หวังกล่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีอายุแล้ว เกรงว่าจะไม่คุ้นเคยกับสถานที่แปลกใหม่ จึงสั่งให้ห้องครัวทำอาหารที่ฮูหยินผู้เฒ่ารับประทานเป็นประจำมาให้เป็นการเฉพาะเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ทำให้หลงจู๊หวังต้องลำบากแล้ว”
สตรีผู้นั้นกล่าวติดๆ กันว่า “ไม่กล้าเจ้าค่ะ” แล้วคอยรับใช้อยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง
หลังจากรับมื้อเย็นอย่างเงียบๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็นั่งสนทนากันที่ใต้ต้นกุ้ยฮวา
เฉิงฉือกล่าว “ถนนฟู่หยวนคือสถานที่ที่ครึกครื้นที่สุดของหนิงโป ไม่ว่าสินค้าอะไรก็ตามที่บรรทุกกลับมาจากต่างแดนล้วนนำมาค้าขายแลกเปลี่ยนที่นั่น พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปเดินถนนฟู่หยวนเป็นเพื่อนท่าน ตอนเที่ยงไปกินข้าวที่หอฟู่หยวน ถ้าหากตอนบ่ายท่านยังไม่เหนื่อย พวกเราค่อยไปเดินเล่นที่ถนนฟู่หยวนต่อ แต่ถ้าท่านเหนื่อยแล้ว ก็กลับมาพักผ่อน ตอนกลางคืนให้คุณหนูรองกินอาหารทะเลเป็นเพื่อนท่าน ข้าจะไปเลี้ยงรับรองหลงจู๊และเสมียนของร้านตั๋วแลกเงินที่หอฟู่หยวน นานๆ ทีกว่าพวกเขาจะได้พบข้าสักครั้งหนึ่ง ในเมื่อข้ามาแล้ว จึงเลี่ยงไม่ได้จะต้องสร้างขวัญและกำลังใจให้พวกเขาสักหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องพวกนี้ข้าเข้าใจดี เจ้าอย่าลืมว่า แม่ของเจ้าก็เคยดูแลกิจการของตระกูลเฉิงมาก่อน เจ้ามีธุระก็ไปจัดการเถิด ข้ามีเสาจิ่นอยู่เป็นเพื่อน เจ้าไม่ต้องห่วง”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านน้าฉือ ฮูหยินผู้เฒ่าเก่งกาจยิ่งนัก เมื่อเช้ายังแนะนำข้าอยู่เลยว่าของอะไรที่ซื้อได้และของอะไรที่ไม่ควรซื้อบ้างเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็หัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ข้ายังเด็กก็เคยติดตามท่านพ่อของข้าออกไปท่องเที่ยว ได้พบเห็นประสบการณ์มาไม่น้อย! มีครั้งหนึ่งที่ซื่อชวน ท่านพ่อของข้ายืนกรานจะไปดูบ้านหลังเก่าของซูซื่อที่เหมยโจวให้ได้ ปรากฏว่าระหว่างทางพวกข้าเข้าไปในร้านของโจรร้านหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะข้าเห็นคนในละแวกนั้นล้วนแสดงสีหน้าหวาดกลัวเวลาเดินผ่านหน้าร้านของพวกเขาและรีบเดินหนีไปแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงถูกร้านนั้นหลอกเสียแล้ว…”
เวลาฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถึงเรื่องในวัยเด็กขึ้นมาก็คุยเก่งขึ้นมาก
เฉิงฉือมองสีหน้าปีติยินดีของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว พลันรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าการพาโจวเสาจิ่นมาด้วยเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ถึงแม้เด็กคนนี้จะไม่ค่อยฉลาดนัก แต่กลับรู้ว่าควรจะหลอกล่อผู้คนอย่างไร ตลอดการการเดินทางไม่ว่าเรื่องอะไร นางก็มักจะหลอกล่อให้มารดาพูดคุยออกมาได้ ทำให้มารดาเล่าเรื่องอย่างมีความสุข ถึงแม้จะมีเพียงข้อนี้ แต่ก็ถือว่าเก่งกว่าคนอื่นมากแล้ว!
กระทั่งสาวใช้รินน้ำชาจอกที่สาม เฉิงฉือเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว จึงส่งสัญญาณบอกมารดาว่าควรพักผ่อนได้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้จบบทสนทนา ต่างคนต่างกลับห้องของตัวเองไป
โจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวพักอยู่ที่ห้องหลัก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ทางด้านตะวักออก ส่วนนางอยู่ทางด้านตะวันตก
พอเข้าประตูไป ชุนหว่านก็แอบหยิบถุงเงินส่งให้โจวเสาจิ่นดูถุงหนึ่ง “คุณหนูรอง หลงจู๊หวังผู้นั้นให้มาเจ้าค่ะ มีทั้งหมดห้าเหลี่ยง! ส่วนพวกปี้เถา ได้คนละสองเหลี่ยงเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกประหลาดใจ กล่าวขึ้นว่า “ให้แต่เงินหรือ ได้กล่าวอะไรหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” ชุนหว่านกล่าว “ทางด้านโน้นของฮูหยินผู้เฒ่า พี่สาวปี้อวี้และคนอื่นๆ ต่างก็ได้รับกันหมดทุกคนเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นช่วยคิดคำนวณให้หลงจู๊หวัง นี่ถือว่าใช้เงินไปเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
นางครุ่นคิดพิจารณาครู่หนึ่ง กล่าวกับชุนหว่านว่า “ต้องบอกเรื่องนี้ให้ท่านน้าฉือทราบ หลงจู๊หวังผู้นี้ลงทุนมากเกินไปแล้ว!”
ไม่อย่างนั้นชุนหว่านย่อมไม่รู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้ได้
ชุนหว่านพยักหน้า เดินไปยังห้องที่เฉิงฉือพักอยู่เป็นเพื่อนโจวเสาจิ่น
เฉิงฉือเพิ่งอาบน้ำสระผมเสร็จ จึงหยิบเสื้อคลุมที่อยู่ใกล้มือมาคลุม ภายใต้แสงตะเกียงเหลืองนวลนั้น เห็นได้ลางๆ ว่าเขามีรูปร่างดี ช่วงไหล่และหน้าอกกว้างผึ่งผาย
โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกตัวว่าตนมาในเวลาที่ไม่เหมาะสมเท่าไร รีบก้มหน้าลง แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังหนึ่งรอบ
เฉิงฉือคิดไม่ถึงว่าหวังเสี่ยวจะลงทุนมากถึงเพียงนี้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ถือว่าข้าทราบเรื่องแล้ว ในเมื่อเขาให้มาแล้ว ก็ไม่ดีหากจะคืนกลับไปให้เขา ข้าจะระวังเอาไว้”
ดูแล้วตนก็ไม่ได้มาเสียเที่ยวซะทีเดียว
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กลับถึงห้องแล้ว ก็หลับสนิทท่ามกลางกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุ้ยฮวา
ส่วนเฉิงฉือเปิดหน้าต่างออก มือไขว้หลังยืนชมจันทร์อยู่ข้างหน้าต่างเพียงลำพังครู่หนึ่ง
ไหวซานก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าเร่งรีบ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ตรวจสอบดูแล้วขอรับ ไม่เพียงทางฝั่งของคุณหนูรองเท่านั้น แม้แต่ทางฝั่งของฮูหยินผู้เฒ่าทางโน้น และทางด้านชิงเฟิงหลั่งเย่ว์ หลงจู๊หวังก็ส่งไปให้ทุกคน มากสุดคือสิบเหลี่ยง เป็นของแม่นางหนานผิงกับแม่นางจี๋อิ๋งสาวใช้ข้างกายของท่าน น้อยสุดคือหนึ่งเหลี่ยง เป็นของบ่าวหญิงสูงวัยสองคนของฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนพ่อบ้านฉินและคนอื่นๆ ส่งเพียงสุราท้องถิ่นไปให้สองขวดเท่านั้น เมื่อคำนวณดูแล้ว อย่างน้อยที่สุดเขาก็ใช้เงินไปเจ็ดถึงแปดสิบเหลี่ยง ส่วนเรื่องที่ว่าเงินจำนวนนี้เอาออกมาจากร้านตั๋วแลกเงินหรือของตัวเขาเองนั้น ต้องรออีกสองวันถึงจะตรวจสอบให้ชัดเจนได้ขอรับ”
เฉิงฉือไม่ได้กล่าวอะไร
เงินรางวัลก้อนใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับมีเพียงโจวเสาจิ่นคนเดียวที่รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล มีเพียงนางคนเดียวที่มาบอกเขา…
เขาโบกมือ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปพักผ่อนเถิด! นี่ก็ดึกแล้ว พรุ่งนี้พวกเรายังต้องไปเดินถนนฟู่หยวนเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูรองอีก”
ไหวซานคำนับ แล้วถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
เฉิงฉือยืนอยู่คนเดียวลำพักอีกครู่หนึ่ง ถึงได้ปิดหน้าต่างเข้ามาเบาๆ
***
วันต่อมา ท้องฟ้าครึ้มเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามเฉิงฉือ “ฝนจะตกหรือไม่”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “อากาศที่หนิงโปและเฉวียนโจวล้วนเป็นเช่นนี้ เดี๋ยวก็ลมเดี๋ยวก็ฝน เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ต่อให้ฝนตกก็ไม่ต้องกลัว ร้านค้าบนถนนฟู่หยวนอยู่ติดกันร้านต่อร้าน พวกเราค่อยๆ เดินไปทีละร้าน เดินอยู่ใต้ชายคา แม้แต่ร่มก็ไม่จำเป็นต้องกางขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองโจวเสาจิ่นที่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีเขียวน้ำทะเลไร้ลวดลาย ละมุนละไมดุจหลิวแตกหน่อใหม่แล้ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “อย่าให้ความงามของเสาจิ่นของพวกเราต้องสูญเปล่า”
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ
โจวเสาจิ่นใบหน้าร้อนฉ่า ร้องงึมงำเสียงหนึ่งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะอย่างมีความสุข กล่าวขึ้นว่า “เด็กสาวไม่แต่งตัว จะรอให้อายุเจ็ดสิบแปดสิบอย่างข้าเช่นนี้แล้วค่อยแต่งหรืออย่างไร ผู้อื่นยังคิดไปว่าได้เจอนางฟ้านางสวรรค์!”
สิ่งที่กล่าวออกมาทำให้คนที่รับใช้อยู่ในห้องต่างหัวเราะออกมา สตรีที่หลงจู๊หวังส่งมารับใช้ผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่ กล่าวยกยอขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวได้ไม่ผิดเลยสักนิดเจ้าค่ะ คุณหนูรองเหมือนกับคนที่อยู่ในภาพวาด ตอนที่ข้าได้เจอเมื่อวาน ตะลึงจนตาค้างไปหมด ยังสงสัยว่านี่ข้าได้พบกับนางฟ้าหรือรูปจำลองกันแน่ หากไม่ใช่เพราะท่าทางสง่างามของฮูหยินผู้เฒ่า ข้าก็คงก้าวออกไปลูบคุณหนูรองแล้วเจ้าค่ะ…”
นางไม่รู้สถานะที่แท้จริงของโจวเสาจิ่น ได้ยินคนจากตระกูลเฉิงต่างเรียกโจวเสาจิ่นว่า ‘คุณหนูรอง’ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาเขาผู่ถัวก็ยังพาคุณหนูรองผู้นี้ตามมาอยู่ข้างกายด้วย ต่อให้เป็นญาติที่มาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเรือนของผู้อื่น ก็ต้องเป็นญาติที่มีหน้ามีตาเวลาอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างแน่นอน นางเพียงต้องเอาอกเอาใจเข้าไว้ย่อมไม่ผิดพลาดแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา ดึงมือโจวเสาจิ่นเอาไว้ด้วยสีหน้าภูมิใจ
สตรีผู้นั้นจึงยิ่งรู้สึกว่าตนคาดเดาได้ไม่ผิด ท่าทีที่มีต่อโจวเสาจิ่นจึงนอบน้อมมากยิ่งขึ้น
เฉิงฉือกลับรู้สึกขบขันเล็กน้อย
นิสัยที่ชื่นชอบเด็กสาวหน้าตางดงามของมารดายังคงไม่เปลี่ยนมาตลอดชีวิต
ตอนนี้เฉิงเซิงไปอยู่จิงเฉิงแล้ว ก็มีโจวเสาจิ่นเพิ่มมาอีกคน มารดาจึงไม่โดดเดี่ยวและเหงามากจนเกินไป
เมื่อคิดเช่นนี้ พอถึงร้านเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดของถนนฟู่หยวน นอกจากซื้อเครื่องประดับศีรษะฝังไพลินขนาดเท่าไข่นกพิราบชุดหนึ่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว เฉิงฉือยังซื้อเครื่องประดับศีรษะฝังไข่มุกจากทางใต้ให้โจวเสาจิ่นชุดหนึ่งอีกด้วย
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนไม่สมควรได้รับ
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถือเสียว่าข้าให้เจ้าเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เจ้ารับไว้ก็พอ” จากนั้นชี้ที่ปิ่นปักผมลูกปัดแก้วด้ามเงินหลายชิ้นที่อยู่ข้างๆ แล้วกล่าวกับเสมียนของร้านเครื่องประดับว่า “ปิ่นปักผมเช่นนี้มีเท่าไร เจ้าเอาออกมาให้พวกข้าดูสักหน่อย” จากนั้นกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าตั้งใจเลือกดู เอากลับไปเป็นของฝากให้ป้าใหญ่และพี่สาวของเจ้า ถึงแม้ของพวกนี้จะไม่ได้มีค่ามาก แต่ก็หาได้ยากยิ่งนัก หากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าปิ่นปักผมเช่นนี้จะมีขายแค่ที่จิงเฉิง หนิงโป แล้วก็เฉวียนโจวเท่านั้น”
ถึงจะบอกว่าไม่ได้มีค่ามาก แต่แค่ปิ่นปักผมลูกปัดธรรมดาๆ หนึ่งชิ้นก็ต้องใช้เงินถึงแปดเหลี่ยง
โจวเสาจิ่นนำเงินออกมาด้วยสองร้อยเหลี่ยง
นางเข้าใจว่าเพียงพอแล้ว
แต่ตอนนี้ดูแล้ว หากตนได้ออกไปเดินที่เมืองหังโจวก็คงดีไม่น้อย
เห็นทีว่าคงต้องไปซื้อหวีสับที่หังโจว นอกจากนี้สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อไปถึงหังโจวคือซื้อหวีสับ
นางบีบถุงเงินของตนแล้วหันไปส่งสายตาให้ชุนหว่าน
ชุนหว่านรีบเดินเข้ามา
โจวเสาจิ่นกระซิบถามเสียงเบาว่า “วันนี้จี๋อิ๋งก็ไม่ออกไปไหนอีกแล้วหรือ”
ตั้งแต่ออกมาจากเมืองจินหลิง นางก็ไม่ค่อยได้เจอจี๋อิ๋งตอนกลางวันสักเท่าใดนัก
ชุนหว่านพยักหน้า กล่าวเสียงเบาว่า “เห็นบอกว่านอนหลับอยู่ที่บ้านเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นอดพึมพำไม่ได้ว่า “บอกว่าอยากออกมาเที่ยวเล่น พอได้ออกมากลับเอาแต่นอนอยู่ในบ้าน…”
ความจริงแล้วนางอยากจะขอยืมเงินจากจี๋อิ๋ง
ตอนนี้จี๋อิ๋งไม่อยู่ นางคงได้แต่ต้องเทียบราคาอย่างระมัดระวังระหว่างเลือกแบบเท่านั้น
เฉิงฉือมองท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของโจวเสาจิ่น ทว่าใบหน้าเล็กนั้นกลับดูเคร่งเครียดเล็กน้อย จ้องมองปิ่นปักผมลูกปัดทรงดอกไม้เหล่านั้นประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่ก็ไม่ปาน เปลี่ยนใจไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งตอนที่นางหยิบปิ่นปักผมลูกปัดสองชิ้นไปสอบถามราคากับเสมียนเขาถึงได้เข้าใจเรื่องราว
ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกน่าขบขันยิ่งนัก แต่บนใบหน้ากลับไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ยังคงเลือกเพชรเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่อไป
“คิดไม่ถึงว่าหนิงโปจะมีขายทุกอย่าง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “เพชรเม็ดใหญ่ขนาดนี้ ข้าเคยเห็นจากร้านหย่งฟู่เซิ่งที่จิงเฉิงเท่านั้น”
หลงจู๊ใหญ่ที่คอยรับรองอยู่ข้างๆ ยิ้มยิงฟันจนตาหยี กล่าวขึ้นอย่างนุ่มนวลว่า “บางครั้งร้านหย่งฟู่เซิ่งก็มารับสินค้าจากร้านของพวกข้า จึงกล่าวได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าช่างมีวาสนายิ่งนัก เพชรเหล่านี้พวกข้าเพิ่งได้รับมา ยังไม่ทันได้เอาออกไปตั้งวางเลยขอรับ…”
********************************************************
[1] ต้มสามโอชะ ใช้วัตถุดิบสดๆ สามอย่างเป็นวัตถุดิบหลักในปรุง เช่น กุ้ง ผัก เห็ดหอม ฯลฯ