ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 211 ค้างคืน
เฉิงฉือกับซ่งหมิ่นพูดคุยกันถูกคอ
ในห้องหลักของเรือนชั้นใน ฮูหยินซ่งกำลังถือแบบลายดอกไม้ที่โจวเสาจิ่นเพิ่งจะวาดให้นางเสร็จผืนหนึ่งพลางเอ่ยชมโจวเสาจิ่นอย่างกระตือรือร้นว่า “…ข้าเพียงเอ่ยปากพูดเท่านั้น ใครจะรู้ว่านางจะวาดออกมาได้ สมกับที่เป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ที่มีการศึกษาจริงๆ เฉลียวฉลาดยิ่งนักเจ้าค่ะ ตอนที่ข้าเป็นเด็กก็ชอบเรียนหนังสือยิ่งนัก ทุกๆ ครั้งเมื่อพวกพี่ชายไปสำนักศึกษาก็ต้องไปส่งพวกเขาที่ประตู พอพวกพี่ชายกลับมาข้าก็ห้ามใจไม่อยู่ต้องช่วยพวกเขาถือกระเป๋าหนังสือ ยามที่พวกพี่ชายทำการบ้านอยู่ใต้โคมไฟข้าก็ช่วยยกน้ำชาขึ้นโต๊ะและรินน้ำอยู่ข้างๆ โดยมุ่งหวังว่าเมื่อพวกพี่ชายมีเวลาว่างจะสอนตัวอักษรให้แก่ข้าสักตัวสองตัว ตอนนี้ข้าอ่านบัญชีได้ ก็เป็นเพราะในตอนนั้นได้แอบร่ำเรียนเรียนตัวอักษรหลายตัวกับพวกพี่ชาย เวลานั้นข้าสาบานเอาไว้ว่า หากวันใดที่ข้ามีบุตรสาว จะต้องให้นางได้ร่ำเรียนเขียนอ่าน ไม่ให้เหมือนกับข้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า พลางกล่าว “ธรรมเนียมปฏิบัติในแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน เด็กสาวส่วนใหญ่ในเมืองของพวกข้าล้วนอ่านออกเขียนได้ อย่างเสาจิ่นนี้ก็นับว่าธรรมดาสามัญทั่วไป”
ฮูหยินซ่งเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าท่านอย่าเกรงใจข้าเลยเจ้าค่ะ ข้าอาศัยอยู่ในเมืองหลวงพบเจอคุณหนูจากตระกูลขุนนางของเจียงหนานมาไม่น้อย แต่ไม่เคยพบเห็นผู้ใดที่มีคุณลักษณะ รูปร่างหน้าตา และความรู้เฉกเช่นคุณหนูรองผู้นี้เลยเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นทำทีว่าไม่ได้ยิน ขณะเดียวกันก็นั่งก้มศีรษะพลางหยิบผ้าไหมผืนหนึ่งแล้วถือโอกาสปักดอกซ่อนกลิ่นอยู่ตรงนั้นเสียเลย
ซ่งเซินนั่งอยู่หน้าโต๊ะกลมที่วางกับข้าวเอาไว้เต็มโต๊ะ โดยมีแม่นมคอยป้อนอาหารให้ ทว่าลูกตากลับกลอกไปมาไม่หยุด ลอบมองโจวเสาจิ่นเป็นพักๆ ทันทีที่บ่าวหญิงสูงวัยเข้ามาแจ้งว่า ท่านผู้เฒ่าซ่งตัดสินใจออกไปเดินเล่นกับเฉิงฉือ ให้พวกนางเข้านอนเร็วสักหน่อย ไม่ต้องรอพวกเขา บรรยากาศภายในห้องก็พลันเปลี่ยนไปในทันใด
“เวลานี้น่ะหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่นหัวคิ้ว ความกังวลฉายชัดทั่วใบหน้า “มีอะไรเร่งด่วนถึงเพียงนี้หรือ ถึงรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ก่อนไม่ได้”
บ่าวหญิงสูงวัยผู้นั้นก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เอ่ยว่า “นายท่านสี่ไปกับท่านผู้เฒ่าซ่งและคุณชายหวงเจ้าค่ะ พ่อบ้านฉินพาผู้คุ้มกันติดตามไปด้วยสองสามคน คาดว่าไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจเถิดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะวางใจได้อย่างไร
ฮูหยินซ่งกล่าวอย่างละอายใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า ต้องขอประทานโทษด้วยจริงๆ นายท่านผู้เฒ่าของพวกเรามักจะมีนิสัยเช่นนี้ จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาออกไปชมดาวกลางดึก ในช่วงที่งานยุ่งมากก็วิ่งไปเยี่ยมเยียนสหายที่เขาปาซานอย่างกะทันหัน ปรากฏว่าเจอพายุฝนห่าใหญ่เข้า โหมกระหน่ำทั่วทั้งภูเขา จนเกือบจะถูกคร่าชีวิตอยู่ที่นั่น ยังมีครั้งหนึ่ง เขานำเรือขนส่งผลไม้สดไปเจิ้นเจียง เขาทิ้งพ่อบ้านไว้ที่นั่นแล้วไปเมืองจี่หนานลำพัง จนสินค้าบนเรือเกือบจะเน่าเสียทั้งหมด ได้ยินว่าตอนที่แม่สามีของข้ายังมีชีวิตอยู่ก็มักจะโมโหพ่อสามีด้วยเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ภายหลังจากที่แม่สามีเสียชีวิต พ่อสามีของข้าไม่ยอมแต่งงานใหม่ เพียงเพราะไม่อยากให้มีคนมาคอยควบคุมเขา…” นางลุกขึ้นมาอย่างพรั่นกลัวเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “ไม่คาดคิดว่าเขาจะลากนายท่านสี่ออกไป…ขะ…ข้าจะให้คนไปตามหาเขาเจ้าค่ะ…”
นิสัยของท่านผู้เฒ่าซ่งพิลึกพิลั่นเล็กน้อยจริงๆ อย่างไรก็ตาม โจวเสาจิ่นเชื่อว่าเฉิงฉือไม่ใช่คนประเภทที่คิดหรือทำอะไรด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ได้ยินเสียงลมเป็นเสียงฝน ไม่ใช่ทุกเรื่องจะกระตุ้นให้คนอย่างเขาเกิดความสนใจขึ้นมาได้ ในเมื่อเขาตัดสินใจออกไปเดินเล่นกับท่านผู้เฒ่าซ่งแล้ว คงเป็นเพราะคิดว่ามีเรื่องจำเป็นต้องออกไปเดินด้วยกัน พวกนางไม่จำเป็นต้องร้อนใจถึงเพียงนี้
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเอ่ยโน้มน้าวฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านอย่าเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ ท่านน้าฉือเป็นผู้ที่กระทำทุกอย่างได้อย่างเหมาะสมเสมอมา บางทีพวกเขาคงดื่มสุรามากเกินไป แล้วอยากจะออกไปเดินเล่นที่แม่น้ำเฉียนถัง หรือไม่ก็เกิดแรงบันดาลใจแต่งบทกลอน อยากจะรำลึกอดีตในวันวานก็เป็นได้ หากว่าท่านเป็นห่วงจริงๆ ข้าจะเรียกบ่าวรับใช้ที่เรือนนอกเข้ามาสอบถามก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าเล็กน้อย พลางกล่าว “ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล น้าฉือของเจ้าก็ไม่ใช่เด็กแล้ว เรื่องของเขาเขาย่อมรู้ดีที่สุด ในเมื่อเขาให้บ่าวหญิงสูงวัยมาแจ้งพวกเราแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องเรียกบ่าวรับใช้ที่เรือนนอกมาซักถามแล้ว พรุ่งนี้เช้ายามที่พวกเขากลับมาเรื่องทุกเรื่องก็จะเป็นที่กระจ่างเอง!” แล้วเอ่ยปลอบฮูหยินซ่งอีกว่า “เจ้าไปพักผ่อนให้สบายใจเถิด ชายสี่พาพ่อบ้านกับผู้คุ้มกันติดตามไปด้วย ทักษะความสามารถของผู้คุ้มกันของพวกข้าล้วนไม่ธรรมดา เวลาที่ชายสี่ไปค้าขายอยู่ข้างนอก ล้วนเป็นผู้คุ้มกันเหล่านี้ที่ปกป้องเขาให้ปลอดภัย เกือบจะสิบปีแล้วที่ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลักๆ ที่ฮูหยินซ่งรู้สึกเป็นกังวลคือกลัวว่าเฉิงฉือจะถูกพ่อสามีของตนยุยง พอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นกล่าวเช่นนี้แล้ว ก็อดพรูลมหายใจยาวๆ ออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้
ทว่าซ่งเซินกลับมุดเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของมารดาราวกับเด็กน้อยแสนซน พลางร้องเสียงดังว่า “ท่านน้าไม่นอนเป็นเพื่อนข้า ข้ากลัวขอรับ!”
ฮูหยินซ่งหน้าแดงเทือก ดุขึ้นว่า “เจ้าอายุเท่ากันแล้ว! รีบลุกขึ้นมา! จะให้ท่านน้าของเจ้านอนเป็นเพื่อนเจ้าทุกวันได้อย่างไร หากว่าบิดาของเจ้ามาเห็นเข้าล่ะก็ จะต้องลงโทษเจ้าเป็นแน่”
ซ่งเซินบิดตัวไปมาอยู่ในอ้อมอกของฮูหยินซ่งประหนึ่งขนมแป้งทอดทรงเกลียว ไม่ยอมไปนอนคนเดียว
ฮูหยินซ่งไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่ยอมประนีประนอม เกลี้ยกล่อมเขาว่า “หากวันนี้เจ้ายอมเชื่อฟัง ข้าจะรับฟังคำขอร้องของเจ้าอย่างหนึ่ง แม้แต่เรื่องที่ไปเที่ยวลานน้ำแข็งที่ทะเลสาบสือซาไห่ก็ขอได้!”
ซ่งเซินได้ยินแล้วนัยน์ตาก็วูบไหวเป็นประกาย กระโดดออกจากอ้อมอกของมารดาแล้วยืนขึ้นในทันที เอ่ยถามว่า “จริงหรือขอรับ”
“แน่นอน” ฮูหยินซ่งรับปาก
“เช่นนั้นก็ดี” ซ่งเซินชี้ไปที่โจวเสาจิ่น “ข้าอยากนอนกับพี่สาวท่านนี้ขอรับ”
ผู้คนภายในห้องต่างตะลึงงัน
ฮูหยินซ่งยิ่งแล้วใหญ่ดวงหน้าแดงเทือกจนเกือบม่วง กล่าวว่า “เจ้ากล่าวไร้สาระอะไร นั่นเป็นพี่สาวโจวของเจ้า ไม่ใช่ข้ารับใช้ของเจ้า เจ้าจะให้พี่สาวโจวของเจ้ามานอนเป็นเพื่อนเจ้าได้อย่างไร เมื่อพวกเรากลับจิงเฉิงแล้ว แม่จะพาเจ้าไปลานน้ำแข็งที่ทะเลสาบสือซาไห่ก็แล้วกัน!”
ซ่งเซินไม่ยอม ร้องตีโพยตีพายจะนอนกับโจวเสาจิ่นเอาให้ได้
ความไม่พอใจสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
โจวเสาจิ่นเกิดมาเป็นคนสองชาติภพ เด็กที่พบเจอล้วนเป็นเด็กน่ารักและมีไหวพริบ รู้ความและเชื่อฟัง ยังไม่เคยเจอเด็กที่ดื้อดึงไม่มีเหตุผลเช่นนี้เลยสักคน นางอึ้งไปจนไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบไปชั่วขณะหนึ่ง พอนางได้สติกลับมา ซ่งเซินก็นั่งร้องไห้โฮใหญ่โตเสียแล้ว
ฮูหยินซ่งทั้งอับอายทั้งโกรธขึ้ง รีบอธิบายให้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นว่า “ปกติเขาไม่เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน” แล้วขู่ซ่งเซินอีกว่า “หากว่าเจ้าทำตัวงอแงเช่นนี้อีก กลับไปแล้วข้าจะฟ้องบิดาของเจ้า หากวันหน้าเจ้าทำให้บิดาของเจ้าโกรธขึ้นมา ยามที่บิดาของเจ้าอยากจะลงโทษสั่งสอนเจ้าแม่ก็จะไม่ช่วยอ้อนวอนบิดาของเจ้าแทนเจ้าอีก…”
ซ่งเซินยังคงร้องไห้ไม่หยุด
โจวเสาจิ่นอึดอัดใจยิ่งนัก รู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวเอง หากว่าตนไม่ออกหน้ามาจัดการ มีแต่จะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้เป็นนายรู้สึกลำบากใจเท่านั้น
นางลังเลพร้อมกับก้าวออกมาสองสามก้าว ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากสัญญาให้ซ่งเซินมานอนกับนางได้นั้น ใครจะรู้ว่านางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวเรียก “เสาจิ่น” ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเอาไว้เสียก่อน ทำเอานางตกใจจนกลืนถ้อยคำที่ติดค้างอยู่ที่ริมฝีปากนั้นลงไป
จู่ๆ ซ่งเซินก็สลัดตัวหลุดจากอ้อมแขนมารดา แล้ววิ่งไปกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ ร้องสะอึกสะอื้นว่า “พี่สาว พี่สาวคนสวย ข้าอยากจะนอนกับท่าน ข้าจะเชื่อฟังท่านอย่างแน่นอน จะเป็นเด็กดีไม่ส่งเสียงดังรบกวนท่านขอรับ…”
“เจ้าเด็กคนนี้!” ฮูหยินซ่งมีสีหน้าย่ำแย่ อยากจะฉุดตัวบุตรชายออกมาจากโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นรู้สึกเก้อกระดาก พอนึกถึงน้ำเสียงและสายตาที่ไม่พอใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเมื่อครู่แล้ว ก็รู้สึกทุกข์ใจเหลือแสน ได้แต่เอ่ยปลอบซ่งเซินอย่างอ่อนโยนว่า “ในเมื่อเจ้าบอกว่าจะเชื่อฟังข้า เช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นมาดีๆ แล้วหยุดร้องไห้เสีย”
ซ่งเซินถือโอกาสขอร้องนางเรื่องหนึ่ง “เช่นนั้นท่านต้องสัญญาว่าจะนอนกับข้านะขอรับ”
โจวเสาจิ่นไม่กล้ารับปาก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางลุกขึ้นมา กล่าวกับฮูหยินซ่งว่า “เซินเกอเอ๋อร์ชอบหลานรองของพวกข้า นับเป็นเกียรติของหลานรองจริงๆ เพียงแต่หลานารองอายุไม่น้อยแล้ว ถึงวัยที่ต้องเว้นระยะห่างระหว่างชายหญิงมานานแล้ว เพราะว่านายท่านของพวกเจ้ากับนายท่านใหญ่ของพวกข้าเป็นขุนนางร่วมราชสำนัก อีกทั้งชายสี่ของพวกเรากับท่านผู้เฒ่าซ่งเพียงพบหน้ากันครั้งแรกก็ถูกคอกันประหนึ่งเป็นสหายเก่า พวกข้าจึงไม่เคร่งครัดอะไรนัก ถือเสียว่าเป็นมิตรสหายที่คบกันมานาน หากเป็นเรื่องอื่นก็ยอมให้ได้ แต่เรื่องที่เซินเกอเอ๋อร์อยากจะนอนกับเสาจิ่นคงไม่ดีนัก”
“ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ กล่าวถูกแล้ว” ฮูหยินซ่งไม่มีหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่ากัวแม้แต่น้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มร่า พลางกล่าวกับซ่งเซินว่า “เซินเกอเอ๋อร์ เจ้าเป็นลูกหลานของผู้คงแก่เรียน ถ้อยคำของข้าเจ้าเข้าใจใช่หรือไม่”
นางกล่าวพลาง คลี่ยิ้มมองซ่งเซิน ทว่าสายตากลับเยือกเย็นดั่งน้ำและน้ำค้างแข็ง ราวกับแสงเย็นเยียบของใบมีดคมกล้าที่ส่องประกายไปทั่วทุกทิศ แทงทะลุหัวใจของผู้คนโดยตรง
โจวเสาจิ่นรู้สึกสั่นสะท้าน แล้วนึกถึงเฉิงฉือขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
พวกเขาสองแม่ลูก ช่างเหมือนกันยิ่งนัก!
นางหลุบตาลงอย่างอดไม่ได้ แล้วพบว่าซ่งเซินที่กอดนางอยู่นั้นตัวเกร็งเล็กน้อย ดวงหน้าน้อยๆ นั้นแต้มความหวาดผวาเล็กน้อยเอาไว้
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเก่งกาจยิ่งนัก เพียงเผยสายตาเย็นเยียบเช่นนั้นออกมาก็สะกดซ่งเซินเอาไว้ได้แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวใช้วิธีตบซ่งเซินทีหนึ่ง จากนั้นก็มอบพุทราหวานให้เขาลูกหนึ่ง[1] กล่าวขึ้นว่า “เจ้าชอบพี่สาวโจวมากใช่หรือไม่”
ซ่งเซินพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ได้ พี่สาวโจวของเจ้าต้องคอยรับใช้ข้าทุกคืน เจ้ามานอนด้วยกันกับพวกข้าก็แล้วกัน!” กล่าวจบ นางก็กล่าวกับฮูหยินซ่งว่า “ข้าเห็นว่าเด็กคนนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก หากว่าเจ้าไม่ว่าอะไร วันนี้ข้าจะช่วยเจ้าดูแลเขาสักคืน เจ้าได้ถือโอกาสนอนพักดีๆ สักคืน”
“จะทำเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ!” ฮูหยินซ่งโบกมือรัวๆ
ใครจะรู้ว่าซ่งเซินกลับร้องเสียงดังว่า “ท่านแม่ ข้าจะนอนกับฮูหยินผู้เฒ่าและพี่สาวขอรับ”
ฮูหยินซ่งก้าวออกไปดึงตัวซ่งเซินด้วยสีหน้าดำดิ่ง ซ่งเซินหลบไปอยู่ข้างหลังโจวเสาจิ่นอย่างว่องไว
โจวเสาจิ่นหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าน้อยๆ
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินซ่ง ท่านให้เขานอนกับพวกเราเถอะเจ้าค่ะ! ก่อนหน้านี้ข้ากลัวจะรบกวนฮูหยินผู้เฒ่า เลยไม่กล้ารับปากท่าน”
ซ่งเซินอยากจะนอนกับโจวเสาจิ่นให้ได้อย่างจะเป็นจะตาย ฮูหยินซ่งจึงรู้สึกหมดหนทาง ได้แต่พยักหน้าตกลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวบอกให้คนของตระกูลจงยกตั่งหลัวฮั่นมาวางเอาไว้ในห้องของนาง แล้วหาฟูกมาปูทับไว้
ฮูหยินซ่งกับแม่นมของซ่งเซินพาซ่งเซินไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า
ภายในห้องจึงเหลือแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงอย่างละอายใจ กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า…”
“เด็กโง่ เป็นความผิดของเจ้าที่ใดกัน” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้มพลางตัดบทคำพูดของนาง “หากจะกล่าวถึงความผิด เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะฮูหยินซ่งสั่งสอนบุตรไม่ได้เรื่อง เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด!”
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมา มองสำรวจฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างละเอียด
นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแต้มรอยยิ้ม สีหน้าดูผ่อนคลาย
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้กล่าวโทษนางจริงๆ!
โจวเสาจิ่นขอบตาแดงเรื่อ
ในอดีตเมื่อเกิดเรื่องขึ้น ทุกคนจะต้องกล่าวโทษนาง คิดว่าเป็นความผิดของนาง…
“เอาล่ะ อย่าร้องอีกเลยๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้วก็โอบไหล่ของนางเอาไว้อย่างนึกสงสาร กระซิบกล่าวว่า “เด็กดี ข้าอายุมากแล้ว สิ่งที่กลัวที่สุดคือการเห็นคนอื่นโศกเศร้าเสียใจ เรื่องนี้ข้ารู้ว่าทำให้เจ้ารู้สึกลำบากใจ แต่ฮูหยินซ่งเป็นแขกเดินทางมาไกล ข้าเอ่ยปฏิเสธพวกนางตรงๆ ก็ไม่ดีนัก เพื่อเห็นแก่ข้า เจ้าอดทนอีกสักหน่อย วันพรุ่งนี้พวกเราสองตระกูลก็ได้แยกย้ายจากกันแล้ว…”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ ทว่าน้ำตากลับยังคงไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
………………………………………………………………….
[1] ตบทีหนึ่ง แล้วก็มอบพุทราหวานให้ลูกหนึ่ง หมายถึง การตบหัวแล้วลูบหลัง