ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 212 ซ่งเซิน
ตกกลางคืน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นนอนบนเตียงเคลือบเงาภายในห้อง อีกฝั่งหนึ่งของฉากกั้นห้องเป็นตั่งหลัวฮั่นที่ซ่งเซินนอน
แม่นมของซ่งเซินนั่งกล่อมเขานอนอยู่หน้าตั่ง
ทว่าเขากลับพลิกตัวไปมาไม่ยอมหลับ แล้วเกาะฉากกั้นห้องมองเข้ามาข้างใน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่นหัวคิ้วมุ่น
โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ข้าจะไปหลอกล่อเขาก็แล้วกันเจ้าค่ะ ท่านรีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลจงจะเข้ามาคารวะยามเช้าท่านด้วยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนคิดมากมาตั้งแต่วัยสาว และนอนหลับยาก ขณะนี้ไหนเลยจะมีอารมณ์นอนแม้แต่น้อย กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เจ้าอย่าไปสนใจเขาเลย สนใจแต่เรื่องพักผ่อนของตัวเองเถิด หากเขาร้องไห้งอแงขึ้นมา ยังมีแม่นมของเขาคอยดูแลอยู่”
แม้ไม่ผิดที่กล่าวไปเช่นนี้ แต่หากซ่งเซินร้องไห้ขึ้นมาละก็ ผู้ที่นอนไม่หลับจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอง
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไปดูเดี๋ยวเดียวก็มาเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ยังดูค่อนข้างว่าง่าย เพิ่งจะมางอแงกะทันหันตอนที่รับประทานอาหาร ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเด็กที่ต้องหลอกล่อเกลี้ยกล่อมคนหนึ่ง หากเด็กคนนี้ยอมเชื่อฟังก็แล้วไป แต่หากไม่เชื่อฟัง ข้าก็จะไม่ตามใจเขาแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่เช่นนั้นก็เสียทีที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยายามปกป้องมิใช่หรือ
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่เห็นด้วย
ปี้อวี้ที่อยู่เวรตอนกลางคืนขยิบตาให้โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นทำทีว่าจะดื่มชาแล้วเดินไปหา
ปี้อวี้กระซิบเสียงเบาว่า “หากท่านหลอกล่อให้เด็กคนนั้นนอนได้ก็ลองหลอกล่อเขาเถิดเจ้าค่ะ! ฮูหยินผู้เฒ่านอนหลับยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
โจวเสาจิ่นเข้าใจ เมื่อดื่มน้ำชาเสร็จ ก็ห่มผ้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้เรียบร้อย แล้วยืนกรานว่าจะไปดูซ่งเซินสักหน่อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะห้ามปรามเอาไว้ก็ไม่ดีนัก จึงได้แต่ปล่อยนางไป
ซ่งเซินเห็นโจวเสาจิ่นเดินมา ก็ดีอกดีใจจนเกาหูกับแก้มแก้เขิน แล้วจับมือของโจวเสาจิ่นพลางกล่าวว่า “พี่สาว ท่านช่างงดงามยิ่งนัก! ท่านมีน้องสาวสักคนหรือไม่ ท่านให้น้องสาวของท่านตามกลับไปกับครอบครัวของข้าได้หรือไม่ ข้าจะดูแลนางให้เป็นอย่างดีเลยขอรับ!”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางลูบศีรษะของเขา ตอบว่า “ข้าไม่มีน้องสาว มีแค่พี่สาวคนเดียวเท่านั้น”
ซ่งเซินรู้สึกผิดหวังเหลือแสน เอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็มีพี่สาวหลายคน แต่ไม่มีพี่สาวคนใดที่งดงามไปกว่าพี่สาวโจวเลยขอรับ พรุ่งนี้ท่านจะกลับจินหลิงแล้วหรือ ข้ายังต้องตามท่านปู่ของข้าไปไห่หนิง พี่สาว ในภายภาคหน้าท่านจะไปจิงเฉิงบ้างหรือไม่ บ้านของข้าคือเรือนหลังที่ห้าจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกบนถนนซื่อเถียวใกล้ๆ กับประตูตี้อันเหมิน พี่สาว หากท่านได้ไปจิงเฉิง ก็ไปเยี่ยมเยียนข้าได้ หากท่านประสบปัญหาอะไร ก็มาหาข้าได้นะขอรับ”
โจวเสาจิ่นยิ้มร่าพลางตอบรับว่า “ได้” แล้วกล่าวว่า “เจ้ารีบนอนเถอะ! วันพรุ่งนี้เจ้ายังต้องเดินทางกลับเข้าไปในเมืองอีก!”
ซ่งเซินพยักหน้ารับคำอย่างเชื่อฟัง ดูน่ารักจิ้มลิ้มราวเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่แสดงท่าทางดื้อรั้นเสียกิริยาเหมือนเมื่อครู่แม้แต่น้อย
แม่นมของซ่งเซินกระซิบกล่าวว่า “ปกติคุณชายห้าเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย เขาคงชอบคุณหนูรองมากไปสักหน่อยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเพียงยกยิ้มแต่ไม่เอ่ยตอบคำใด
ภายในห้องเงียบสงบขึ้นมา
ตอนที่โจวเสาจิ่นนึกว่าซ่งเซินนอนหลับไปแล้วและเตรียมจะลุกออกไป ทว่าจู่ๆ ซ่งเซินก็ลืมตาโพลงขึ้นมาอีก แล้วเรียกโจวเสาจิ่นเอาไว้ “พี่สาว”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเอ่ยว่า “มีอะไรหรือ”
ซ่งเซินถามว่า “พี่สาว ท่านหมั้นหมายให้กับผู้ใดแล้วหรือยัง”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงระเรื่อ ตอบว่า “เด็กน้อย อย่าพูดจาเหลวไหล”
“ข้าไม่ได้พูดจาเหลวไหลนะขอรับ” ซ่งเซินมุ่ยปาก พลางเอ่ยแย้งอย่างไม่พอใจว่า “พี่ใหญ่ของข้าจะต้องสู่ขอสะใภ้แล้ว ท่านพ่อของข้าอยากให้พี่ใหญ่ของข้าแต่งงานกับหลานสาวจากตระกูลของท่านป้าที่เสียชีวิตแล้ว แต่พี่ชายของข้าไม่ยินยอม มาบอกท่านแม่ของข้า แต่ท่านแม่ของข้าไม่กล้ายกเรื่องนี้มาพูดกับท่านพ่อของข้า พี่สาวโจวขอรับ พี่ชายของข้าหน้าตาหล่อเหลายิ่ง ญาติผู้พี่คนที่สามของข้าอยากจะแต่งงานกับพี่ใหญ่ของข้าเหลือเกิน แต่ข้าไม่ชอบนาง นางชอบทำหน้าบูดบึ้งเวลาที่ไม่มีผู้ใดอยู่ด้วย ราวกับว่าคนอื่นติดเงินนางอยู่อย่างไรอย่างนั้น ข้าเล่าให้ท่านแม่ของข้าฟัง ท่านแม่ของข้าจึงไม่ยอมให้นางแต่งงานกับพี่ใหญ่ของข้า ท่านแต่งงานกับพี่ชายของข้าเถิดนะขอรับ! เช่นนี้ท่านจะได้กลับไปจิงเฉิงพร้อมกับข้า ท่านแม่ของข้าดียิ่ง ท่านแม่ของข้าไม่มีบุตรสาว นางกล่าวอยู่บ่อยๆ ว่าอยากจะให้กำเนิดน้องสาวคนหนึ่งแก่ข้า แต่ข้าไม่อยากได้น้องสาว ข้าอยากได้พี่สาวโจว…”
โจวเสาจิ่นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ตบเขาเบาๆ พลางกล่าว “เอาล่ะๆ เจ้ารีบนอนเถอะ! เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลัง”
ซ่งเซินคลานออกมาจากใต้ผ้าห่มอย่างไม่พอใจ ดวงหน้าน้อยๆ แสดงสีหน้าเคร่งเครียด พลางกล่าวว่า “พี่สาวโจว ตกลงท่านจะกลับจิงเฉิงกับข้าหรือไม่ขอรับ”
“ข้าไปจิงเฉิงกับเจ้าไม่ได้หรอก” โจวเสาจิ่นเห็นเด็กคนนี้เอาแต่คิดหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ จึงพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าเองก็มีพ่อแม่และครอบครัว เป็นธรรมดาที่ข้าก็อยากจะอยู่กับพวกเขา สำหรับเรื่องที่จะไปอาศัยอยู่ที่บ้านของพวกเจ้า ข้าโตที่จินหลิง คนในครอบครัวต่างอาศัยอยู่ที่จินหลิง ไม่คิดจะไปจิงเฉิงแต่อย่างใด ความปรารถนาดีของเจ้าข้ารับเอาไว้แล้ว”
ผู้ใหญ่มักจะคิดว่าเด็กยังเล็กอยู่ คิดว่าคำถามของเด็กมักจะไม่สลักสำคัญแต่อย่างใด หากไม่สนใจไยดีก็จะตอบกลับแบบส่งๆ น้อยคนนักที่จะพูดกับซ่งเซินประหนึ่งปฏิบัติต่อผู้ใหญ่ดังเช่นโจวเสาจิ่นกระทำอยู่นี้
ซ่งเซินได้ยินแล้วถึงแม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ก็คิดว่าถ้อยคำของนางมีเหตุผล เขาจะคะยั้นคะยอต่อไปก็คงไม่ดีนัก
“ไปไม่ได้จริงๆ หรือขอรับ” เขาเอ่ยถามอย่างไม่ลดละ
“ไปไม่ได้จริงๆ!” โจวเสาจิ่นตอบอย่างจริงจัง “เจ้าลองคิดดูแล้วกัน หากเป็นเพราะมีคนชอบพอเจ้า แล้วคิดว่าเพียงทำให้เจ้ากินอยู่อย่างอิ่มหนำสำราญ ก็จะพรากเจ้าไปจากมารดาของเจ้าได้ ทำให้นับจากนี้ไปเจ้าไม่ได้พบหน้าพ่อแม่พี่น้องของตัวเองอีก เพื่อกินอยู่อย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว เจ้าจะไปกับคนผู้นั้นอย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นอันขาด” ซ่งเซินตอบอย่างไม่ลังเล
“เจ้าเองก็ไม่ยอมไปเช่นเดียวกัน!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ต่อให้ครอบครัวของพวกเจ้าจะดีเช่นไร แต่ถ้าทำให้ข้าต้องอยู่ห่างไกลจากพ่อแม่และพี่สาวของข้า ข้าย่อมไม่รู้สึกดีเช่นกัน!”
ซ่งเซินไม่เอ่ยคำใด
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางห่มผ้าให้เขา “รีบนอนเถอะ! อย่าคิดอะไรเหลวไหลอีก ถ้าหากเจ้าคิดถึงข้า ก็ให้ท่านปู่ของเจ้าพาเจ้าไปเยี่ยมข้าที่จินหลิงได้!”
“ดีๆ!” ดวงหน้าของซ่งเซินจึงสดใสขึ้นมา ยื่นนิ้วออกไปหมายจะเกี่ยวก้อยสัญญากับโจวเสาจิ่น “…แม้ผ่านไปหนึ่งร้อยปีก็ห้ามบิดพลิ้วนะขอรับ”
“ได้!” โจวเสาจิ่นเกี่ยวก้อยกับซ่งเซิน
ซ่งเซินถึงได้นอนหลับอย่างหายกังวล
ด้านหลังฉากกั้นห้อง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินที่พวกเขากระซิบกระซาบคุยกัน อดยกยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจไม่ได้ พลิกตะแคงตัว แล้วยิ้มพลางผล็อยหลับไป
***
บุตรชายทำเรื่องขายหน้าต่อผู้อื่นเช่นนี้ ฮูหยินซ่งย่อมรู้สึกร้อนรนประหนึ่งเป็นขนมแป้งทอดก็ไม่ปาน นอนไม่หลับทั้งคืน ยามรุ่งสางของเช้าวันถัดมาก็ตื่นขึ้นมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินวนไปมาอยู่ในห้อง ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้อาทิตย์อุทัยย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดง นางจึงไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยขอบตาดำคล้ำทั้งสองข้าง
คนในห้องหลักต่างล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหูโจวสีเหลืองอ่อนของหวายปักไว้ด้วยลวดลายมงคลอยู่ดีมีสุขทั้งสี่ฤดูตัวหนึ่ง เส้นผมสีดอกเลาเกล้าขึ้นเป็นมวยเอาไว้ที่ท้ายทอยอย่างเรียบร้อย สีหน้าเปล่งปลั่ง กำลังรับประทานมื้อเช้าอยู่ ซ่งเซินสวมชุดจื๋อตัวสีแดงสว่างสดใสตัวหนึ่ง คาดไว้ด้วยผ้าคาดเอวสีเดียวกัน และห้อยถุงหอมสองสามถุง เขานั่งอยู่ข้างขวาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวบนตั่งทรงกระบอกกลมคล้ายกับผู้ใหญ่ร่างเล็กคนหนึ่ง โดยมีโจวเสาจิ่นคอยป้อนมื้อเช้าให้
พอเห็นมารดา เขาก็กลืนอาหารที่อยู่ในปาก แล้วกระโดดลงจากตั่งทรงกระบอกกลม ไปทำความเคารพมารดาอย่างนอบน้อม พลางเอ่ยทักทายยามเช้า
ฮูหยินซ่งรู้สึกสับสนงงงวยเหลือคณา
บุตรชายที่อยู่ในโอวาทเสมอมา อยู่ๆ ก็ร้องไห้ตีโพยตีพายเสมือนฝันร้าย อยากจะนอนกับโจวเสาจิ่นที่เพียงพบหน้ากันเป็นครั้งแรกให้ได้ นางรู้สึกกระวนกระวายตลอดทั้งคืน แต่ยามที่ได้พบหน้าบุตรชายอีกครั้ง บุตรชายราวกับถูกล้างคำสาปแล้วก็ไม่ปาน พลันกลับมาทำตัวเรียบร้อยเหมือนเดิมอีกครั้ง
ตกลงว่านางถูกผีเข้าสิงหรือว่าบุตรชายถูกอะไรบางอย่างสิงอยู่ในร่างกันแน่
นางอ้าปากค้าง กล่าวอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “เจ้า.. เจ้าดีแล้วหรือ” กล่าวจบ ดวงตาก็แดงก่ำ แล้วโผกอดบุตรชาย สะอื้นกล่าวว่า “เซินเกอร์เอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่ เมื่อวานเจ้าทำเอาแม่ตกใจกลัวยิ่งนัก…”
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรขอรับ” ซ่งเซินกล่าว พลางเผยความปิติยินดีเอ่อล้นออกมาทั้งยังประดับรอยยิ้มกริ่มหลายส่วน “พี่สาวโจวสัญญากับข้า หากว่านางไปจิงเฉิงจะมาเยี่ยมข้า ถ้าหากข้ามีเวลาว่าง ก็ติดตามท่านปู่ไปจินหลิงเพื่อเยี่ยมพี่สาวโจวได้ด้วยขอรับ”
ฮูหยินซ่งดวงหน้าแดงเถือก
แม้ถึงตอนนี้บุตรชายก็ยังรบกวนคุณหนูโจวและคนอื่นๆ อยู่
“ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูรอง” นางก้มหน้าอย่างกระดากอาย “เด็กเล็กยังไม่รู้ความ ขอให้ท่านทั้งสองอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า พลางกล่าว “เจ้าก็พูดเองอยู่ว่าว่าเป็นเด็กอยู่ พวกข้าจะคิดเล็กคิดน้อยกับเขาได้อย่างไร เจ้ารับประทานมื้อเช้าแล้วหรือยัง วันนี้ในครัวทำทังเปา[1] รสชาติไม่เลวทีเดียว เจ้ารับประทานสักหน่อยเถอะ!”
ยามนี้ฮูหยินซ่งถึงได้รู้สึกหิว กล่าวขอบคุณอย่างขัดเขิน แล้วนั่งรับประทานมื้อเช้ากับฮูหยินผู้เฒ่ากัว
รับประทานมื้อเช้าไปได้ไม่นาน เฉิงฉือกับซ่งหมิ่นและคนอื่นๆ ก็กลับมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบเร่งให้สื่อมามาไปสอบถาม
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับทำตัวผิดแปลกจากทุกทีโดยเรียกสื่อมามาเอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ประเดี๋ยวมามาช่วยถามนายท่านสี่กับท่านผู้เฒ่าซ่งว่ารับประทานมื้อเช้าแล้วหรือยัง หากว่ายังไม่ได้รับประทาน ก็รบกวนมามาช่วยไปแจ้งในครัวด้วยนะเจ้าคะ”
สื่อมามามองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า พลางกล่าว “หลานรองขบคิดได้อย่างรอบคอบ เจ้าอย่าลืมถามชายสี่กับท่านผู้เฒ่าซ่งก่อนว่ารับประทานมื้อเช้าแล้วหรือยังด้วย”
สื่อมามายิ้มพลางขานรับอย่างนอบน้อม แล้วออกไปที่เรือนชั้นนอก
ไม่นานนัก นางก็กลับมารายงานว่า “นายท่านสี่กับท่านผู้เฒ่าซ่งและคนอื่นๆ ต่างรับประทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ นายท่านสี่กล่าวว่า ตอนเช้าท่านผู้เฒ่าซ่งกับเขามีธุระต้องออกไปข้างนอกสักหน่อย หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้วท่านผู้เฒ่าซ่งจึงจะกลับเข้าเมือง ขอให้ท่านช่วยนั่งเป็นเพื่อนฮูหยินซ่งก่อนเจ้าค่ะ”
ก็หมายความว่า ซ่งเซินผู้นี้ยังต้องอยู่ในบ้านต่อไปอีกครึ่งค่อนวัน!
โจวเสาจิ่นกลัวว่าเด็กคนนี้จะมาติดตนแจ
นางเอ่ยถามว่า “ทราบหรือไม่ว่านายท่านสี่กับท่านผู้เฒ่าซ่งไปทำอันใด”
สื่อมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ได้จ้างเรือเอาไว้ บอกว่าอยากจะไปวัดน้ำอะไรบางอย่างที่ใจกลางแม่น้ำเฉียนถัง ต้องใช้เวลาครึ่งวันเจ้าค่ะ”
นี่ต้องเป็นความคิดของพ่อสามีตนเองเป็นแน่
ฮูหยินซ่งแทบอยากจะหายตัวไปตอนนี้เสียเลย
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง กล่าวว่า “อยู่ใกล้ๆ นี้เอง เช่นนั้นก็ดีแล้ว…” เดิมทีนางยังคิดจะไหว้วานสื่อมามาช่วยทำธุระให้ แต่พอนึกถึงการกระทำของตนเมื่อครู่ที่เร่งเร้าให้สื่อมามาไปถามเฉิงฉืออย่างเกินเลยไปบ้างแล้วนั้น จึงตัดสินใจให้ชุนหว่านไปทำธุระให้นางแทน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เห็นพ้องกับโจวเสาจิ่น
นางเชิญฮูหยินซ่งไปพบบรรดาสตรีของตระกูลจงพร้อมกับนาง
ฮูหยินซ่งไหนเลยจะกล้ารั้งอยู่ที่นี่ต่อไป นางรีบกล่าวว่า “เมื่อคืนข้านอนไม่หลับทั้งคืน ด้วยเกรงว่าเซินเกอเอ๋อร์จะรบกวนท่าน ข้าขอไม่ตามท่านไปเดินเล่นที่ลานบ้านดีกว่า ข้าจะพาเซินเกอเอ๋อรกลับไปพูดคุยกับเขาสักหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้รบเร้านาง ซ่งเซินเองก็ไม่ได้กระจองอแงเหมือนเมื่อวาน หลังจากคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นแล้ว ก็ตามฮูหยินซ่งกลับไปที่ห้องรับรองแขกของห้องปีกข้าง
ยามซื่อชู[2] คนของตระกูลจงก็มาถึงตามที่นัดหมายเอาไว้
โจวเสาจิ่นกระซิบบอกชุนหว่าน “เจ้าให้ในครัวต้มน้ำชาและทำของทานเล่นนำไปส่งให้ท่านน้าฉือกับท่านผู้เฒ่าซ่งสักหน่อย ข้าเห็นว่าท่านผู้เฒ่าซ่งเป็นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชา พวกเขาต้องอยู่บนเรือทั้งเช้า พวกเขาจะต้องดื่มน้ำชาด้วยกันแน่นอน”
ชุนหว่านไปที่ห้องครัว มีน้ำชากับของทานเล่นที่เตรียมเอาไว้สำหรับรับรองบรรดาสตรีของตระกูลจงอยู่พอดี ชุนหว่านจึงจัดขนมบางส่วนให้คนนำไปที่ริมแม่น้ำเฉียนถัง จากนั้นก็กลับไปบอกโจวเสาจิ่น
ฮูหยินผู้เฒ่าจงพาสตรีเจ็ดถึงแปดคนมาด้วย บางคนอายุราวสามสิบปี บางคนอายุราวยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าปี ยังมีคุณหนูสองท่านคนหนึ่งอายุสิบแปดปี อีกคนหนึ่งอายุสิบห้าปี นอกจากนี้แต่ละคนต่างก็ตระเตรียมของขวัญแรกพบที่ล้ำค่าเหลือคณามามอบให้นางด้วย เนื่องจากนางกำลังวุ่นอยู่กับการทำความรู้จักคนอื่นๆ พอได้ยินจากชุนหว่านแล้วก็เพียงหาจังหวะที่ว่างเว้นจากเรื่องที่ยุ่งอยู่แล้วตอบว่า “อืม” ไปคำเดียวเท่านั้น ไม่นานก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปเสีย
………………………………………………………………….
[1] ทังเปา คล้ายเสี่ยวหลงเปา โดยด้านในจะมีน้ำแกงอยู่ด้วยเล็กน้อยพร้อมกับไส้รสชาติต่าง ๆ
[2] ยามซื่อชู คือ เวลา 9.00 น.