ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 22 วันที่แปด
ตอนที่ 22 วันที่แปด
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่า พลางกล่าว “ในเมื่อทางจวนรองมีคนคอยดูแลแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะไม่สร้างความวุ่นวายเพิ่มในเรื่องนี้อีกก็แล้วกัน ถึงเวลาข้าจะพาลูกสะใภ้ หลานชาย และหลานสาวทุกคนไปด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะขึ้นมา แล้วก็ปรึกษาเรื่องการเดินทางในวันสรงน้ำพระพุทธเจ้ากับฮูหยินผู้เฒ่ากวน
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถหาข้ออ้างไม่ไปด้วยสักข้ออ้างหนึ่งได้หรือไม่
แต่ถ้าหากว่าหาข้ออ้างได้ข้อหนึ่งจริงๆ ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอาจจะคลางแคลงใจว่าจวนสี่จะเป็นเช่นจวนสามที่เหยียบเรือสองแคมหรือไม่
นางรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
ตระกูลเฉิงช่างซับซ้อนจริงๆ!
ต่อไปในภายภาคหน้าหากนางต้องแต่งงาน ต้องไม่แต่งเข้าไปในตระกูลที่เหมือนกับตระกูลเฉิงเช่นนี้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปนางจะเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าหากว่าอีกสักพักได้พบเจอกับหยวนซื่อแล้ว ตนเองต้องทักทายนางหรือไม่ หรือจะเพียงแค่ยิ้มแล้วยืนก้มศีรษะอยู่ด้านหลังของท่านยาย?
โจวเสาจิ่นฟังฮูหยินผู้เฒ่าทั้งสองท่านสนทนากันอย่างใจลอยอยู่ด้านข้าง จนกระทั่งสำรับเที่ยงถูกนำขึ้นโต๊ะแล้ว หยวนซื่อก็ไม่ได้ออกมา
หยวนซื่อผู้นั้นพูดต่อหน้าตนเองว่านางนั้นอายุสี่สิบกว่าปีแล้วก็ยังอยู่ปรนนิบัติแม่สามีอยู่ไม่ใช่หรือ
หรือว่าตอนนั้นนางโกหกตนเองอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้แค่นยิ้มอย่างฉุนเฉียว
เมื่อกลับมาถึงเรือนเจียซู่ ท่านยายยังบอกนางอีกหลายคำทำนองว่า ‘เชื่อฟัง’ และ ‘เด็กดี’ จากนั้นค่อยให้ซื่อเอ๋อร์ปรนนิบัติพาไปพักผ่อนในช่วงบ่าย
โจวเสาจิ่นกลับมาที่เรือนหว่านเซียงแล้ว เมื่อโจวชูจิ่นกลับมาก็อดไม่ได้อยากถามนางเกี่ยวกับเรื่องราวที่ไปที่เรือนหานปี้ซาน โจวเสาจิ่นตอบคำถามแล้วคำถามเล่า โจวเสาจิ่นก็หอบหายใจ “สาวรับใช้ล้วนได้รับการเลี้ยงดูราวกับคุณหนูก็ไม่ปาน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่างเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่เสียจริง” ทั้งยังเย้าแหย่ซือเซียงว่า “ต่อไปเจ้าต้องติดตามไปปรนนิบัติเสาจิ่นด้วย เจ้ากลัวหรือไม่”
“มีอะไรให้ข้าต้องกลัวด้วยเจ้าคะ” ซือเซียงเทชาเหมาเจียนลงไปแช่ในกาให้สองพี่น้องตระกูลโจว “ข้าไปปรนนิบัติคุณหนูรอง ไม่ใช่ไปประชันขันแข่งกับพี่สาวน้องสาวหลายคนที่อยู่ที่เรือนหานปี้ชานเสียหน่อย หากพวกนางดีข้าก็จะเรียนรู้จากพวกนาง แต่ถ้าพวกนางไม่ดี ข้าก็จะทำเป็นมองไม่เห็นเสียก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“เพ้ย!” โจวชูจิ่นหัวเราะพลางกล่าว “ไม่คิดมาก่อนว่าเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ก็มีเชาว์ปัญญาเช่นนี้”
ซือเซียงหัวเราะร่า
ทุกคนสนทนากันอีกสักครู่หนึ่งถึงแยกย้าย
วันต่อมา โจวชูจิ่นติดตามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไปเรียนรู้เรื่องการครองเรือนเหมือนเช่นเคย ส่วนโจวเสาจิ่นทำชุดให้พี่สาวอยู่ในเรือน
เป็นอย่างนี้อยู่หลายวันก็ถึงวันที่แปดเดือนสี่
ท้ายที่สุดแล้วนางก็หาข้ออ้างที่จะไม่ไปด้วยไม่ได้ ฟ้ายังไม่ทันสางก็ตื่นขึ้นตามพี่สาว หลังจากที่ล้างหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วก็ไปที่เรือนเจียซู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตื่นแล้ว โคมไฟทั่วทั้งเรือนหลักล้วนสว่างไสว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังตรวจตราน้ำชา ของว่าง และของใช้สำหรับออกเดินทางอยู่ในห้องโถง เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นสองพี่น้องเข้ามาจึงหาเวลากล่าวคำทักทายด้วย “รับมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง นายหญิงผู้เฒ่ากำลังรับมื้อเช้าอยู่ พวกเจ้าสองคนพี่น้องจะรับเพิ่มสักหน่อยหรือไม่”
“พวกข้าทานมาเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากที่สองพี่น้องทำความเคารพฮูหยินใหญ่เหมี่ยน และไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้ว โจวชูจิ่นไปที่ห้องโถง ช่วยฮูหยินใหญ่เหมี่ยนตรวจตราของใช้สำหรับออกเดินทางอย่างคล่องแคล่ว ส่วนโจวเสาจิ่นนั้นเห็นว่าตนเองไม่สามารถช่วยอะไรได้ จึงรั้งอยู่ในห้องกับซื่อเอ๋อร์และคนอื่นๆ เพื่อปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากวนหวีผม
เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่ากวนเลือกชุดเพ่ยจื่อสีน้ำเงินเข้มลายอู่ฝูเผิ่งโซ่วทรงกลมสำหรับไปไหว้พระ นางจึงเลือกผ้าคาดศีรษะสีฟ้าไพลินฝังหยกสีขาวเส้นหนึ่งและปิ่นปักผมทองฝังมรกตสมดังปรารถนาคู่หนึ่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมองแล้วก็กล่าวว่า ‘ดี’ จากนั้นให้สาวใช้ไปดูที่ประตูฝั่งตะวันตก ตามความหมายของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ทุกคนตกลงกันว่าจะมาเจอกันที่ประตูฝั่งตะวันตกในยามเหมา [1] จากนั้นค่อยไปวัดกันเฉวียนพร้อมกัน
สาวใช้วิ่งเหยาะๆ ตลอดทางไปที่ประตูฝั่งตะวันตก
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนใช้เวลานี้รีบเก็บข้าวของ
จนกระทั่งสาวใช้กลับมาแล้ว ทางฝั่งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็เก็บของเสร็จเรียบร้อยพอดี
“ยังไม่มีใครมาถึงเลยเจ้าค่ะ” สาวใช้หอบหายใจพลางกล่าว “แต่ว่าตอนที่ข้ากำลังกลับมานั้นเห็นเกี้ยวของจวนสามแล้วเจ้าค่ะ”
ก็กล่าวได้ว่า จวนสามคือผู้ที่มาถึงก่อนผู้อื่น
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะพลางกล่าว “พวกเราไม่ได้เป็นผู้ที่เช้าที่สุด และก็ไม่ได้สายที่สุด เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
เวลานี้ยังเหลืออีกสามเค่อ [2] กว่าจะถึงยามเหมา
ทุกคนต่างตอบว่า ‘เจ้าค่ะ’
โจวชูจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวนขึ้นเกี้ยว โจวเสาจิ่นครุ่นคิด จากนั้นจึงฝึกทำตามการกระทำของพี่สาวไปประคองฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนประหลาดใจยิ่ง ต่อมาก็แสดงความซาบซึ้งออกมาหลายส่วน รีบกล่าว “ไม่ต้องๆ ข้าขึ้นเองก็ได้แล้ว”
โจวชูจิ่นเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน แต่นางก็ยินดียิ่งที่น้องสาวได้รับความโปรดปรานจากผู้ใหญ่ ยิ้มพลางช่วยพูดแทนโจวเสาจิ่นว่า “ป้าใหญ่ท่านอย่าได้เกรงใจไปเลยเจ้าค่ะ นางเป็นเด็ก ปรนนิบัติท่านก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นหัวเราะพลางพยักหน้า แสดงออกมาอย่างจริงใจยิ่ง
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนหัวเราะพลางพยักหน้า เห็นได้ชัดว่านางนั้นดีใจยิ่งนัก
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นจึงติดตามเกี้ยวของฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเดินไปที่ประตูฝั่งตะวันตก
ปรากฏว่าจวนสามมาถึงเรียบร้อยแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ซื่อจวนสามสวมชุดเพ่ยจื่อสีฟ้าไพลินลายดอกสมดังปรารถนาทรงกลมตัวหนึ่ง ปักด้วยปิ่นปักผมทองฝังหยกขาวลายเมฆ กำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่โถงรับแขกข้างประตูฝั่งตะวันตก
แสงแรกแห่งรุ่งอรุณสาดส่องลงบนร่างของนาง แสงทองบนกำแพงสว่างจ้า เปล่งประกายแวววาวจนทำให้ดวงตาของผู้คนแทบจะลืมไม่ขึ้น
ทว่าสายตาของโจวเสาจิ่นกลับไปตกอยู่ที่ร่างของเฉิงเจียผู้ที่กำลังนั่งบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อย่างเบื่อหน่าย
เหมือนกันกับเด็กสาวที่อยู่ในความทรงจำของนาง นางมุ่ยปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ราวกับว่าช่วงเวลาแห่งการรอคอยนี้ได้ผลาญเอาความอดทนของนางไปจนหมดสิ้นแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ในใจของโจวเสาจิ่นรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อย
เฉิงเจียเป็นบุตรสาวที่รักยิ่งราวกับไข่มุกบนฝ่ามือของจวนสาม ไม่เคยได้รับความผิดอะไรเลยสักอย่าง แม้แต่เฉิงเซิงจากจวนหลักยังยอมลงให้นาง ในช่วงปีที่นางแต่งงานออกไปนั้น นางผ่านวันเวลาเหล่านั้นไปอย่างไรบ้างนะ?
ที่นางต้องอายุสั้นนั้น จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่
โจวเสาจิ่นนึกถึงจดหมายฉบับนั้นที่ชุ่ยหวนส่งให้ตนเองในชาติก่อน
เป็นเพียงประโยคสั้นๆ ว่า ‘เสาจิ่น โปรดอภัยให้ข้าด้วย’ ทว่าราวกับว่ามันได้แสดงถึงความเสียใจและความรู้สึกผิดของนางจนหมดแล้ว
ดวงตาของโจวเสาจิ่นชื้นขึ้นเล็กน้อย
ทันใดนั้นสาวน้อยในโถงรับแขกผู้นั้นก็หันศีรษะมา
นางมีดวงตาสดใสและฟันขาวสะอาด รูปร่างผิวพรรณนวลเนียนผ่องใส สวมชุดเพ่ยจื่อจือจินสีแดงสว่างสดใส ราวกับดวงอาทิตย์ที่กำลังสว่างช่วงโชติ ทั้งร้อนแรงและสว่างสุกใส
โจวเสาจิ่นช่วยไม่ได้กระซิบเสียงเบาขึ้นว่า “เฉิงเจีย!”
เฉิงเจียเชิดหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งว่า ‘เฮอะ’ แล้วก็หันศีรษะกลับไปด้วยอารมณ์บูดบึ้ง
เป็นเหตุการณ์ที่เหมือนกับหลายๆ ครั้งในสมัยก่อนตอนที่โจวเสาจิ่นทำให้นางไม่พอใจ
เป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย ในใจของโจวเสาจิ่นรู้สึกผ่อนคลาย คำปฏิญาณที่ว่า ‘จะรักษาระยะห่างกับเฉิงเจีย’ และ ‘ต่อไปจะปฏิสัมพันธ์กับเฉิงเจียให้น้อยลง’ นั้นถูกโยนทิ้งไป นางอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ราวกับรู้สึกได้ว่าโจวเสาจิ่นกำลังยิ้มอย่างไรอย่างนั้น เฉิงเจียจึงหันศีรษะกลับมา
จากนั้นก็จ้องตาไม่กระพริบไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
หากเป็นชาติก่อน โจวเสาจิ่นจะต้องมองข้ามสาเหตุแล้วมาขอโทษนางอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมทั้งถามนางว่าเหตุใดถึงได้โกรธเคืองเป็นแน่ แต่ว่าตอนนี้ อารมณ์ของโจวเสาจิ่นกลับนิ่งสงบ มองเฉิงเจียราวกับมองเด็กที่ไม่ประสาต่อโลกผู้หนึ่งเท่านั้น อดทนยอมลงให้ประหนึ่งตัวนางเองไม่ได้รับรู้ถึงมัน
นางเพียงยิ้มน้อยๆ ติดตามอยู่ด้านหลังของพวกผู้ใหญ่
ซุนซื่อ ฮูหยินใหญ่เวิ่นจวนห้าก็มาถึง
นางสวมชุดเพ่ยจื่อจือจินสีแดงส้มลายเฟิ่งเหว่ย [3] ทรงกลม สวมจี้ทองฝังด้วยมรกตกวนอิม ปักไว้ด้วยปิ่นปักผมลายขนนกสีเขียวมรกตดอกใหญ่ งานปักสีสดใจงดงามยิ่ง ขับเน้นให้ใบนางที่ลงแป้งเอาไว้ของนางยิ่งบางและซีดมากยิ่งขึ้น
นายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าของจวนห้าเสียชีวิตตามกันไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน เฉิงเวิ่นและซุนซื่อจึงเป็นผู้นำสูงสุดของจวนในตอนนี้
นางลงจากเกี้ยวโดยการประคองของสาวใช้ ยังไม่ทันจะได้ยืนนิ่งอย่างมั่นคงก็ลูบผมตรงขมับของตัวเองเบาๆ อย่างเหนื่อยอ่อนพลางกล่าวว่า “ปีนี้ก็ยังคงไปที่วัดกันเฉวียนหรือ ที่นั่นช่างวุ่นวายนัก โหวกเหวกเสียงดังจนคนไม่มีเวลาได้สงบนิ่งแม้สักชั่วยาม สงสัยว่าไม่สามารถเปลี่ยนสถานที่สำหรับไหว้พระได้เลยหรือ” กล่าวเสร็จ ก็ตะโกนเสียงดังเรียกสาวใช้ข้างกาย “เซียงเอ๋อร์ รีบนำน้ำดอกกุหลาบออกมา ข้าเวียนศีรษะ” จากนั้นก็พร่ำบ่นต่อว่า “ทำไมจวนรองยังไม่มาอีกหรือ พวกเราต้องรอพวกเขาทุกปีเช่นนี้หรือ หากรู้ก่อนล่วงหน้าว่าเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ควรจะนอนต่อให้นานอีกสักหน่อย!”
ตั้งแต่ที่นางรู้เรื่องของเฉิงเวิ่นที่ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอยู่ข้างนอกแล้ว ก็ไม่มีตอนไหนที่นางจะไม่พร่ำบ่น
คนจวนสี่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
สมัยที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จวนสามยังเป็นสาวนั้นเชื่อฟังแม่สามี หลังจากที่แม่สามีเสียชีวิตไปไม่กี่วันก็ถูกเจียงซื่อ ลูกสะใภ้ผู้มีสินสอดมากมายและมีความสามารถยึดอำนาจ พวกนางแม่สามีและสะใภ้ทะเลาะกันหลายครั้ง ทุกคนต่างคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั้นพ่ายแพ้อย่างยับเยินแล้ว ยังดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั้นเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง นางยอมกัดฟันและปล่อยวาง ให้เจียงซื่อเป็นผู้ดูแลเรื่องภายในทั้งหมดของจวนสาม และไม่ใส่ใจกับเรื่องหยุมหยิมภายในจวนอีก เก็บตัวใช้ชีวิตหญิงหม้ายอันแสนธรรมดาของตัวเองอยู่ในเรือนซือหย่ง
นางได้ยินแล้วเพียงหรี่ตายิ้ม ท่าทีที่สบายๆ และไม่มีนัยแฝงนั้นราวกับพระศรีอริยเมตไตรยที่น่าเคารพก็ไม่ปาน
ทว่าเฉิงเจียกลับเลิกคิ้วขึ้น และมุมปากก็กระแทกหายใจเข้าฮึดฮัด
โจวเสาจิ่นสามารถเดาได้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
ชาติก่อนเฉิงเจียเคยแอบดูถูกฮูหยินใหญ่เวิ่นหลายต่อหลายครั้งว่า “ก็ไม่ดูตัวเองบ้างว่าตนเองนั้นมีพื้นเพมาจากอะไร อันนี้ก็ไม่ถูกตา อันนั้นก็ไม่ต้องใจ ถ้าหากว่านางเป็นหญิงสาวที่มาจากตระกูลชั้นสูงแล้วล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่น้ำที่ตระกูลเฉิง นางดื่มแล้วก็อาจจะระคายเคืองคอของนางได้”
บิดาของฮูหยินใหญ่เวิ่นนั้นเคยดำรงตำแหน่งรองนายอำเภอสมัยหนึ่งก็เสียชีวิตในหน้าที่ไปแล้ว ได้ยินมาว่าตอนที่นางแต่งงานออกเรือนนั้น ตระกูลฝั่งเจ้าสาวทำทุกวิถีทางแล้วก็ทำได้เพียงรวบรวมสินสอดยี่สิบสี่**บได้เท่านั้น เป็นฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเฉิงจวนห้าลอบส่งเงินไปให้นางสองพันเหลี่ยงเพื่อเป็นเงินติดตัวเจ้าสาว นางถึงสามารถแต่งเข้ามาที่ตระกูลเฉิงได้อย่างสมเกียรติ
ในกาลก่อนโจวเสาจิ่นเองก็มองฮูหยินใหญ่เวิ่นแบบนี้เช่นเดียวกัน แต่จากประสบการณ์ทั้งสองชาติทำให้นางกลับมาคิดและมองฮูหยินใหญ่เวิ่นใหม่อีกครั้ง กลับรู้สึกว่าฮูหยินใหญ่เวิ่นนั้นช่างน่าเห็นใจ ถ้าหากว่าเฉิงเวิ่นกับนางสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างปกติสุขได้ นางจะกลายมาเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไร
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังครุ่นคิดนั้น คนจากจวนหลักก็มาถึง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวมชุดเพ่ยจื่อสีกรมท่าลายนกกระเรียนสีเงินทรงกลมชุดหนึ่ง เส้นผมสีดำมัดขึ้นเป็นมวยอย่างเรียบร้อยมวยหนึ่ง คาดศีรษะด้วยผ้าคาดสีกรมท่า บนผ้าคาดนั้นฝังไว้ด้วยหินปะการังสีแดงขนาดเท่าไข่นกพิราบหนึ่งชิ้น
นางเดินเข้ามาอย่างไม่เร็วและไม่ช้า หลังที่ยืดสูงและตรงนั้นเสมือนกับต้นไป๋ฮว่าที่อยู่บนที่สูงของทางเหนือ กรามล่างเชิดขึ้นเล็กน้อย ดูสูงสง่าราวกับมองลงมาจากสรวงสวรรค์
ผู้คนในโถงรับแขกต่างรีบออกไปต้อนรับ แม้แต่ฮูหยินใหญ่เวิ่นจวนห้า ก็เก็บสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจเอาไว้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหลือบตามองทุกคนในนั้นครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้น “คนมากันครบแล้วหรือยัง” ไม่รอให้คนตอบ ก็ถามปี้อวี้ที่อยู่ข้างกายนางว่า “ตอนนี้กี่ยามแล้ว”
เสียงของปี้อวี้อ่อนโยนและมั่นคง กล่าว “ยามเหมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เนื่องจากถึงเวลาแล้ว เช่นนั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเสียงเรียบ ยื่นมือที่ได้รับการดูแลอย่างดีจนขาวเนียนละเอียดไม่แพ้มือของหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานใหม่ออกมา
คนที่อยู่ข้างๆ ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้
แขนเสื้อสีกรมท่าลายเฟิ่งเหว่ยทรงกลม มือที่ผอมทว่าก็เรียวยาวและงดงาม เล็บมือสีชมพูภายใต้แสงแดดนั้นเปล่งประกายราวกับความมันวาวของไข่มุก
โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลง
นางไม่มีวันลืมมือคู่นี้ลงได้
ตอนที่ขยำผ้าเช็ดหน้าสีเขียวมรกตแล้วชี้มาที่นาง…ตอนที่ตบลงบนโต๊ะไม้จันทน์จนถ้วยน้ำชาบนโต๊ะเกิดเสียงเพล้ง…ตอนที่โบกอยู่ที่ใบหน้าและหูของนางจนเกิดเสียงหึ่ง…นั่นคือมือของหยวนซื่อ มารดาของเฉิงสวี่
นางไม่มีทางจำผิดแน่!
——
[1] ยามเหมา ตั้งแต่ 5 ถึง 7 นาฬิกายามเช้า
[2] เค่อ หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที
[3] เฟิ่งเหว่ย ไม้ประดับชนิดหนึ่ง ลักษณะใบคล้ายใบเฟิร์น