ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 231 ชี้แนะ
เฉิงฉืออดนวดขมับไม่ได้
ไม่ใช่ว่าตนควรจะใช้โอกาสนี้อบรมสั่งสอนเด็กคนนี้สักครั้ง ต่อไปให้นางประพฤติตัวดีๆ หรอกหรือ เหตุใดสุดท้ายกลับคล้อยตามคำพูดของเด็กคนนี้แล้วยังไปบอกนางอีกว่าควรจะตกรางวัลอย่างไรอีกด้วย
ส่วนโจวเสาจิ่นกลับรีบวิ่งหนีไปหาโจวชูจิ่นที่ห้องข้างอย่างรวดเร็ว
เวลาท่านน้าฉือโมโหขึ้นมาแล้วช่างน่ากลัวจริงๆ!
ไม่แปลกที่พวกจี๋อิ๋งต่างก็กลัวเขา ความจริงเป็นเพราะตนยังไม่เคยเจอตอนที่ท่านน้าฉือโมโหมาก่อนนี่เอง
ต่อไปหากท่านน้าฉือโมโหอีก ตนจะอยู่ให้ห่างจากเขาเอาไว้
โจวเสาจิ่นตบหน้าอกตัวเอง ปรับลมหายใจ แล้วค่อยยิ้มพลางเดินเข้าไปในห้องข้าง เล่าเรื่องที่คนจากร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่สาขาหังโจวนำดอกไม้มาส่งให้นางให้พี่สาวฟัง ยังเล่าด้วยว่า “ท่านน้าฉือเองก็ทราบเรื่องแล้ว ยังให้ข้าตกรางวัลให้ฮูหยินหวังเสมือนกับบ่าวทั่วๆ ไปด้วยเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นกล่าว “เช่นนี้ไม่ดีกระมัง อย่างไรก็ควรให้สองเท่าถึงจะถูก”
“มีอะไรไม่ดีเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “นี่เป็นสิ่งที่ท่านน้าฉือบอกมา อย่างไรเสียที่พวกเขาส่งดอกไม้มาให้ข้าก็เพื่อจะประจบประแจงท่านน้าฉือ ท่าทีของข้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญสำหรับพวกเขาอยู่แล้ว ข้าเพียงทำตามที่ท่านน้าฉือบอกก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
นางไม่กล้าเล่าเรื่องที่เฉิงฉือโมโหให้พี่สาวฟัง กลัวว่าพี่สาวจะว่ากล่าวตักเตือนนาง ต่อไปไม่ให้นางไปหาท่านน้าฉืออีก
โจวชูจิ่นไม่เคยเผชิญกับเรื่องเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นจึงตัดสินใจไม่ได้เช่นกัน กล่าวขึ้นว่า “อยากให้ข้าไปพบฮูหยินหวังผู้นั้นเป็นเพื่อนเจ้าหรือไม่”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าไปเองดีกว่าเจ้าค่ะ! หลักๆ แล้วฮูหยินหวังต้องการมาหยั่งเชิงดูท่าทีของท่านน้าฉือ จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าเมื่อนางเห็นท่านแล้วคิดจะใช้ประโยชน์จากท่าน ทำให้ท่านน้าฉือเข้าใจผิดว่าพวกเราแอบอ้างอำนาจของเขาไปข่มขู่ผู้คนดั่งสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างอำนาจของเสือเจ้าค่ะ”
ดูจากต้นดอกกุ้ยฮวาที่ปลูกใหม่ในลานบ้านที่สาขาหังโจวต้นนั้นก็รู้ได้แล้วว่าคนพวกนี้เจ้าเล่ห์เพียงใด
โจวชูจิ่นพยักหน้า
โจวเสาจิ่นกลับไปที่เรือนหว่านเซียง เปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่และเกล้าผมใหม่อีกครั้ง สื่อมามาพาฮูหยินหวังมาด้วยตัวเอง
ฮูหยินหวังเห็นโจวเสาจิ่นเพียงเกล้าผมดำเงางามของนางเป็นมวยง่ายๆ มวยหนึ่ง สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงกุหลาบและสีทองกลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่ง บนใบหูก็ติดตุ้มหูไข่มุกจากทางใต้ขนาดใหญ่เท่าเมล็ดบัวเอาไว้คู่หนึ่งเท่านั้น ดูเรียบง่ายสบายๆ ทว่าก็ไม่ขาดความสง่างาม ไม่ได้ประณีตละเอียดอ่อนและเคร่งขรึมเหมือนกับตอนอยู่บนเรือเลยแม้แต่นิดเดียว เสมือนกับว่าเวลานี้จะดูสบายๆ กว่าเล็กน้อย
บางทีอาจเป็นเพราะว่าที่นี่คือสถานที่ที่นางใช้ชีวิตมาตั้งแต่เด็กกระมัง!
ฮูหยินหวังคาดเดา ยอบกายคารวะโจวเสาจิ่นอย่างยิ้มแย้ม
สาวใช้นำน้ำชามาขึ้นโต๊ะ
โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพว่า “คงต้องรบกวนฮูหยินหวังช่วยกล่าวขอบคุณหลงจู๊ใหญ่ประจำสาขาของพวกท่านแทนข้าเสียแล้ว ของขวัญเล็กน้อยแต่น้ำใจคนยิ่งใหญ่ ของขวัญชิ้นนี้ราคาแพงยิ่งนัก ไม่ต้องกล่าวถึงอย่างอื่น แค่ระยะทางหลายพันหลี่นั้น น้ำใจนี้ข้ารับเอาไว้แล้ว”
หากไม่ใช่เพื่อให้เจ้ารับน้ำใจนี้ไว้ พวกเขาก็คงไม่จำเป็นต้องส่งดอกไม้จากเมืองหังโจวมาถึงที่นี่กระมัง ตอนนั้นก็แค่ส่งดอกไม้ตรงไปขึ้นเรือของนางก็เป็นอันเสร็จแล้ว
ฮูหยินหวังลอบค่อนแคะอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองสุภาพเกินไปแล้ว เดิมทีแล้วควรจะมอบดอกไม้ให้ท่านนำกลับมาด้วย แต่ใครจะรู้ว่าทางด้านอาจารย์เหมียวห้าจะเพาะเลี้ยงดอกซาฉากลีบสิบแปดชั้นออกมาได้อีกหนึ่งกระถาง และก็เพื่อรอดอกซาฉากลีบสิบแปดชั้นกระถางนี้ ถึงได้ต้องล่าช้าออกไป โชคดีที่อาจารย์เหมียวห้ามีความเชี่ยวชาญยิ่งนัก ระหว่างเดินทางมานี้ดอกไม้นั้นได้ออกดอกตูมแล้ว เพื่อรักษาให้ดอกซาฉากลีบสิบแปดชั้นกระถางนั้นสามารถเบ่งบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ท่านหลงจู๊ของพวกข้าก็เลยเชิญให้พี่ชายคนโตของอาจารย์เหมียวห้าร่วมทางมาด้วยเพื่อดูแลดอกไม้นี้ ประเดี๋ยวเกรงว่ายังต้องกำชับย้ำกับคนดูแลเรือนดอกไม้ของพวกท่านอีกสักหน่อยด้วยเจ้าค่ะ”
ทำจนได้ดอกซาฉากลีบสิบแปดชั้นมาด้วยอีกหนึ่งกระถาง!
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ในใจ รู้สึกนับถือหลงจู๊ใหญ่ของสาขาหังโจวไม่จบไม่สิ้น ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณฮูหยินหวัง สั่งให้สาวใช้เด็กไปเชิญพ่อบ้านประจำเรือนดอกไม้มา
ฮูหยินหวังจึงใช้โอกาสนี้กล่าวขึ้นว่า “ท่านหลงจู๊ของพวกข้าได้ยินว่าปีหน้าคุณชายใหญ่จะลงสนามสอบ จึงครุ่นคิดว่าควรจะสั่งจองดอกซาฉากลีบสิบแปดชั้นกับอาจารย์เหมียวห้าอีกสักสองสามกระถางดีหรือไม่ ถึงเวลานั้นคนที่มาสวัสดีปีใหม่เห็นแล้วก็จะได้ถือเป็นสิริมงคลอย่างหนึ่งด้วย!”
หลงจู๊ท่านนี้พิจารณาได้รอบคอบยิ่งนัก!
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้คงต้องถามท่านน้าฉือดูถึงจะถูก ในเมื่อนี่เป็นความตั้งใจของพวกท่าน”
ฮูหยินหวังได้ยินแล้วก็ยินดียิ่งนัก
พวกเขาทำไปมากมายขนาดนี้ ก็เพื่ออยากให้เฉิงฉือเกิดความประทับใจ แต่ที่พวกเขาตัดสินใจหาช่องโหว่ผ่านทางตัวโจวเสาจิ่นก็เป็นเพราะคิดว่าโจวเสาจิ่นอายุน้อย เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ย่อมต้องเชิญผู้ใหญ่มาช่วยตัดสินใจ เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็จะได้ลองหยั่งเชิงท่าทีของเฉิงฉือได้ จะได้รู้ว่าควรเดินหน้าหรือถอยหลัง อีกทั้งยังได้หาใครสักคนมาช่วยพูดแทนพวกเขาอีกด้วย
ฮูหยินหวังกล่าวขอบคุณโจวเสาจิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นเอ่ยถึงดอกไม้กระถางอื่นๆ ขึ้นมา “…ถึงแม้จะผ่านช่วงบานสะพรั่งของดอกเบญจมาศสีหมึกแล้ว ทว่าได้นำต้นกล้ามาด้วย รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแตกหน่อแล้ว ยังแบ่งออกมามอบให้ผู้อื่นได้อีกหลายกระถาง ส่วนดอกกล้วยไม้สีเขียวต้าอีผิ่นหนึ่งกระถางและดอกซานฉาหกแฉกสีแดงอีกหนึ่งกระถางนั้นล้วนชูช่อตูมพร้อมจะเบ่งบานแล้ว อีกทั้งคิดว่าใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว จึงนำดอกดารารัตน์สีต่างๆ และดอกกล้วยไม้มามอบให้ด้วยอีกบางส่วน รับรองว่าเรือนของคุณหนูรองจะเต็มไปด้วยสีสันสดใสของดอกไม้ สวยงามมากอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” กล่าวจบ นางเผยสีหน้าลังเลออกมา
นี่นางคงกำลังรอให้ตนกล่าวรับคำอยู่กระมัง
โจวเสาจิ่นแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ยิ้มพลางชวนนางดื่มน้ำชา “นี่เป็นชาอวี่ฮวาประจำท้องถิ่นของพวกข้า ท่านลองชิมดูว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
ฮูหยินหวังได้แต่จิบน้ำชาไปคำหนึ่ง และกล่าวชื่นชมไปว่าครึ่งค่อนวัน
ชุนหว่านเข้ามารายงานว่า “พี่ชายคนโตของอาจารย์เหมียวห้าได้แจ้งวิธีดูแลให้พ่อบ้านประจำเรือนดอกไม้ฟังเป็นที่เข้าใจเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พ่อบ้านประจำเรือนดอกไม้กำลังคอยกำกับให้พวกบ่าวชายย้ายดอกไม้กันอยู่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า กล่าวกับชุนหว่านอย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้าเองก็รู้จักฮูหยินหวังเช่นกัน ตอนนี้ข้ายังมีหน้าที่ที่ต้องไปทำที่ศาลาทิงอวี่ นานๆ ทีกว่านางจะได้มาครั้งหนึ่ง เช่นนั้นเจ้าพาฮูหยินหวังไปเดินเล่นในเมืองจินหลิงสักหน่อยก็แล้วกัน จะใช้รถม้าหรือเกี้ยว ก็สั่งการลงไปได้เลย”
ชุนหว่านยิ้มพลางก้าวออกไปยอบกายคารวะฮูหยินหวัง ขานรับเสียงนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินหวังร้อนรน จึงไม่สนใจอะไรอีกแล้ว รีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ในเมื่อพวกข้าก็มาแล้ว คงไม่ดีหากไม่ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าสักครั้งหนึ่ง และก็ยังมีดอกดารารัตน์และดอกกล้วยไม้อีกหลายกระถางที่ตั้งใจนำมามอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เหตุใดท่านถึงไม่รีบบอก! ท่านดูว่ากระถางไหนบ้างที่ต้องการมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าจะได้ให้บ่าวชายแยกออกมา แล้วประเดี๋ยวจะนำไปส่งให้”
ฮูหยินหวังจึงกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นทางด้านฮูหยินผู้เฒ่า…”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ กล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่ท่านได้เจอสื่อมามาแล้วหรอกหรือ ทำไมหรือ ท่านยังไม่ได้ไปหาฮูหยินผู้เฒ่าอีกหรือ”
“ได้ยินว่าฮูหยินของขุนนางใหญ่ซ่งมาเป็นแขกอยู่ในจวน ฉะนั้น…” ฮูหยินหวังหมายจะกล่าวทว่าก็หยุดไป
โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “ที่ผ่านมาเรื่องของทางฝั่งฮูหยินผู้เฒ่าล้วนเป็นสื่อมามาเป็นผู้ตัดสินใจ หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงช่วยตัดสินใจให้ท่านไม่ได้!”
ฮูหยินหวังมองโจวเสาจิ่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
โจวเสาจิ่นลอบทอดถอนใจ
ท่าทีของท่านน้าฉือและฮูหยินผู้เฒ่ากัวชัดเจนมากพออยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่านางไม่มีความสามารถพอจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ต่อให้นางมีความสามารถพอ ก็ไม่มีทางจะไปขัดขวางเจตนาของท่านน้าฉือและฮูหยินผู้เฒ่ากัว
นางจึงทำเพียงถามว่ามีกระถางไหนบ้างที่ต้องการส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเท่านั้น
ฮูหยินหวังไม่ปิดบังความผิดหวังของนาง
ปี้เถาเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน กระซิบกล่าวข้างหูโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูเจียมาเจ้าค่ะ!”
สำหรับเฉิงเจียแล้วเรือนหว่านเซียงก็เหมือนกับประตูสวนผัก นางอยากเข้าก็เข้า อยากออกก็ออก ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ต้องมาแจ้งแบบลับๆ เช่นนี้
โจวเสาจิ่นตระหนกตกใจเล็กน้อย ทว่าไม่เผยออกมาทางสีหน้า ย้ำกำชับกับชุนหว่านยิ้มๆ ว่า “ต้องเป็นเจ้าบ้านให้ดีที่สุด” แล้วไปที่ห้องหนังสือพร้อมกับปี้เถา
เฉิงเจียนั่งน้ำตาไหลอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแทนในห้องหนังสือเพียงลำพัง
เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นเข้ามา นางรีบลุกขึ้นมา กล่าวขึ้นอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าว่ามันน่าตลกหรือไม่! ข้าเฉิงเจียต่อให้ตกต่ำแค่ไหน ก็ไม่ถึงขั้นต้องไปเป็นภรรยาของพ่อค้าผู้หนึ่ง ญาติผู้พี่จากตระกูลหลี่หรือก็คือหลี่จิ้งผู้นั้น ถึงกับนำเงินสองหมื่นเหลี่ยงมาเป็นค่าสินสอด บอกว่าต้องการสู่ขอข้า…หรือว่าข้ามีค่าเพียงสองหมื่นเหลี่ยงเท่านั้นหรอกหรือ เขาดูถูกตระกูลเฉิงดูถูกซอยจิ่วหรูของพวกข้ามากเกินไปแล้ว! หรือว่าตระกูลเฉิงของพวกข้าจะขายบุตรสาวได้อย่างนั้นหรือ”
ได้สิ!
โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก
เพื่อเงินแล้วตระกูลเฉิงขายเจ้าได้จริงๆ!
นางเห็นปี้เถารีบถอยออกไปอย่างรู้ความ ยังช่วยปิดประตูห้องหนังสือให้พวกนางด้วยอย่างรอบคอบ จึงรินน้ำชาจอกหนึ่งยื่นให้เฉิงเจียด้วยตัวเอง
เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อนเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งแล้ว
เพียงแต่ว่าชาติก่อนหลี่จิ้งใช้เงินห้าหมื่นเหลี่ยง ในขณะที่ชาตินี้ใช้เงินเพียงสองหมื่นเหลี่ยง
ชาติก่อนเฉิงเจียไร้ซึ่งหนทางให้เดินแล้ว แต่ชาตินี้ตระกูลเฉิงยังไม่ถึงจุดที่ตระกูลเฉิงต้องยอมแพ้
แน่นอนว่าหลี่จิ้งย่อมกระทำไม่สำเร็จ
โจวเสาจิ่นถามนางว่า “จริงๆ แล้วเจ้าโกรธที่หลี่จิ้งใช้เงินสองหมื่นเหลี่ยงมาสู่ขอเจ้าหรือโกรธที่หลี่จิ้งต้องการสู่ขอเจ้ากันแน่”
เฉิงเจียไม่เข้าใจ ถามขึ้นว่า “นี่มีอะไรที่แตกต่างกันด้วยหรือ”
“ต่างกันอย่างแน่นอน!” โจวเสาจิ่นกล่าวเรียบๆ “หากเจ้าโกรธที่หลี่จิ้งใช้เงินเพียงสองหมื่นเหลี่ยงเป็นสินสอดมาสู่ขอ นั่นก็เท่ากับว่าเจ้าไม่ได้รังเกียจที่จะแต่งให้หลี่จิ้ง เพียงโกรธที่เขาไม่ให้เกียรติเจ้ามากพอ คิดใช้เงินมาบีบเค้นเจ้า แต่หากเจ้าโกรธที่หลี่จิ้งต้องการสู่ขอเจ้า นั่นก็เท่ากับว่าโดยมากแล้วเจ้ารังเกียจสถานะของหลี่จิ้ง ก็เลยไม่ยินดีแต่งให้เขา…”
เฉิงเจียจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
ถึงแม้โจวเสาจิ่นจะหวังให้หลี่จิ้งได้ปกป้องเฉิงเจียเหมือนกับชาติก่อน แต่ชาติก่อนเป็นเพราะเฉิงเจียถูกบังคับให้แต่งกับหลี่จิ้ง ในใจของนางคิดอย่างไรต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ดังนั้นชาตินี้ นางจึงไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ตามอำเภอใจได้
“ข้า…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เฉิงเจียที่กล้าหาญตรงไปตรงมามาโดยตลอดกลับดูผิดแผกไปจากปกติ ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ พึมพำกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าไม่อยากแต่งให้หลี่จิ้ง”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางถามอีกหนึ่งรอบ “เป็นเพราะหลี่จิ้งเป็นพ่อค้าอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เฉิงเจียกล่าว “หากบ้านของข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์กับจวนหลักและจวนรอง ก็คงจะถูกผู้คนดูถูกเหมือนกัน หากข้าแต่งให้หลี่จิ้งจริงๆ ก็จะกลายเป็นว่าข้าแต่งกับผู้ที่ต่ำกว่า คนในบ้านพวกเขาผู้ใดจะกล้าชักสีหน้าใส่ข้า แต่หากข้าแต่งกับบัณฑิตสักคนหนึ่ง ไม่แน่ว่ายิ่งมีสินสอดมากก็จะยิ่งทำให้คนดูถูกมากยิ่งขึ้น สุดท้ายพอคนเหล่านั้นใช้สินสอดของข้าแล้วก็ยังจะไม่ชอบที่ข้ามีสถานะต่ำอีกด้วย! เพราะฉะนั้น ข้าจึงไม่อยากแต่งงาน!”
เช่นนั้นก็ต้องดูแล้วว่าหลี่จิ้งจะเปลี่ยนใจเฉิงเจียได้หรือไม่
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม เกลี้ยกล่อมเฉิงเจียไปครึ่งค่อนวัน “…เงินตั้งสองหมื่นเหลี่ยง! เจ้าดูว่าทั้งเมืองจินหลิงนี้ มีหญิงสาวของตระกูลใดที่เคยได้รับสินสอดสู่ขอเป็นเงินสองหมื่นเหลี่ยงมาก่อนบ้าง ตอนนี้สถานะของเจ้าย่อมสูงขึ้นแล้วอย่างแน่นอน! เจ้าคงพอใจแล้วกระมัง!”
เฉิงเจียหัวเราะคิกออกมา กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้านิยมชมชอบขนาดนี้ เหตุใดเจ้าไม่แต่งเองเล่า หากพูดเช่นนี้อีก ข้าจะโกรธจริงๆ แล้ว”
โจวเสาจิ่นหัวเราะตาหยี ไม่ง่ายเลยกว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เฉิงเจียกลับออกไปได้
แต่ไม่นานเรื่องเงินสินสอดสองหมื่นเหลี่ยงของหลี่จิ้งก็แพร่กระจายออกไปทั่วเมืองจินหลิง
ก่อนหน้านี้โจวเสาจิ่นยังเป็นกังวลอยู่เล็กน้อยว่ากระแสลมนี้ยิ่งอยู่จะยิ่งรุนแรง จะไม่เป็นคุณต่อเฉิงเจีย แต่ใครจะรู้ว่าซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงกลับไปสู่ขอหญิงสาวที่จวนดอกเหมยที่ถนนกวนเจีย หรือก็คือตระกูลฝั่งสามีของคุณหนูสามตระกูลซุน ผู้ที่ถูกสู่ขอคือบุตรสาวคนโตของนายท่านใหญ่ตระกูลหลิว นายท่านคนที่ไม่พอใจเงินสินสอดของคุณหนูสามตระกูลซุนจึงไปยืมเงินของตระกูลซุนเป็นจำนวนสองพันเหลี่ยง ซึ่งไม่เพียงไม่คืนยังไปฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลอีกด้วยผู้นั้น
สายตาของผู้คนในเมืองจินหลิงจึงหันมาจับจ้องที่เรื่องนี้แทน
ชั่วขณะหนึ่งทุกตรอกซอกซอยต่างก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เรื่องเงินสินสอดสองหมื่นเหลี่ยงของหลี่จิ้งจึงมลายหายไปกับสายลม ไม่นานก็จมหายไปจากการวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน
โจวเสาจิ่นจึงโล่งอกไปครั้งหนึ่ง
หวงอี๋จวินได้รับคำสั่งจากท่านผู้เฒ่าซ่งมารับฮูหยินซ่ง “…หากยังไม่ออกเดินทางกลับจิงเฉิง คงเร่งกลับไปไม่ทันปีใหม่ขอรับ”
……………………………..