ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 232 ส่งแขก
นี่ถึงได้ทำให้ฮูหยินซ่งรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ที่ซอยจิ่วหรูมาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว
นางรีบสั่งให้หมัวมัวข้างกายจัดเก็บข้าวของ แล้วไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิได้รั้งนางเอาไว้ ได้แต่จับมือนางเอาไว้แล้วกำชับครั้งแล้วครั้งเล่าว่าให้นางระมัดวังตัวระหว่างเดินทาง หากมีเวลาว่าง ก็ให้พาลูกมาพักผ่อนที่เมืองจินหลิง น้ำเสียงให้ความเป็นกันเองยิ่งนัก
ฮูหยินซ่งน้ำตาไหลพรากประหนึ่งฝนตกอย่างห้ามไม่อยู่
ช่วงที่ได้อยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เพียงสอนนางเกี่ยวกับเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ ของตระกูลชนชั้นสูงไปมากมายเท่านั้น ยังสอนนางเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวกับผู้คนในวงสังคม ทำให้นางได้รับประโยชน์ไปไม่น้อย
ฮูหยินซ่งสะอื้นไห้ขณะพยักหน้ารับ กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านต้องรักษาสุขภาพให้ดี หากได้ไปจิงเฉิงต้องบอกข้าด้วยนะเจ้าคะ ให้ข้าได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับท่าน”
“วางใจเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มร่าพลางกล่าว “หากข้าไปจิงเฉิง จะไปรบกวนเจ้าอย่างแน่นอน”
ส่วนซ่งเซินพอรู้ว่าตัวเองใกล้จะต้องกลับจิงเฉิงแล้ว ก็รีบวิ่งไปหาโจวเสาจิ่นที่เรือนหว่านเซียง กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ “พี่สาวโจวๆ ท่านกลับจิงเฉิงพร้อมกับข้าเถิด! หลังจากฉลองปีใหม่แล้ว ข้าค่อยมาส่งท่าน”
“นั่นย่อมไม่ได้” โจวเสาจิ่นลูบศีรษะของเขา กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอยากฉลองปีใหม่กับท่านพ่อของเจ้า ข้าเองก็อยากฉลองปีใหม่กับพี่สาวของข้าเหมือนกัน! รอให้วันไหนที่พี่สาวมีเวลา จะไปเยี่ยมเจ้าที่จิงเฉิง!”
ซ่งเซินดวงตาลุกวาว ต้องเกี่ยวก้อยทำสัญญากับโจวเสาจิ่น กล่าวอีกว่า “เกี่ยวก้อยสัญญากันแล้ว อีกหนึ่งร้อยปีก็ไม่มีวันเปลี่ยน!”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเกี่ยวก้อยกับเขา
ซ่งเซินถึงได้เดินจากไปอย่างวางใจ
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางส่ายศีรษะขณะมองหลังของซ่งเซินที่จากไปด้วยความยินดี
หวงอี๋จวินที่มารับฮูหยินซ่งกลับถูกท่านผู้นำตระกูลจวนรองเรียกตัวไปสอบถาม ส่วนเรื่องที่ว่าพูดคุยอะไรกันนั้น ทุกคนต่างไม่ทราบ แต่จากท่าทีของหวงอี๋จวินที่ตอนเข้าไปดูประหม่าและหวั่นเกรง แต่ตอนออกมาดูมีความสุขและมีชีวิตชีวาแล้วก็พอจะมองออกว่า เฉิงซวี่คงจะกล่าวชื่นชมเขาเป็นแน่
โจวเสาจิ่นกังวลใจเล็กน้อย จึงไปหาเฉิงฉือ “ท่านว่า เช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือกำลังดูบัญชีอยู่
ฟังนางพูดไปด้วย ดีดลูกคิดคำนวณไปด้วย
เสียงลูกคิดที่ถูกดีดดังไม่หยุด ตาของเขาดูอยู่ที่สมุดบัญชีโดยตลอด ตอนที่โจวเสาจิ่นพูดอยู่นั้นก็ลอบสงสัยว่าเฉิงฉืออาจจะไม่ได้ฟังที่นางพูด
แต่พอเสียงของนางจบลง เฉิงฉือก็กล่าวขึ้นว่า “มีอะไรไม่ดีอย่างนั้นหรือ หากข้ากล่าวชมเจ้าต่อหน้าว่าเจ้าเป็นคนมีความรู้และมีพรสวรรค์มาก การลงสนามสอบในปีหน้าจะต้องสอบผ่านได้ยศจวี่เหรินอย่างแน่นอน เจ้าก็เลยเชื่อ แต่นั่นจะเป็นไปได้หรือ”
โจวเสาจิ่นกล่าวแย้งว่า “มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรือเจ้าคะ มีคนมากมายบนโลกใบนี้ที่กล้าคิดแต่ไม่กล้าลงมือทำก็เพราะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้…”
เฉิงฉือเงยหน้าขึ้น ชำเลืองมองอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าดูบัญชีของเขาต่อ กล่าวว่า “ข้อแรกเจ้าเป็นสตรี ข้อถัดมาเจ้าไม่ได้เป็นแม้แต่ซิ่วไฉ แล้วจะเข้าร่วมการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูได้อย่างไร…เหตุใดถึงมีคนถูกหลอกมากมายขนาดนั้น นั่นก็เพราะว่ามีคนที่ไม่ใช้สมองขบคิดเช่นเจ้าอยู่มากเกินไป”
ตอนที่เขาพูดนั้นมืออีกข้างก็ยังคงดีดลูกคิดคำนวณอยู่เช่นเดิม แม้แต่เสียงของลูกคิดก็ยังดังอย่างเป็นระเบียบไม่ยุ่งเหยิงเลยแม้แต่น้อย
โจวเสาจิ่นรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “พวกเราพูดเรื่องของหวงอี๋จวินอยู่ มิใช่พูดเรื่องของข้าเสียหน่อยเจ้าค่ะ!”
“ก็เหตุผลเดียวกัน” เฉิงฉือพลิกหน้าสมุดบัญชี กล่าวเรียบๆ ว่า “ฉะนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ในเมื่อเขายินดีเชื่อก็ให้เขาเชื่อไปก็ดีแล้ว ท่านผู้นำตระกูลจวนรองมิใช่เทพเซียน ที่จะชี้กรวดเป็นทองได้!”
นี่ก็จริง!
โจวเสาจิ่นอับอาย รู้สึกว่าตัวเองยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ
นางกล่าว “ความจริงแล้วข้ามาดูว่าชุดฤดูใบไม้ผลิที่แม่นางหนานผิงทำอยู่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว แต่ได้พบท่านโดยบังเอิญเสียก่อน จึงอดไม่ได้ต้องถามท่านสักหน่อย ในเมื่อท่านคิดว่าไม่มีปัญหา เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ”
พบเขาโดยบังเอิญ…นี่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ถึงกับได้พบเขาโดยบังเอิญในห้องหนังสือของเขาได้…
เฉิงฉือมือสั่น เสียงดีดลูกคิดยุ่งเหยิง
โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่งนัก ดวงตาเบิกโพลงกล่าวเสียงดังว่า “ท่านน้าฉือ ลูกคิดของท่านยุ่งเหยิงไปหมดแล้วเจ้าค่ะ!”
ภายในห้องพลันเงียบงันไปหลายลมหายใจ ถึงได้มีเสียงดีดลูกคิดและเสียงที่เย็นชาทว่าดูสงบของเฉิงฉือดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าบอกว่าพบข้าโดยบังเอิญมิใช่หรือ เช่นนั้นตอนนี้เจ้าคงไม่มีเรื่องอะไรแล้วกระมัง”
“ย่อมไม่ใช่เจ้าค่ะ!” ใบหูของโจวเสาจิ่นแดงเถือก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ท่านว่า ซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงผู้นั้นกับตระกูลหลิวมาดองกันได้อย่างไรหรือเจ้าคะ ตอนนี้ชื่อเสียงของตระกูลหลิวย่ำแย่ยิ่งนัก”
เฉิงฉือเงียบ
โจวเสาจิ่นกระดากอาย
ตนมาถามเรื่องเช่นนี้กับท่านน้าฉือ ไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ
นางรีบกล่าวอธิบายว่า “ท่านน้าฉือ ข้าสงสัยจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ไม่กล้าถามผู้อื่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบท่านในวันนี้ ก็เลย…”
“ก็เลยพลั้งปากถามไป!” เฉิงฉือกล่าวต่อคำพูดของนางไปอย่างเฉยชา
ข้ออ้างนี้ออกจะดูแย่ไปสักหน่อย
อย่างไรก็ตาม นำมาใช้เป็นข้ออ้างได้ก็พอแล้ว
โจวเสาจิ่นรีบพยักหน้ารับ
เฉิงฉือกล่าว “แล้วชื่อเสียงของจวนเหลียงกั๋วกงดีมากอย่างนั้นหรือ”
นี่หมายความว่าอย่างไร
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ
แต่เฉิงฉือก้มหน้าลงไปดูบัญชีเสียแล้ว
โจวเสาจิ่นได้แต่กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าไปหาแม่นางหนานผิงแล้วเจ้าค่ะ” อย่างเคืองๆ จากนั้นรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เฉิงฉือมองตัวเลขบนลูกคิดครู่หนึ่ง แล้วก็มองสมุดบัญชีในมือครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงปิดสมุดบัญชีดังขึ้นเสียงหนึ่ง แล้วเอนตัวอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขน
คำนวณมาครึ่งค่อนวัน กลับถูกคำพูดไม่กี่ประโยคของเด็กผู้นั้นรบกวนจนได้…
เขาตะโกนเรียกไหวซานด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ต่อไปเวลาข้าคำนวณบัญชีเจ้าอย่าให้ผู้อื่นเข้ามาอีก!”
ผู้อื่นที่ว่านี้…คงหมายถึงคุณหนูรองกระมัง
หลายปีก่อนตอนไปตรวจบัญชีที่สาขาซงเจียง ต่อให้หลงจู๊ใหญ่ของสาขาซงเจียงจะยืนร่ำไห้อยู่ข้างๆ ตั้งแต่ต้นจนจน การคำนวณบัญชีของนายท่านสี่ก็ไม่เคยผิดพลาดมาก่อนแม้แต่ตัวเดียว
เขาอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปที่เฉิงฉืออย่างไวๆ ครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือกำลังขมวดคิ้วมุ่น นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เขารู้สึกโล่งอก
อารมณ์ของนายท่านสี่นั้น หากไม่พอใจมากเท่าไรการแสดงออกก็จะยิ่งดูสบายๆ มากเท่านั้น
เขาขานรับเสียงนอบน้อมว่า “ขอรับ” รู้สึกโล่งอกแทนโจวเสาจิ่นไปเปลาะหนึ่ง
โจวเสาจิ่นที่วิ่งเหยาะๆ มาตลอดทางกลับค่อยๆ ลดความเร็วให้ช้าลงมา
ประโยคนั้นของท่านน้าฉือหมายถึงอะไรกันแน่นะ
ชื่อเสียงของจวนเหลียงกั๋วกงก็ไม่ดีเหมือนกัน…นั่นก็เป็นเรื่องที่แพร่กระจายออกมาจากบรรดาตระกูลชนชั้นสูงในเมืองจินหลิงหลังจากที่จูเผิงจวี่ผู้เป็นซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงปฏิบัติต่อภรรยาอย่างโหดร้ายเย็นชาเช่นนั้นนี่นา แล้วเกี่ยวอะไรกับตระกูลหลิวด้วย
ขณะที่นางครุ่นคิด ทันใดนั้นก็หยุดฝีเท้าลง
ใช่แล้ว!
ตระกูลจูโหดร้ายเย็นชาขนาดนั้น ตระกูลดีๆ จะอยากยกบุตรสาวให้เขาได้อย่างไร
ตระกูลหลิวของจวนดอกเหมยที่ถนนกวนเจียยังมีฉายาหนึ่งว่า ‘ตระกลูหลิวหนึ่งล้าน’ ซึ่งกล่าวเป็นนัยว่าตระกูลหลิวมีทรัพย์สินกว่าหนึ่งล้าน คุณหนูใหญ่ตระกูลหลิวผู้นั้นเป็นถึงบุตรสาวคนโตของนายท่านใหญ่ตระกูลหลิว และคนที่ดองด้วยก็เป็นจวนเหลียงกั๋วกงอีก แน่นอนว่าสินสอดต้องไม่ใช่ถูกๆ อย่างแน่นอน!
โจวเสาจิ่นรู้สึกยินดีขึ้นมา ไปหาเฉิงเจียที่เรือนหรูอี้พร้อมกับปี้เถา
คนของจวนสามเห็นนางแล้วก็ยิ้มแบบข้างนอกยิ้มแย้มทว่าข้างในไม่ยิ้ม
โจวเสาจิ่นรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย
โชคดีที่เฉิงเจียสวมรองเท้าแล้วก็วิ่งออกมาทันที ลากนางตรงไปยังห้องชั้นใน เดินไปด้วยพร้อมกับกล่าวไปด้วยว่า “เจ้าจะมาเหตุใดถึงไม่ให้พวกสาวใช้มาบอกข้าสักคำก่อน ข้าจะได้ออกไปต้อนรับเจ้าด้วยตัวเอง” กล่าวอีกว่า “เจ้าอย่าลดตัวไปสนใจบ่าวช่างประจบสอพลอนายพวกนั้นเลย หากพวกนางมีวิสัยทัศน์สักหน่อย ก็คงได้เป็นหมัวมัวแม่บ้านไปตั้งนานแล้ว จะจมปลักอยู่ตรงนี้ทั้งที่อายุขนาดนี้แล้วได้อย่างไร”
คำพูดของเฉิงเจียยังคงหยาบกระด้างและรุนแรงเช่นเคย
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิกออกมาเสียงหนึ่ง แล้วกระซิบเล่าเรื่องที่ว่าเหตุใดจูเผิงจวี่ถึงสู่ขอคุณหนูตระกูลหลิวให้เฉิงเจียฟัง
เฉิงเจียร้องขึ้นว่า “จริงๆ หรือ เจ้าคงไม่ได้เข้าใจผิดไปเองกระมัง”
“จริงแท้อย่างแน่นอน!” โจวเสาจิ่นคิดว่าเฉิงฉือคาดเดาไม่ผิดอย่างแน่นอน จึงกล่าวอย่างมั่นใจเป็นที่สุดว่า “หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ไปสืบความจากอาจูดูก็ได้”
เฉิงเจียกลอกลูกกะตาไปมา แล้วก็ให้คนไปสืบความจริงๆ
สินสอดของคุณหนูตระกูลหลิวเป็นจำนวนเงินสองหมื่นเหลี่ยง
เฉิงเจียได้ยินแล้วพูดไม่ออกไปกว่าครึ่งค่อนวัน วิ่งไปถามโจวเสาจิ่นที่เรือนหว่านเซียงไม่หยุดว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรหรือๆ”
โจวเสาจิ่นจะบอกนางได้อย่างไร
นางกล่าวอย่างดูแคลนว่า “เจ้าไม่รู้จักใช้สมองขบคิดดูบ้าง!”
เฉิงเจียหัวเราะฮ่า
ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นก็คิดว่าตอนที่เฉิงฉือว่าตนเช่นนี้เขาก็คงรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากเป็นแน่
เพราะตอนที่นางว่าเฉิงเจียเช่นนี้นางรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างมาก
นางเม้มปากกลั้นหัวเราะ
เฉิงเจียจึงเขียนจดหมายไปให้กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ เล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง
ปรากฏว่าวันที่ฮูหยินซ่งออกเดินทางนั้น กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้มาส่งฮูหยินซ่งเป็นเพื่อนฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้ ตอนที่พวกผู้ใหญ่กล่าวทักทายกันอยู่นั้น นางรั้งเฉิงเจียเอาไว้ไล่ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร แล้วอาจูยอมบอกเรื่องนี้กับเจ้าได้อย่างไร”
“เจ้าช่างโง่เขลานัก!” เฉิงเจียกล่าวยิ้มๆ “แน่นอนว่าอาจูย่อมไม่บอกเรื่องพวกนี้กับข้า แต่คุณหนูสามตระกูลซุน ผู้เป็นสะใภ้เจ็ดของตระกูลหลิวในตอนนี้ย่อมยอมบอกข้าอย่างแน่นอน!”
“เจ้าช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก!” กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ตีเฉิงเจียแรงๆ ไปสองสามครั้ง
เฉิงเจียเจ็บจนร้องโอดครวญไม่หยุด ทว่าในใจกลับมีความสุขยิ่ง
โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่หยุดอยู่ข้างๆ คิดเช่นกันว่าเฉิงเจียฉลาดปราดเปรื่องเป็นอย่างมาก
กระทั่งส่งฮูหยินซ่งจากไปแล้ว หัวหน้าของตระกูลเฉิงแต่ละจวนก็เริ่มเตรียมการสำหรับปีใหม่
นายท่านใหญ่เฉิงจิงของจวนหลักเขียนจดหมายกลับมาฉบับหนึ่ง กล่าวว่าปีนี้เขาเพิ่งได้เข้าสู่ราชสำนัก แขกที่มาเยี่ยมเยียนมีมากกว่าปกติมาก อีกทั้งปีหน้าเฉิงสวี่ก็ต้องเข้าร่วมการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูแล้ว จึงอยากให้หยวนซื่อรั้งอยู่ที่จิงเฉิงเพื่อดูแลงานบ้านและดูแลเฉิงสวี่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้รับจดหมายแล้ว ก็ยิ้มเย็นพลางตบจดหมายลงบนโต๊ะน้ำชา
โจวเสาจิ่นทำเสื้อแขนกุดสำหรับสวมใส่ด้านในในช่วงฤดูหนาวมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสองตัว เวลานั้นนางนำมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลองขนาดพอดี เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วก็ตกใจไปครั้งใหญ่อย่างช่วยไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบปลอบโยนนาง “ไม่เป็นไรๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เสื้อแขนกุดทำออกมาได้ดียิ่งนัก ขนาดก็กำลังพอดี เห็นได้ชัดว่าทำด้วยความเอาใจใส่ ข้าชอบมาก จะได้สวมใส่ตอนเล่นไพ่กับพวกฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหลายในช่วงเดือนหนึ่งพอดี”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขอลุแก่โทษว่า “ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้โมโหข้า เป็นข้าเองที่ขลาดกลัวมากเกินไปเองเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองนางที่ยืนอยู่ข้างๆ ดอกซาฉากลีบสิบแปดชั้นที่กึ่งบานต้นนั้น สีหน้าดูงดงามกว่าดอกซาฉาต้นนั้นเสียอีกอยู่หลายส่วน จิตใจจึงอ่อนยวบ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ช่วงนี้เจ้าไม่ได้ไปเล่นหมากกับน้าฉือของเจ้าหรือ”
“ไม่ได้ไปเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าเห็นท่านลุงใหญ่เหมี่ยนยุ่งอยู่กับบรรดาหัวหน้าประจำไร่นา และพวกหลงจู๊ใหญ่ประจำร้านค้าต่างๆ ทุกวัน จึงคิดว่าท่านน้าฉือดูแลกิจการของซอยจิ่วหรูทั้งหมด ก็น่าจะต้องยุ่งมากเป็นแน่เช่นกัน ข้าก็เลยไม่ได้ไปหาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วสีหน้าก็ยิ่งอบอุ่นมากขึ้น ให้สื่อมามานำขนมที่เฉิงจิงให้คนนำมาส่งให้จากเมืองหลวงให้นางไปสองกล่อง กล่าวว่า “เห็นบอกว่าเป็นบรรณาการในพระราชสำนักอะไรสักอย่าง เจ้านำกลับไปแบ่งกันชิมกับพี่สาวของเจ้า”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ แล้วออกจากเรือนหลักไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงทอดถอนใจกล่าวว่า “นางยังเป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่งเท่านั้น เด็กผู้นั้นพอเห็นลุงของตัวเองยุ่งมากก็รู้แล้วว่าไม่ควรไปรบกวนเจ้าสี่ ส่วนนางก็ดี ไม่อยากกลับมาก็ไม่ต้องกลับมา ข้าเองก็รู้ดีว่าไม่มีสะใภ้คนไหนชอบอยู่ห่างจากสามีและลูกของตัวเองมาเฝ้าแม่สามีผู้เป็นหม้ายคนหนึ่ง นางจะบอกข้าด้วยตัวเองสักคำไม่ได้เลยหรือ เจ้าใหญ่เองก็เป็นคนกลัวเมียผู้หนึ่ง ทนฟังคำรบเร้าของสะใภ้ไม่ได้ ข้าว่าต่อให้เขาเข้าสู่ราชสำนักแล้วก็เป็นได้เพียงผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลังของผู้อื่นเท่านั้น ยากนักที่จะมีโอกาสทำได้อย่างที่พูด!”
…………………………