ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 260 ไม่แน่นอน
แสงแดดของพระอาทิตย์ยามบ่ายในฤดูใบไม้ผลิส่องเข้ามาภายในห้องหลังฉากกั้นสีเขียว สะท้อนให้ภายในห้องเต็มไปด้วยความร่มรื่นและสดชื่น
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ภายในห้องหลังฉากกั้นสีเขียวเงียบๆ ฟังฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับจางเฉิงอวี้สนทนากันด้วยอาการใจลอยเล็กน้อย จึงไม่ได้มีกะจิตกะใจจะดูว่าอาจารย์จางผู้เลื่องชื่อของเขาหลงหู่มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง
การที่ท่านน้าฉือใช้นามของท่านยายเอานางมาอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน อยู่ให้ห่างจากผู้นำตระกูล ทั้งยังนึกถึงชื่อเสียงของนางอีก คงจะใช้ความพยายามไปไม่น้อยกระมัง
แต่พอนางบอกว่าไม่อยากมาอยู่ท่านน้าฉือก็ตอบตกลง โดยไม่ว่ากล่าวอะไรเลย ยังให้นางเชื่อใจเขา บอกว่า ในเมื่อข้าทำให้มารดายอมตกลงรับเลี้ยงดูเจ้าได้ ก็ทำให้ท่านอาสะใภ้สี่ยอมยกเลิกแผนการรับเจ้าเข้าจวนได้เช่นกัน อีก แต่เรื่องราวไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น
นางนึกถึงเรื่องราวในชาติก่อนขึ้นมา
ในเวลานั้นนางเอาแต่พึ่งพาพี่สาวทุกอย่าง มีเรื่องอะไรก็ไปหาพี่สาว และพี่สาวเองก็กล่าวกับนางเช่นนี้เช่นกัน แต่ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่า นางสร้างความลำบากและยุ่งยากให้พี่สาวมากมายเพียงใด และเพื่อเรื่องของนางแล้วพี่สาวต้องปวดหัวไปแล้วไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร
ยามนางอยู่ต่อหน้าท่านน้าฉือ ก็เหมือนกับตอนนางอยู่ต่อหน้าพี่สาวในชาติก่อนอยู่บ้างเล็กน้อย
ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนทิ้งให้เขาเป็นคนจัดการให้
พอได้ยินว่านางจะไม่เป็นอะไร นางก็ดีอกดีใจจนลืมตัวที่ได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป ทว่ากลับไม่เคยมาคิดอย่างถี่ถ้วนเลยว่าการที่ตัวเองทำเช่นนี้จะสร้างความยุ่งยากอะไรให้ท่านน้าฉือบ้างหรือไม่ หรือจะทำให้เขาลำบากอย่างไรบ้างหรือไม่
นางคิดถึงแต่ตัวเองมากไปหรือเปล่า
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือท่านน้าฉือยังดีกับนางมากถึงเพียงนี้
ไม่เพียงเชื่อคำพูดของนาง ยังตามใจให้นางตามมารดาเลี้ยงกลับไปที่เมืองเป่าติ้ง ให้นาง กลับไปรอข่าวที่บ้านให้สบายใจก็พอ
อย่างเรื่องที่ท่านน้าฉือถามนางว่า เหตุใดตระกูลเฉิงถึงได้ถูกตรวจค้น นั้น แม้แต่นางที่เป็นผู้ที่ย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งยังไม่รู้ แล้วนับประสาอะไรกับคนที่เพียงได้ยินเรื่องเล่ามาจากปากของนางอย่างท่านน้าฉือเล่า?
หรือว่านางควรจะรั้งอยู่ที่เรือนหานปี้ซานดี?
อย่างน้อยนางก็ช่วยท่านน้าฉือจัดเรียงความคิดได้
มิใช่ว่าท่านน้าฉือกล่าวเอาไว้หรือว่า ตอนนี้สมองของเขายังไม่แล่น จึงยังไม่มีอะไรที่อยากสอบถามนางในเวลานี้ ด้วยอุปนิสัยของท่านน้าฉือแล้ว นี่เกือบจะเป็นการบอกเป็นนัยอยู่แล้วว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกไร้ทางออกอยู่เล็กน้อยแล้ว…
นางกลับมาอยู่ที่ซอยจิ่วหรูก็แล้วกัน!
แต่ว่าเฉิงสวี่…
นิ้วมือของโจวเสาจิ่นพันเข้าหากัน ทว่าในใจกลับมีเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งบอกนางว่า มิใช่ว่าเจ้าบอกว่าอยากเปลี่ยนแปลงหรอกหรือ บอกว่าอยากเปลี่ยนให้เป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น ไม่ให้เหมือนกับชาติก่อนที่รู้จักแต่พึ่งพาผู้อื่น แล้วเหตุใดถึงต้องการหนีไปเล่า มิใช่ว่าเรื่องเหล่านั้นยังไม่เกิดขึ้นหรอกหรือ ตอนที่ย้อนกลับมาใหม่ๆ เจ้าตั้งประณิธานเอาไว้ว่า หนึ่งต้องตอบแทนหลินซื่อเซิ่ง สองต้องบอกจุดจบของตระกูลเฉิงให้เฉิงจิงทราบ ตอนที่ตั้งประณิธานนั้น เจ้าเองก็รู้สึกว่ามันหนักหนา เสมือนว่าทั้งสองเรื่องเป็นดังขุนเขาสองลูกที่กดทับใจของเจ้าไว้มิใช่หรือ ทว่าตอนนี้เล่า หลินซื่อเซิ่งกับมู่อี๋เหนียงก็แต่งงานกันแล้ว ส่วนเรื่องของตระกูลเฉิงก็บอกท่านน้าฉือผู้ที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่อาจล้มเขาได้ผู้นั้นไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนมิใช่เรื่องที่สำเร็จลงได้อย่างง่ายดายด้วยการก้าวเพียงก้าวเดียว ล้วนต้องใช้ความกล้าหาญไปกระทำทั้งสิ้น
จริงอยู่ที่ชาติก่อนเฉิงสวี่รังแกเจ้า แต่ชีวิตนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยมิใช่หรือ
เมื่อก่อนเจ้าตัวคนเดียว แต่ตอนนี้มีท่านน้าฉือ อีกทั้งยังมีฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านยายที่คอยปกป้อง จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เลยหรือ
ชาติก่อน เจ้ามีชีวิตที่ไม่ดี ตัวเองก็มีส่วนผิด ชาตินี้ ก็จะปล่อยให้มันไหลไปตามน้ำเหมือนชาติก่อนอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นกำมือเป็นกำปั้นจนแน่น
นางจะต้องเข้มแข็งขึ้นมาให้ได้
ไม่อาจเอาแต่หวังให้คนอื่นมาช่วยเหลือนางอยู่ตลอด
ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นท่านน้าฉือก็ตาม
และนางเองก็ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นภาระของท่านน้าฉือได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็ลุกขึ้นมาด้วยอารามกระวนกระวายเล็กน้อย เดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องหลังฉากกั้นสีเขียวสองครั้ง กระทั่งได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่ากัวสั่งให้ปี้อวี้ไปส่งแขก อารมณ์ของนางถึงได้สงบลงมา
เช่นนั้นก็ตัดสินใจตามนี้ก็แล้วกัน
นางจะย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานอย่างที่ท่านน้าฉือได้ตัดสินใจเอาไว้ก่อนหน้านี้ และก็จะขอร้องท่านน้าฉือไม่ให้เฉิงสวี่มาที่เรือนหานปี้ซาน
รอให้เฉิงสวี่ค้นพบว่าท่านย่าที่เคยถนอมเขาไว้ในอุ้งมือมาตลอดไม่ใช่คนที่เขานึกอยากพบเมื่อไรก็พบได้ตลอดแล้ว การแสดงออกนั้นจะต้องเจริญตาไม่น้อยเป็นแน่
โจวเสาจิ่นคิดเช่นนี้แล้วก็ให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือบอกการตัดสินใจของตัวเองให้ท่านน้าฉือทราบ
อย่างไรก็ตาม ท่านน้าฉืออาจจะรำคาญที่นางประเดี๋ยวก็เลือกทางซ้ายประเดี๋ยวก็เลือกทางขวาตัดสินใจไม่ได้เสียทีก็เป็นได้!
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอย่างเป็นกังวล จนกระทั่งถึงเวลาอาหารแล้วก็ยังคงกระวนกระวายใจเล็กน้อยอยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้ว ทว่าไม่ได้กล่าวอะไร
เด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีกำลังอยู่ในวัยที่คิดมาก แค่เสื้อผ้ามีรอยยับย่นรอยหนึ่งก็อาจจะกระวนกระวายไปครึ่งค่อนวันแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสนใจมาก รอให้ผ่านไปสักสองสามชั่วยามเมื่อรอบกายมีเรื่องอื่นเกิดขึ้นก็จะลืมไปเอง
นางยิ้มพลางให้ปี้อวี้นำอาหารมาขึ้นโต๊ะ “ปลาสือ[1]นี้ทำได้ไม่เลว เจ้าลองชิมดู”
นี่เพิ่งจะเดือนสาม ทว่ารายการอาหารของเรือนหานปี้ซานก็มีปลาสือแล้ว
ข้าวปลาอาหารของเรือนหานปี้ซานช่างดียิ่งนัก!
หากนางอาศัยอยู่ที่นี่สักสองปี ไม่รู้ว่าหลังจากกลับออกไปแล้วจะติดเป็นนิสัยหรือไม่!
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย ถามเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือไม่มาร่วมรับประทานอาหารกับพวกเราหรือเจ้าคะ”
“เขาไปส่งจางเฉิงอวี้” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ “ต่อให้กลับมารับประทานอาหาร นั่นก็คงต้องเป็นเรื่องของหลังเที่ยงเสียแล้ว”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า กระทั่งรับมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อย ดื่มชาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวจอกหนึ่งแล้ว สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเผยความเหนื่อยล้าออกมาต้องการจะไปพักผ่อนแล้ว แต่เฉิงฉือก็ยังไม่กลับมา
นางจำต้องลุกขึ้นกล่าวอำลา แล้วกลับเรือนเจียซู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถามนางยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่าอย่างไรบ้าง”
โจวเสาจิ่นกล่าว “ถามว่าพรุ่งนี้ฮูหยินมีเวลาว่างหรือไม่ หากมีเวลาว่าง จะขอเชิญนางมากินข้าวด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว จึงกล่าวขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ไม่รั้งเจ้าเอาไว้แล้ว หลังจากกลับไปถึงแล้วเจ้าก็อย่าลืมแจ้งข่าวให้ข้าทราบด้วยก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นไม่ได้จากไปในทันที แต่เอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ข้าอยากอยู่ที่เรือนเจียซู่ต่อ ท่านช่วยไปคุยกับท่านพ่อของข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยินดียิ่งนัก รีบกล่าวขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าให้คนนำจดหมายไปส่งให้บิดาของเจ้าแล้ว อย่างมากคงจะได้ข่าวคราวภายในสองวันนี้”
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
โชคดีที่ยังไม่ได้ปฏิเสธท่านน้าฉือไป
หากว่าบิดาตอบตกลงให้นางอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อ แต่นางอยากกลับเมืองเป่าติ้ง ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือจะต้องเสียแรงไปอีกเท่าไร
อย่างไรก็ตาม วันนี้นางไม่ได้เจอท่านน้าฉืออีก อีกทั้งท่านน้าฉือเวลากระทำอะไรก็กระฉับกระเฉงว่องไวยิ่ง กลัวก็แต่ว่าก่อนหน้านี้นางบอกอยากกลับเมืองเป่าติ้ง ถัดจากนั้นท่านน้าฉือก็เริ่มคิดหาวิธีการไปแล้ว เพื่อความปลอดภัย นางยังคงเขียนจดหมายส่งไปให้บิดาสักฉบับจะดีกว่า
หลังจากที่โจวเสาจิ่นพบฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเสร็จแล้วก็กลับบ้านเลย
หลี่ซื่อได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องการเชิญนางไปกินข้าวด้วย หลังหายจากอาการประหลาดใจแล้วก็อดยินดีขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
นางไม่คุ้นเคยกับเมืองและผู้คนในจินหลิง อีกทั้งยังเป็นห่วงบุตรสาวคนเล็กที่ทิ้งเอาไว้ที่บ้าน วันเวลาแต่ละวันจึงผ่านไปอย่างไม่ง่ายดายนัก การได้ไปเป็นแขกที่ซอยจิ่วหรู ทั้งได้เอาใจโจวเจิ้น และตนเองก็ได้เพลิดเพลินใจด้วย ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
หลี่ซื่อให้หลี่มามานำขนมไปที่ซอยจิ่วหรูสองสามกล่อง
ส่วนโจวเสาจิ่นกับหลี่ซื่อสนทนาเรื่องส่วนตัวกัน “…ฟังจากความหมายของท่านยายแล้ว อยากให้ข้าอาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไป หากท่านยายเอ่ยปากออกมาแล้ว ท่านพ่อคงไม่อาจปฏิเสธได้เป็นแน่ สุดท้ายแล้วบุญคุณที่เลี้ยงดูมาก็มีน้ำหนักกว่าบุญคุณที่ให้ชีวิต เกรงว่าข้าคงไม่อาจตามท่านกลับไปที่เมืองเป่าติ้งแล้วเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเสียใจ
หลี่ซื่อประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้
ปีนั้นหากมิใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่ากวนยืนกราน โจวเสาจิ่นสองพี่น้องก็คงได้ไปอยู่ที่เมืองหนานชางแล้ว
เรื่องนี้ไม่มีส่วนที่นางจะกล่าวอะไรได้
นางกล่าวยิ้มๆ อย่างประจบว่า “นายหญิงผู้เฒ่าเลี้ยงดูพวกเจ้าสองพี่น้องมาดังไข่มุกในอุ้งมือก็ไม่ปาน ทำใจปล่อยเจ้ามาไม่ได้ก็ไม่มิใช่เรื่องแปลก ไม่สู้คุณหนูรองอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปอีกช่วงหนึ่งให้สบายใจ รอให้ถึงปีใหม่แล้ว ข้าจะส่งคนมารับคุณหนูรองกลับไปรวมตัวกันที่บ้าน”
โจวเสาจิ่นเองก็อยากจะไปเยี่ยมบิดาที่เมืองเป่าติ้งเหมือนกัน
นางยิ้มพลางขานตอบ “เจ้าค่ะ” แล้วพูดคุยกับหลี่ซื่อถึงเรื่องของโจวโย่วจิ่นผู้เป็นน้องสาวขึ้นมา “หน้าตาเหมือนใคร เดินได้หรือยัง คราวก่อนที่ข้าตัดชุดให้นางนั้นสวมใส่ได้หรือไม่ ข้าอยากจะทำชุดสำหรับฤดูหนาวให้นางอีกสักสองสามชุด ท่านว่าต้องเพิ่มขนาดอีกกี่ชุ่นดีเจ้าคะ…”
กระทั่งตอนที่หลี่มามากลับมา ก็เห็นโจวเสาจิ่นกับหลี่ซื่อกำลังคุยกันอยู่ตรงนั้นอย่างสนิทสนม หากมิใช่ว่าสถานะห่างกันคนละรุ่นแล้วล่ะก็ ช่างดูเหมือนกับเป็นพี่สาวน้องสาวกันก็ไม่ปาน
***
วันถัดมา โจวเสาจิ่นและหลี่ซื่อไปเป็นแขกที่เรือนหานปี้ซาน
นายหญิงผู้เฒ่าถัง นายหญิงผู้เฒ่าหลี่ หงซื่อ เจียงซื่อและคนอื่นๆ ต่างออกมารับแขกด้วย ที่บ้านเชิญเกาฮุ่ยจูของคณะฉางเกามาขับขานบทกลอน หอซื่ออี๋จึงเต็มไปด้วยความคึกครื้น บ่าวรับใช้ที่เดินผ่านทางมาต่างก็ก้าวขาให้ช้าลงเพื่อให้ได้ฟังสักสองสามท่อน
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับถูกเฉิงเจียดึงตัวไปคุยกันที่ห้องของว่างของหอซื่ออี๋ “….เจ้าว่า ข้าควรจะตอบหลี่จิ้งไปว่าอย่างไรดี”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร!” โจวเสาจิ่นกล่าว เห็นว่ามีบ่าวรับใช้เดินผ่านมาทางหน้าประตูห้องของว่างอยู่บ่อยๆ จึงกล่าวว่า “พวกเราออกไปคุยกันที่ด้านนอกของหอซื่ออี๋จะดีกว่า มาแอบอยู่หลังประตูเช่นนี้หากมีคนแอบอยู่ที่ไหนพวกเราก็มองไม่เห็นเช่นกัน ไม่สู้ออกไปคุยกันในสวนอย่างเปิดเผย คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ได้เห็นได้อย่างชัดเจน”
“ได้!” เฉิงเจียกล่าว “เสาจิ่น ข้าสังเกตว่ายิ่งอยู่เจ้าก็ยิ่งเก่งขึ้น ความคิดเช่นนี้ก็คิดออกมาได้ด้วย”
โจวเสาจิ่นตะลึงไปเล็กน้อย
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นความคิดของท่านน้าฉือ
วันนี้ทั้งวันนางล้วนไม่ได้เจอท่านน้าฉือ ได้ยินหนานผิงบอกว่า หลังจากที่ท่านน้าฉือไปส่งจางเฉิงอวี้แล้วก็ตรงไปที่เจ่าหยวนเลย หากวันนี้เขายังไม่กลับมา นางก็คงจะไม่ได้พบเขาเสียแล้ว!
โจวเสาจิ่นยืนอยู่บนสะพานหินโค้งหน้าหอซื่ออี๋กับเฉิงเจียด้วยอาการใจลอยเล็กน้อย ขณะฟังเฉิงเจียเจื้อยแจ้วกล่าว “เขาส่งคนมาถามข้า แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ท่านแม่ของข้าต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพี่ชายจิ้งชอบข้าได้อย่างไร เขาบอกว่าเรื่องอื่นๆ เขาจะเป็นคนจัดการเอง แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะไปพูดกับมารดาของข้าว่าอย่างไรบ้าง หากมารดาของข้าเข้าใจผิดคิดว่าระหว่างข้ากับเขามีอะไรกัน ข้าจะยังมีหน้ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อได้อย่างไร จะยังเป็นคนต่อไปได้อย่างไร…”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างจริงๆ” โจวเสาจิ่นรอให้นางพูดจบแล้วถึงได้กล่าวขึ้น “ข้าว่าเจ้าระมัดระวังเอาไว้สักหน่อยจะดีกว่า!”
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมือนกับท่านน้าฉือ ที่ทำอะไรก็บรรลุผลได้ในเวลาเพียงไม่นาน
อย่างไรก็ตาม ท่านน้าฉือไปทำอะไรที่เจ่าหยวนกันนะ
เหตุใดถึงยังไม่กลับมาอีก
นางยังต้องการจะปรึกษาเขาเรื่องที่จะรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูอีก!
โจวเสาจิ่นยื่นมือขึ้นไปเด็ดกิ่งต้นทับทิมลงมากิ่งหนึ่ง แล้วดึงใบสีเขียวอ่อนที่อยู่บนกิ่งไม้นั้นออกมา
“เสาจิ่น” เฉิงเจียเบิกดวงตาโตมองนาง “เหตุใดเจ้าถึงเด็ดกิ่งไม้ออกมา เมื่อก่อนเวลาข้าเด็ดกิ่งไม้มาทำพวงมาลัยเจ้ายังบ่นข้าไปครึ่งค่อนวัน แล้วเหตุใดวันนี้ตัวเจ้าเองกลับเด็ดกิ่งไม้ออกมาเล่า”
โจวเสาจิ่นพลันหน้าแดงร้อนผะผ่าว กล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ข้าก็เป็นกังวลใจแทนเจ้าอย่างไรเล่า! หรือไม่ เจ้าก็ไปถามผู้อื่นแทนดีหรือไม่”
เฉิงเจียพลันหน้าหม่นหมอง กล่าวขึ้นว่า “นอกจากเจ้าแล้วข้าจะไปพูดเรื่องนี้กับผู้ใดได้เล่า”
โจวเสาจิ่นพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาในทันใด
นางกล่าว “หรือไม่ พวกเราไปปรึกษาจี๋อิ๋งดีหรือไม่” นางเล่าเรื่องที่จี๋อิ๋งตัดแขนข้างหนึ่งของอดีตคู่หมั้นให้เฉิงเจียฟัง “…นางเก่งกาจถึงเพียงนี้ เจ้าไม่ลองให้นางช่วยไปสืบเรื่องของหลี่จิ้งมาให้เจ้าเล่า!”
ดวงตาของเฉิงเจียต่างก็ลุกวาวขึ้นมา ลากโจวเสาจิ่นแล้วมุ่งหน้าวิ่งไปทางเรือนหลีอิน
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “เจ้าช้าลงหน่อย ใจเย็นๆ จี๋อิ๋งไม่อยู่บ้าน!”
เฉิงเจียหยุดฝีเท้าลงอย่างผิดหวัง
เจียงซื่อหันมาโบกมือให้เฉิงเจียจากชั้นสองของหอซื่ออี๋ ส่งสัญญาณให้นางขึ้นไปหา
เฉิงเจียเดินคอตกกลับไปที่หอซื่ออี๋
…………………………………………………………………..
[1] ปลาสือ ปลาตะลุมพุกฮิลซา