ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 261 ร้อนใจ
ส่วนโจวเสาจิ่นเดินคอตกกลับไปที่ถนนผิงเฉียว
ท่านน้าฉือไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นเลย
ทว่าหลี่ซื่อกลับมีความสุขเป็นอย่างมาก กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “คิดไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่อี๋จะเป็นสตรีจากตระกูลหงที่จิ่วเจียง! ขนบของตระกูลหงเลื่องลือว่าเข้มงวดยิ่งนัก สตรีและบุรุษในบ้านล้วนแล้วแต่มีความสามารถ ข้าฟังจากน้ำเสียงนั้นของฮูหยินใหญ่อี๋แล้ว บ้านเดิมของนางมีหลานชายผู้หนึ่ง เนื่องจากบิดามารดาเสียชีวิตติดๆ กัน ปีนี้อายุยี่สิบปีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้หมั้นหมาย บุคลิกลักษณะดูดี การเล่าเรียนก็ทำได้ดี ประจวบเหมาะกับพี่ชายสามของข้ามีบุตรสาวอยู่คนหนึ่ง ปีนี้อายุสิบห้า กำลังหาคู่ครองพอดี เจ้าว่า ข้าเป็นแม่สื่อให้พวกเขาจะได้หรือไม่”
โจวเสาจิ่นถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า หลี่ซื่อก็เป็นคนเจียงซี แต่ตระกูลหลี่เป็นพ่อค้า ส่วนตระกูลหงเป็นบัณฑิต การที่หลี่ซื่อชื่นชมตระกูลหงก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
นางรู้สึกว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้ผลลัพธ์ ทว่าฮูหยินใหญ่อี๋เป็นคนของจวนรอง ส่วนตระกูลโจวเป็นญาติฝั่งจวนสี่ อีกทั้งนางยังตัดสินใจว่าต่อไปในอนาคตจะเลือกอยู่ฝั่งเดียวกับจวนหลัก หากตระกูลโจวกระชับความสัมพันธ์กับจวนรองแล้ว เรื่องนี้อาจกลายเป็นเรื่องซับซ้อนขึ้นมาได้
แต่นางมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดีของหลี่ซื่อแล้ว ไม่อาจสาดน้ำเย็นใส่นางได้ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก ข้าคิดว่าควรจะถามท่านพ่อดูจะดีกว่า กล่าวคือ หากต้องการเป็นพ่อสื่อแม่สื่อ ก็คงต้องให้ท่านพ่อออกหน้าให้จะดีกว่าเจ้าค่ะ”
เห็นโจวเสาจิ่นไม่ได้คัดค้าน หลี่ซื่อจึงยิ่งดีใจมากขึ้น นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ทำอย่างที่คุณหนูรองกล่าวมาก็แล้วกัน” อีกทั้งยังกล่าวอย่างทอดถอนใจเล็กน้อยว่า “ข้าไม่คาดคิดว่าคุณหนูรองจะเห็นด้วย”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดข้าจะไม่เห็นด้วยเล่า!”
หลี่ซื่อกล่าว “คุณหนูรองท่านคงไม่ทราบ แม้นตระกูลหลี่ของพวกข้าจะเป็นตระกูลที่สั่งสมความดีงามมาเหมือนกัน แต่ก็เปรียบไม่ได้กับตระกูลเล็กๆ ที่มีลูกหลานเป็นบัณฑิตเหล่านั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรที่พานพบ มักจะเป็นตระกูลหลี่ของพวกข้าที่เสียเปรียบ หากหลานสาวของตระกูลได้แต่งงานกับตระกูลบัณฑิต ต่อไปบุตรหลานของตระกูลหลี่ก็จะได้เข้าไปศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาดีๆ บ้าง ไม่แน่ว่าตระกูลหลี่ของพวกข้าก็อาจจะมีบัณฑิตสักคนก็เป็นได้!”
นี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลี่ซื่อแต่งงานกับบิดาก็เป็นได้!
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด ทว่าไม่อาจคงหัวข้อสนทนานี้ต่อไป นางจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อเองก็ต้องหวังให้ตระกูลหลี่ได้ดีอย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วโย่วจิ่นเองก็จะได้มีคนให้พึ่งพาได้เพิ่มขึ้นด้วยเจ้าค่ะ!”
หลี่ซื่อยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้า พลางกล่าว “นายท่านเป็นคนดีมากผู้หนึ่ง!”
คำพูดของนางกล่าวได้อย่างจริงใจยิ่ง เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจในตัวโจวเจิ้นเป็นอย่างมาก
โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ คุยกับหลี่ซื่ออีกไม่กี่ประโยค ก็กลับไปที่เรือนหลัก
พี่สาวไม่อยู่แล้ว เรือนหลักขนาดสามห้องกั้นและห้องข้างอีกสองห้องจึงดูวังเวงเล็กน้อย
นางนั่งร่างภาพองค์กวนอิมถือแจกันอยู่หน้าตะเกียงขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วได้ครึ่งภาพ เมื่อได้ยินเสียงตีกลองบอกเวลายามสามแล้ว ถึงได้ไปพักผ่อน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อวี๋มามาที่ดูแลเรือนดอกไม้มาถามนางว่า “ดอกโบตั๋นสองสีที่ท่านปลูกด้วยตัวเองต้นนั้นต้องการให้ย้ายไปปลูกที่ไหนหรือไม่เจ้าคะ ต่างชูช่อดอกตูมหมดแล้ว อีกไม่กี่วันก็น่าจะพากันเบ่งบานแล้ว หากบานอยู่บนถนนคงจะน่าเสียดายแย่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วไปเลือกดอกไม้สองสามกระถางที่เรือนดอกไม้ สั่งชุนหว่านกับอวี๋มามาให้นำไปส่งที่เรือนหานปี้ซาน “โบตั๋นสองสีให้ส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ส่วนกล้วยไม้ส่งไปให้ท่านน้าฉือ” และก็คิดว่าไม่อาจส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโดยไม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน จึงกล่าวอีกว่า “แล้วก็ส่งว่านสิบแสงไปให้ท่านยาย”
นางอยากรู้ว่าท่านน้าฉือกลับมาหรือยัง
เรื่องที่นางเปลี่ยนใจต้องรีบบอกท่านน้าฉือให้เร็วที่สุด จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าท่านน้าฉือเตรียมการเสร็จเรียบร้อยทางด้านของนางจึงต้องกลับคำ
โจวเสาจิ่นรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
แต่เมื่อชุนหว่านกลับมากลับบอกนางว่า นายท่านสี่ยังไม่กลับมา
หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกว่าเฉิงฉือไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่ตัวเขาเองบอก ที่บอกว่าเพียงดูแลกิจการของตระกูลเฉิงและทำการค้ากับผู้อื่นเท่านั้น
นางนึกถึงเฉิงลี่ผู้เป็นนายท่านใหญ่ของจวนรองที่ลือกันว่าเสียชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มเดินสมุทร
โจวเสาจิ่นเรียกฝานฉีเข้ามา กระซิบถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ่าหยวนของนายท่านสี่อยู่ที่ไหน”
ฝานฉีที่อายุสิบสี่ปีเริ่มโตขึ้นแล้ว ตัวสูงกว่าโจวเสาจิ่นไปครึ่งศีรษะ ยามหัวเราะดูเหมือนเด็กดื้อคนหนึ่ง ทว่ายามปกติบนใบหน้าที่ยังไม่เป็นหนุ่มนั้นกลับมีความแน่วแน่และเก็บความรู้สึกเก่งที่พบเห็นได้น้อยในคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
เขากล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ข้าไม่ทราบขอรับ แต่ข้าไปสืบให้คุณหนูรองได้”
เข้าจวนมาสองปี โจวเสาจิ่นให้เขาไปทำธุระให้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ตอนนี้มาคิดดูแล้วยังรู้สึกว่าตัวเองในตอนนั้นช่างใจกล้ายิ่งนัก แต่ตอนที่เขารู้ว่าเพราะคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ได้แต่งงานกับคุณชายใหญ่ตระกูลหลินเร็วขึ้นถึงได้รอดพ้นจากหายนะของครอบครัว อีกทั้งยังช่วยน้องชายน้องสาวของตัวเองไว้ได้นั้น เขาก็เทิดทูนโจวเสาจิ่นมากอย่างอธิบายไม่ได้ รู้สึกว่าคุณหนูรองที่ดูงดงามอ่อนหวานผู้นี้ไม่ธรรมดานัก
ด้วยอุปนิสัยเช่นนี้ ถึงทำให้ฝานฉีในชาติก่อนซื้อทรัพย์สินที่ช่วยให้เขามีกินมีใช้ไม่ขาดตลอดชีวิตภายใต้สภาวะที่ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลยได้กระมัง
โจวเสาจิ่นคิด พลางกล่าว “ได้ยินว่านายท่านสี่ไปที่เจ่าหยวน เจ้าช่วยนำความไปแจ้งนายท่านสี่ให้ข้าหน่อย บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนต้องการพบเขา”
ฝานฉีไม่ได้ถามอะไรมากอีกแม้แต่ประโยคเดียว ขานรับแล้วก็ถอยออกไป
ตกกลางคืน ฝานฉีกลับมารายงานว่า “นายท่านสี่ไม่ได้อยู่ที่เจ่าหยวนขอรับ”
โจวเสาจิ่นหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นได้กลับไปที่ซอยจิ่วหรูหรือไม่”
ฝานฉีกระซิบกล่าว “ไม่อยู่ที่ซอยจิ่วหรูเช่นกันขอรับ”
โจวเสาจิ่นหลับไม่ลงเลยตลอดทั้งคืน วันถัดมาตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ตั้งใจว่าจะไปดูที่เรือนหานปี้ซานสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าหลังจากรับมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ที่บ้านกลับได้รับจดหมายตอบกลับมาของโจวเจิ้น
หลี่ซื่อบอกนางว่า “…บิดาของเจ้าหวังให้เจ้ากลับเมืองเป่าติ้งพร้อมกับข้า”
สิ่งที่โจวเจิ้นตอบกลับมาเป็นการตอบจดหมายฉบับแรกสุดที่หลี่ซื่อส่งให้เขา
ตอนนี้โจวเสาจิ่นไหนเลยจะมีอารมณ์ไปสนใจเรื่องพวกนี้ นางคิดเพียงแต่จะไปตามหาเฉิงฉือให้เร็วที่สุด แต่จดหมายฉบับนี้ก็เป็นข้ออ้างให้นางได้เข้าไปที่ซอยจิ่วหรูพอดี
ยิ่งหลี่ซื่อรู้จักตระกูลเฉิงมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าตระกูลเฉิงมีอิทธิพลมากดังต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึก การที่สามีหวังให้นางมีความสัมพันธ์อันดีกับคนตระกูลเฉิงมิใช่ว่าไม่มีเหตุผล
นางเข้าใจว่าโจวเสาจิ่นอยากจะนำจดหมายไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดู เพื่อทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตกลงให้ตัวเองกลับเมืองเป่าติ้งได้ง่ายขึ้น
หลี่ซื่ออดไม่ได้ย้ำกำชับนางเสียงนุ่มว่า “เจ้าก็อย่าผลีผลาม หากสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากวนดูไม่สู้ดี เจ้าก็อย่าเพิ่งกล่าวอะไร ให้กลับมาก่อน จะได้ไม่เป็นการไปทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้ากับนายหญิงผู้เฒ่า ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าจะคิดหาวิธีให้เอง!”
โจวเสาจิ่นขอบคุณหลี่ซื่อ
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ออกจากประตูไป ก็มีบ่าวชายวิ่งเข้ามาส่งจดหมายฉบับที่สองของโจวเจิ้นอย่างรีบร้อน
หลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นรีบไปเปิดจดหมายพร้อมกัน
น้ำเสียงของโจวเจิ้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เขาให้โจวเสาจิ่นรั้งอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่ซอยจิ่วหรูต่อไป ยังให้โจวเสาจิ่น “ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ล้วนต้องเชื่อฟังคำแนะนำของท่านยาย ท่านยายของเจ้ารักเจ้ายิ่งนัก นางรั้งเจ้าเอาไว้ก็เพื่อเป็นการดีสำหรับตัวเจ้า เมื่อเจ้าโตไปเจ้าจะเข้าใจเอง”
ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะทราบเรื่องที่ท่านยายตั้งใจจะจับคู่นางกับพี่ชายอี้หรือไม่
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าชะตาของตนเปรียบเสมือนเรือผุพังที่เต็มไปด้วยรูรั่วอยู่ในสภาพร่อแร่ ที่มีน้ำซึมเข้าทั่วทุกที่ลำหนึ่ง หากท่านน้าฉือยังไม่ปรากฏตัวออกมา นางจะต้องจมน้ำเป็นแน่แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับให้หวังมามามาเชิญพวกนางไปคุยที่เรือนเจียซู่
หลังจากที่ส่งหวังมามาออกไปแล้ว หลี่ซื่อพึมพำกล่าวว่า “นายหญิงผู้เฒ่าคงต้องการคุยกับพวกเราเรื่องให้เจ้ารั้งอยู่ต่อไปกระมัง”
โจวเสาจิ่นเองก็คาดเดาเช่นนี้เหมือนกัน
ทั้งสองคนแต่งตัวใหม่อีกครั้ง แล้วไปที่เรือนเจียซู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดึงมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้แล้วพูดคุยแลกเปลี่ยนกับหลี่ซื่ออยู่ครู่ใหญ่ถึงได้พูดเข้าเรื่อง “ว่ากันตามหลักแล้ว เจ้าปฏิบัติกับเสาจิ่นเสมือนกับลูกแท้ๆ ของตัวเอง หลังจากชูจิ่นแต่งงานแล้ว เสาจิ่นก็ควรจะกลับไปใช้ชีวิตกับเจ้า แต่เจ้าก็รู้ดี ข้าเลี้ยงดูเสาจิ่นมาตั้งแต่เล็กๆ ข้าทำใจไม่ได้จริงๆ โชคดีที่บุตรเขยเป็นคนใส่ใจ พอได้ยินว่าข้าอยากรั้งเสาจิ่นเอาไว้ก็ตอบตกลงเลย…”
หลี่ซื่อเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง แน่นอนว่าเวลานี้ย่อมไม่ขัดฮูหยินผู้เฒ่ากวน ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะกล่าวอะไรนางล้วนยิ้มตาหยีพร้อมกับขานรับว่าได้ทุกอย่าง กระทั่งหลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นออกจากเรือนเจียซู่ไปแล้ว ความประทับใจที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมีต่อหลี่ซื่อก็เปลี่ยนไปมาก ยังกล่าวกับหวังมามาเป็นการส่วนตัวว่า “ฮูหยินใหม่ของบุตรเขยผู้นี้ก็ถือว่าเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมผู้หนึ่ง ไม่ต้องเปลืองแรงพูดให้มากความ”
หวังมามาขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพรูลมหายใจยาวๆ ออกมาครั้งหนึ่ง
สุดท้ายนางก็ทำให้ตัวเองได้รั้งอยู่ที่เรือนเจียซู่ต่อจนได้
เรื่องถัดไปก็คือ ต้องตามหาท่านน้าฉือให้พบ
หยุดอยู่ตรงโรงจอดเกี้ยวของประตูข้าง โจวเสาจิ่นกล่าวกับหลี่ซื่อว่า “ข้าอยากไปเรือนหานปี้ซานสักครั้ง เมื่อวานข้าส่งกระถางดอกไม้ไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว…เวลานี้รู้สึกไม่ค่อยวางใจนัก ข้าอยากจะไปดูท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อยเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อจำเรือนหานปี้ซานที่ละลานตาไปด้วยสีเขียวนั้นได้ดี
“เหตุใดเจ้าถึงส่งกระถางดอกไม้ไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือ” นางกล่าวเร่งเร้าโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ารีบไปดูเถิด! ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
“ท่านกลับไปก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้ากลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะรั้งให้ข้าอยู่สนทนาด้วย”
หลี่ซื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ก็ได้ เจ้าจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะมีข้ารออยู่ที่นี่ เจ้าไปเรือนหานปี้ซานให้สบายใจ อยู่สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีๆ อย่าให้เกิดความเข้าใจผิดอะไรขึ้นก็พอ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ หลังจากส่งหลี่ซื่อแล้วก็รีบไปที่เรือนหานปี้ซาน
ปี้อวี้และอีกหลายคนกำลังตักน้ำมาทำความสะอาดใบของต้นดอกโบตั๋นสองสีที่วางอยู่กลางลานบ้านต้นนั้น
เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นเข้ามาต่างพากันกล่าวทักทายนางคนแล้วคนเล่า “คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองจะปลูกดอกโบตั๋นสองสีออกมาได้ ได้ยินมาว่าดอกโบตั๋นสองสีนั้นนอกจากจะมีพันธุ์หนึ่งครึ่งหนึ่งสีอย่างของในจวนพวกเราพันธุ์นั้นแล้วก็ยังมีแบบที่ในหนึ่งช่อจะออกดอกโบตั๋นสองดอกที่สีไม่เหมือนกันด้วย ไม่ทราบว่าของคุณหนูรองต้นนี้เป็นพันธุ์ไหนหรือเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นรีบกระซิบกล่าวว่า “พวกเจ้าเบาเสียงลงหน่อย! ต้นนี้ของข้าเป็นพันธุ์ที่ในหนึ่งช่อจะออกดอกโบตั๋นสองดอกที่สีไม่เหมือนกัน ด้วยรู้สึกว่ามันหาได้ยาก ก็เลยส่งมาให้ แต่ลืมไปว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ปลูกดอกไม้ ท่านน้าฉืออยู่บ้านหรือไม่ ข้ายังส่งดอกกล้วยไม้ไปให้ท่านน้าฉือกระถางหนึ่งด้วย ไม่รู้ว่ามีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นหรือไม่”
นางทอดถอนใจกล่าว ปี้อวี้และคนอื่นๆ ต่างพากันกล่าวปลอบใจนาง
“คนที่บอกพวกข้าเรื่องดอกโบตั๋นสองสีมีสองแบบก็คือฮูหยินผู้เฒ่า หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบใจ จะบอกเรื่องพวกนี้กับพวกข้าได้อย่างไร ท่านคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ!”
“ดอกกล้วยไม้ที่ท่านส่งมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ายังมองไปกว่าครึ่งค่อนวัน ยังชมว่าดอกกล้วยไม้ของท่านปลูกได้ดีอีกด้วย ยังให้คนที่เรือนดอกไม้หาที่ว่างสำหรับวางต้นกล้วยไม้ จะเอาไว้รับแขกตอนปีใหม่เจ้าค่ะ”
“คารวะเจ้าค่ะ! ท่านวางใจเถิด ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้โกรธเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นสงบใจลงมาได้ แสร้งถามอย่างไม่ตั้งใจว่า “แล้วท่านน้าฉือเล่า เขาได้ว่าอะไรหรือไม่”
“เปล่าเจ้าค่ะ!” ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ “นายท่านสี่ไปเจ่าหยวนยังไม่กลับมา ได้ยินฉินจื่อผิงกล่าวว่า นายท่านสี่บอกว่าฤดูร้อนของเมืองจินหลิงร้อนอบอ้าวเกินไป ทว่าเจ่าหยวนตั้งอยู่ที่เขาสือฮุย ไม่เพียงมีทัศนียภาพงดงาม อากาศยังสดชื่นเย็นสบาย เป็นสถานที่หลบร้อนได้ดีที่หนึ่ง เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้ไม่มีคนเข้าไปอยู่ ห้องหับบางส่วนล้วนเก่าหมดแล้ว นายท่านสี่อยากซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ จึงเชิญช่างฝีมือจากหังโจวไปดูบ้านที่นั่น ต้องการซ่อมแซมครั้งใหญ่เจ้าค่ะ!” ขณะที่นางกล่าว ก็ก้มหน้าลงกระซิบบอกโจวเสาจิ่นว่า “ไม่แน่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นพวกเราอาจจะได้ไปหลบร้อนด้วยก็เป็นได้เจ้าค่ะ!”
แต่ท่านน้าฉือไม่ได้อยู่ที่เจ่าหยวนนี่นา!
คนที่รับใช้อยู่ข้างกายท่านน้าฉือมิใช่ไหวซานหรอกหรือ เหตุใดคนที่มาแจ้งข่าวกลับเป็นฉินจื่อผิงไปได้!
แล้วฉินจื่ออันไปที่ใดกันนะ
โจวเสาจิ่นร้อนใจ ทว่าไม่กล้าเผยความผิดปกติอะไรออกมาให้เห็น
นางฝืนทำตัวร่าเริงพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปกว่าครึ่งค่อนวัน และกลับไปถึงถนนผิงเฉียวด้วยความเหนื่อยอ่อน
ไม่กี่วันหลังจากนั้น นางใช้ทุกวิถีทางไปสืบหาข่าวคราวของเฉิงฉือ ทว่าเฉิงฉือกลับเสมือนกับเรือที่หายสาบสูญไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด แต่ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือว่าคนอื่นๆ กลับไม่มีสักคนที่สังเกตเห็นว่าเฉิงฉือหายตัวไป
………………………