ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 263 ไม่เข้าใจ
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วใบหน้าเล็กๆ นั้นก็พลันสว่างไสวขึ้นมา ดวงตาสุกสกาวแพรวพราวราวกับอัญมณี เอ่ยขึ้นว่า “จริงหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือหลุดหัวเราะ ตบศีรษะเล็กนั้นเบาๆ พลางกล่าว “ข้าเคยโกหกเจ้าเมื่อใดกัน”
“ไอ้หยา!” โจวเสาจิ่นลูบศีรษะ หัวเราะขึ้นมาอย่างเขินอาย
เฉิงฉือกล่าว “ท้องฟ้าสดใสหลังฝนผ่านพ้นแล้วใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง จากนั้นนึกถึงวัตถุประสงค์ที่ตนมาหาเฉิงฉือขึ้นมา รีบดึงแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ข้า…ข้ายังคงฟังคำของท่าน จะรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือประหลาดใจยิ่งนัก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “มีใครมาพูดอะไรกับเจ้าใช่หรือไม่”
นางคิดว่าท่านน้าฉือจะดีใจเสียอีก!
โจวเสาจิ่นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดตกแล้วเจ้าค่ะ! จริงๆ ข้าไม่รู้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และก็ไม่รู้ว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ส่วนใดบ้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่าน ไม่สู้ข้ารั้งอยู่ต่อไป ช่วยท่านจัดเรียงความคิดอะไรได้บ้าง รอให้ท่านหาปมปัญหาเจอแล้ว ข้าจะได้จากไปอย่างสบายใจขึ้นบ้างเจ้าค่ะ”
อารมณ์ของเฉิงฉือปั่นป่วน ราวกับว่ามีอะไรจะปะทุออกมา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด
เจ้าเด็กโง่ผู้นี้ ถูกทำร้ายมาหนักขนาดนั้น หากเป็นผู้อื่นคงรีบหนีไปให้ไกลแล้ว แต่นางก็ดี กลับวิ่งกลับมาด้วยตัวเอง
เฉิงฉือไม่กล่าวอะไรไปครู่ใหญ่ ตอนที่เอ่ยปากกล่าวอีกครั้ง น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ต่อให้ตระกูลเฉิงจะถูกตรวจสอบ นั่นก็เป็นเรื่องของอีกสิบเอ็ดปีข้างหน้า เจ้ารั้งอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์มากมายเท่าไร ตามมารดาเลี้ยงของเจ้ากลับไปที่เมืองเป่าติ้งจะดีกว่า นอกจากนี้ เฉิงสวี่ใกล้จะกลับมาแล้ว มิใช่ว่าเจ้าไม่อยากเจอเขาหรอกหรือ”
นิ้วของโจวเสาจิ่นพันเข้าหากัน ก้มหน้ากล่าวว่า “ข้า…ข้าจะป้องกันตัวเองเจ้าค่ะ” ชาติก่อนนางเสมือนกับนกกระจอกเทศที่ไม่คิดถึงเรื่องนี้ ชาตินี้ก็เหมือนกัน
นางเงยหน้าขึ้น เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก็เพราะว่าเรื่องที่ตระกูลเฉิงจะถูกตรวจสอบเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบเอ็ดปีข้างหน้า ข้าจึงยิ่งควรรั้งอยู่ต่อ ท่านน้าฉือ ท่านไม่รู้อะไรเลย ส่วนข้ากลับรู้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นบ้างในอีกสิบเอ็ดปีข้างหน้า มิใช่มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า ‘ไร้ซึ่งก้าวเล็กๆ ย่อมมิอาจบรรลุระยะทางพันหลี่ ไร้ซึ่งน้ำพุสายเล็กๆ ย่อมมิอาจกลายเป็นแม่น้ำหรือทะเลได้’ หรอกหรือเจ้าคะ ความล่มจมของตระกูลเฉิงย่อมมิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน หากพวกเราเริ่มต้นตรวจสอบเสียแต่ตอนนี้ ย่อมดีกว่าและปลอดภัยกว่าค่อยคิดหาวิธีรับมือเอาตอนเวลากระชั้นชิดนะเจ้าคะ”
เฉิงฉือมองใบหน้าจริงจังทว่าเผยให้เห็นความสดใสที่อยู่เบื้องหน้าใบหน้านั้นแล้ว เม้มริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ กล่าวเสียงนุ่มว่า “เสาจิ่น เจ้าใช้ ‘การกลับมามีชีวิตใหม่’ ซึ่งมิใช่ ‘ความฝัน’ มากรอบประสบการณ์อันขมขื่นของเจ้า จะบอกว่า ชีวิตในชาติก่อนของเจ้าก็เหมือนกับชาตินี้ ที่ต้องใช้เวลาทุกลมหายใจ ทุกเค่อ และทุกชั่วยามไปอย่างขมขื่นใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเหตุใดเฉิงฉือถึงถามเรื่องพวกนี้กับนางในเวลานี้ แต่นางก็ยังคงตอบตามความสัตย์จริงว่า “บางครั้งก็รู้สึกว่าวันเวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า หวังให้เป็นเพียงความฝัน ที่พอลืมตาตื่นขึ้น ข้าก็กลับไปยังอดีต ที่ยังคงเล่นแข่งไขว้ต้นหญ้าอยู่บนพื้นหญ้าภายใต้พระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิกับชุนหว่าน ยังคงขังตัวเองอยู่ในห้องอย่างขุ่นเคืองเนื่องจากพี่สาวมีเสื้อผ้าชุดใหม่มากกว่าข้า…ตอนนั้นข้าคิดว่า หากข้าได้ย้อนเวลากลับไปยังอดีตจะดีเพียงใด…คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งข้าจะได้ย้อนกลับมายังอดีตจริงๆ…”
น่าเสียดายที่เป็นอย่างที่ท่านน้าฉือกล่าวมา ว่าทุกลมหายใจ ทุกเค่อ และทุกชั่วยามนางล้วนต้องตรากตรำไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างยากเย็น
เวลานั้น อยู่ไม่สู้ตายจริงๆ ทว่าก็ไม่อาจตายได้
นางยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ได้ส่งพี่สาวไปอยู่ต่างที่ ทำให้พี่สาวไม่ต้องเจ็บปวดใจมากขนาดนั้นอีก
ปากของเฉิงฉืออ้าแล้วก็หุบ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฉะนั้นเจ้าก็อย่าเสียใจอีกเลย! เจ้าดู โลกนี้จะสักกี่คนที่โชคดีเหมือนเจ้าบ้าง เห็นได้ชัดว่าพระพุทธองค์ช่างเมตตาเจ้ายิ่งนัก”
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้า ดวงตาโตโค้งมนจนคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
ปกติท่านน้าฉือพูดจาฉะฉาน ไม่เคยมีอาการลังเลหรือละล้าละลังมาก่อน แต่เมื่อครู่ริมฝีปากกลับเปิดๆ ปิดๆ ครู่หนึ่งแล้วถึงเอ่ยปากกล่าว เขาต้องมิได้คิดจะปลอบโยนนาง แต่อยากจะถามอะไรบางอย่างกับนางมากกว่า แต่ก็กลัวว่านางจะเสียใจ ก็เลยเปลี่ยนใจไม่ถามกะทันหัน
นางกัดริมฝีปากอย่างอดไม่ได้
ตกลงท่านน้าฉืออยากถามอะไรนางกันแน่นะ
จะเกี่ยวกับเรื่องที่นางถูกหยามเกียรติหรือไม่
หากมิใช่ว่าสุดท้ายแล้วตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และลงโทษทั้งตระกูลโดยไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียวล่ะก็ นางก็คงจะสงสัยว่าเรื่องของตระกูลเฉิงเป็นผลมาจากการฟาดฟันกันลับๆ ระหว่างจวนรองกับจวนสามแล้ว
แต่นางรู้สึกว่าเรื่องที่ตระกูลเฉิงถูกยึดทรัพย์และลงโทษนี้ต้องไม่ได้เกิดจากเรื่องความแค้นส่วนตัวธรรมดาๆ เป็นแน่
ต่อให้จวนรองกับจวนสามจะสร้างความวุ่นวายอย่างไร แต่ก็ไม่น่าจะลากซอยจิ่วหรูทั้งหมดลงไปด้วย
อย่างไรก็ตาม หากหายนะของซอยจิ่วหรูเกิดจากความขัดแย้งระหว่างจวนหลักกับจวนรองเล่า
เรื่องที่เกิดที่สวนดอกไม้นั่น ก็ยิ่งต้องบอกให้เฉิงฉือรู้
โจวเสาจิ่นรู้สึกสมองตื้อเล็กน้อย
เฉิงฉือกล่าวขึ้นก่อนว่า “เสาจิ่น เจ้าน่าจะไม่ได้พบหน้าบิดาของเจ้ามานานแล้วกระมัง เป่าติ้งเป็นสถานที่ที่ไม่เลวนัก เจ้าไม่สู้ตามมารดาเลี้ยงของเจ้ากลับไปที่เป่าติ้งตามความปรารถนาเดิมของเจ้า ไปใช้เวลาอยู่กับบิดาของเจ้าดีๆ ช่วงหนึ่ง รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแล้ว ข้าค่อยรับเจ้ากลับเมืองจินหลิง มาอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ของข้าช่วงหนึ่ง…”
เหตุใดถึงอยากให้นางไปอยู่เป่าติ้งช่วงหนึ่งด้วยเล่า
ไปๆ มาๆ ช่างวุ่นวายและเหน็ดเหนื่อยยิ่ง
ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสเหล่านั้นจะพูดกันว่า ‘คนที่ไม่ต้องออกเดินทางไปไหนตลอดชีวิต ถือเป็นคนมีวาสนาดีผู้หนึ่ง’ ไปเพื่ออะไร
โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉืออย่างฉงนสงสัย
นัยน์ตาของเฉิงฉือสุกใสประหนึ่งดวงดาราที่พร่างพราวอยู่บนฟากฟ้ายามค่ำคืน ทว่าเวลานี้กลับดูมืดมนเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
เดือนแปดมีการสอบขุนนางช่วงสารทฤดู
เพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อนอบอ้าวช่วงฤดูร้อน และก็เพื่อเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับการสอบที่สุดแล้ว เฉิงสวี่จึงน่าจะกลับมาถึงซอยจิ่วหรูช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ท่านน้าฉือรู้ทุกเรื่องใช่หรือไม่
ไม่ว่านางจะเล่าหรือไม่เล่าก็ตาม
ด้วยความฉลาดและเก่งกาจของเฉิงฉือแล้ว จะไม่ทราบได้อย่างไร
ขอบตาของนางรื้นชื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านน้าฉือแสดงความเป็นห่วงและใส่ใจออกมาอย่างเงียบๆ หรือเป็นเพราะความทรงจำอันไม่น่าจดจำที่ถูกกดทับและเก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจได้ถูกระลึกถึงขึ้นมาอีกครั้งกันแน่
โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลง
นางไม่อยากจะเผยความอ่อนแอออกมายามอยู่ต่อหน้าท่านน้าฉือเช่นนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกลับเสียอาการครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างควบคุมไม่ได้
เพื่อมิให้เฉิงฉือสังเกตเห็น นางรีบใช้หลังมือเช็ดที่หางตาอย่างรวดเร็ว
เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นที่เห็นๆ อยู่ว่ากำลังเสียใจเป็นอย่างมากทว่ากลับฝืนเอาไว้ด้วยไม่อยากให้ผู้อื่นสังเกตเห็นแล้ว ก็อดทอดถอนใจอยู่ในใจไม่ได้
เขายื่นมือออกไป หมายจะแตะที่ศีรษะนางเบาๆ เพื่อปลอบโยน แต่ยื่นมือออกไปถึงกลางอากาศแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร
นางเป็นเด็กสาวที่อ่อนโยนผู้หนึ่ง และก็มิใช่สหายที่ร่วมออกเดินทางเหล่านั้น
เฉิงฉือชะงักมือครู่หนึ่ง สุดท้ายก็วางลงบนกลางศีรษะของโจวเสาจิ่น ลูบศีรษะนางอย่างเอ็นดู กล่าวเสียงขรึมว่า “เด็กดี! เจ้าจงเชื่อฟัง ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าข้าค่อยไปรับเจ้า เจ้าก็อยู่ฉลองปีใหม่กับบิดาของเจ้าที่เมืองเป่าติ้งให้สบายใจ” กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็นึกถึงคำสัญญาของตัวเองขึ้นมา กล่าวอีกว่า “หากข้าได้ผ่านไปทางเมืองเป่าติ้ง จะไปเป็นแขกที่บ้านของเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าต้องอย่าลืมทำขนมมาให้ข้ากินด้วย แล้วก็ต้องทำให้อร่อย เพราะข้าไม่กินขนมที่ไม่อร่อย”
“ท่านน้าฉือ!” น้ำตาของสองชาติภพช่างหนักหนา ไหลพรากออกมาไม่หยุด โจวเสาจิ่นกระโจนเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเฉิงฉือ กอดเอวของเขาเอาไว้ร้องไห้ ฮือฮือ ออกมา “ท่านน้าฉือ…ท่านน้าฉือ…”
เฉิงฉือรู้สึกโศกสลดใจเล็กน้อย
ความเจ็บปวดที่คนอธิบายไม่ได้บดขยี้ผู้คนได้มากที่สุด
ความโดดเดี่ยวและเดียวดายนั้น คนที่ไม่เคยพานพบมาก่อนย่อมไม่มีทางเข้าใจมันได้
“เอาล่ะๆ อย่าร้องอีกเลย” เขาลูบเส้นผมดำดุจเส้นไหมของนางเบาๆ อย่างอ่อนโยนและใจเย็น
โจวเสาจิ่นกลับร้องไห้หนักยิ่งขึ้น
เฉิงฉือปล่อยให้นางร้องไห้ไป เพียงแต่ว่าการกระทำที่ปลอบโยนนางยิ่งดูอ่อนโยนมากขึ้น
โจวเสาจิ่นพลันร้องไห้ออกมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ความสงสัยในใจของเฉิงฉือจึงยิ่งมีมากยิ่งขึ้น
ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้โจวเสาจิ่นร้องไห้จนพอใจ นางก้มหน้าลงเช็ดน้ำตา เขากล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “เสาจิ่น เหตุใดเจ้าถึงไม่ได้แต่งงานกับเจียซ่านหรือ”
โจวเสาจิ่นมิใช่บุตรสาวจากตระกูลเล็กตระกูลน้อยประเภทนั้น โจวเจิ้นเองก็มิใช่คนที่จะขายบุตรสาวเพื่อผลประโยชน์ประเภทนั้น เมื่อเกิดเรื่องแล้วจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกดเรื่องเอาไว้ได้ มีแต่ต้องไกล่เกลี่ยให้เรื่องราบรื่นมากขึ้นเท่านั้น
โจวเสาจิ่นรู้ดีว่าตนไม่อาจหลีกเลี่ยงคำถามนี้ไปได้
แต่ขอเพียงนางไม่ต้องเอ่ยปากเล่าด้วยตัวเอง นางล้วนทนได้
“ข้าไม่อยากแต่งให้เขาเจ้าค่ะ!” นางกล่าวออกมาราวกับเสียงของยุง
เฉิงฉือยิ่งรู้สึกว่ามันน่าแปลก อีกทั้งยังกลัวว่าจะทำให้นางตกใจกลัว จึงกล่าวเสียงนุ่มว่า “แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่อยากแต่งให้เขา!”
คนปกติทั่วไปเมื่อพานพบเรื่องเช่นนี้แล้วมิใช่ว่าล้วนยอมรับชะตากรรมหรอกหรือ นับประสาอะไรกับโจวเสาจิ่นที่มีนิสัยเชื่อฟังว่าง่ายเพียงนี้
โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงเบาว่า “ฮูหยินหยวนหมายจะสู่ขอหญิงสาวของตระกูลหมิ่นที่ฝูเจี้ยนมาเป็นสะใภ้ ข้าไม่อยากต้องคอยมองสายตาของนาง”
คำตอบนี้ทำให้เฉิงฉือประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เสาจิ่นเองก็มีด้านที่ดื้อรั้นเพียงนี้อยู่ด้วย…แต่ก็ถือว่าฉลาดยิ่งนัก!
หยวนซื่อเป็นคนประเภทที่ยิ่งได้มายาก ก็ยิ่งรู้สึกว่าดี
การดึงดันของเสาจิ่นมีแต่จะทำให้หยวนซื่อเหยียดหยาม
ด้วยเหตุนี้สุดท้ายเสาจิ่นจึงแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่ง และแสร้งเป็นสามีภรรยาหลอกๆ กับหลินซื่อเซิ่ง
คิดถึงตรงนี้ เฉิงฉือตกเข้าไปอยู่ในภวังค์ความคิดอย่างช่วยไม่ได้
ภายในห้องพลันเงียบเชียบ คล้ายกับจะได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มกระทบพื้น
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเฉิงฉือ
เฉิงฉือหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าดูเคร่งเครียด ราวกับได้พานพบกับปัญหาอันใหญ่หลวงบางอย่างก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นรู้สึกเป็นกังวลใจเล็กน้อย ส่งเสียงเรียกเบาๆ ว่า “ท่านน้าฉือ”
เฉิงฉือได้สติคืนกลับมา หันมายิ้มให้นางอย่างปลอบโยน จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างไตร่ตรองว่า “เสาจิ่น ข้ากำลังคิด ตระกูลเฉิงเองก็ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ชื่อเสียงไม่ด้อย ญาติสนิทมิตรสหายก็มีกระจายทั่วทั้งในและนอกราชสำนัก หากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ต้องการกำจัดตระกูลเฉิง มีแต่ต้องใช้วิธีเผด็จการ ใช้อำนาจกุดหัวตระกูลเฉิงอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาดเท่านั้น คนที่อยู่ที่จิงเฉิง ย่อมเป็นศาลต้าหลี่เป็นผู้จัดการ บรรดาเด็กและสตรีที่จินหลิง ต้องเป็นเจ้าเมืองจินหลิงเป็นผู้จัดการ ส่วนผู้ที่รับราชการอยู่ต่างถิ่น โดยมากน่าจะถูกกุดหัวโดยศาลประจำท้องถิ่นนั้น…”
สายตาที่โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉือเต็มไปด้วยความชื่นชม
ท่านน้าฉือเพียงฟังคำบอกเล่าจากนางเพียงไม่กี่ประโยค ก็ราวกับมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งก็ไม่ปาน คาดเดาได้ถูกต้องทุกอย่าง!
นางพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
ทว่าเฉิงฉือกลับเปลี่ยนเรื่อง กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ช่วงเวลาที่เจ้าย้อนกับมานั้น บิดาของเจ้าดำรงตำแหน่งอะไร”
โจวเสาจิ่นรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ได้มีสติปัญญาเท่าเฉิงฉือ จึงไม่คิดจะไปคาดเดาเจตนาของเฉิงฉือมากไปกว่านี้ นางเพียงต้องตอบคำถามของเฉิงฉืออย่างสัตย์จริงที่สุดก็พอ
นางตอบอย่างเชื่อฟังว่า “เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดก่วงตงเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือตะลึงงัน
นานครู่ใหญ่ ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “แล้วพี่เขยของเจ้าดำรงตำแหน่งอะไร”
โจวเสาจิ่นอ้าปากพะงาบ ประหนึ่งปลาที่ถูกโยนขึ้นมาอยู่บนฝั่ง หายใจไม่ออก
ก่อนนางจะย้อนกลับมาเลี่ยวเส้าถังผู้เป็นพี่เขยของนางดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยจานซื่อประจำสำนักจานซื่อ ดำรงยศขั้นสี่ผิ่น ยังเป็นอาจารย์สอนบัณฑิตในสำนักฮั่นหลินอีกด้วย
อายุสามสิบสองปีเท่านั้น!
เลี่ยวเส้าถังสอบผ่านจิ้นซื่อในปีการสอบซินโฉ่ว รัชศกจื้อเต๋อปีที่ยี่สิบสี่
จากนั้นเขาสอบผ่านวุฒิราชบัณฑิตหลวงได้เป็นซู่จี๋ซื่อ ฝึกงานอยู่ที่กรมขุนนางสามปี
หลังจากผ่านช่วงฝึกงานแล้ว เขาก็ทำงานอยู่ที่กรมขุนนางต่อโดยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายพลเรือน
กล่าวได้ว่า การไต่เต้าจากยศขั้นเจ็ดผิ่นจนถึงยศขั้นสี่ผิ่นนั้น เขาใช้เวลาสั้นๆ ไปเพียงสี่ปีเท่านั้น
“ไม่ๆๆ!” โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าว ไปคว้ามือของเฉิงฉือเอาไว้แน่น แรงที่มือของนางในเวลานี้ ทำให้เฉิงฉืออดสงสัยไม่ได้ว่านางคงใช้แรงที่มีทั้งหมดของร่างกายนางแล้วกระมัง “ไม่ใช่เรื่องจริง ต้องไม่ใช่เรื่องจริง! พี่เขยของข้า เขาเป็นคนดี เขาไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่…”
ตระกูลเลี่ยวเสื่อมอำนาจมานานแล้ว หากมิได้ตระกูลเฉิงส่งเสริมอยู่เบื้องหลัง ต่อให้พี่เขยมีความสามารถเยี่ยมยอดเพียงใด ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จอยู่ในตำแหน่งที่คนอื่นอาจต้องใช้เวลาสั่งสมมาทั้งชีวิตในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีได้
เหตุใดเมื่อก่อนนางถึงไม่เคยเอะใจมาก่อน!
……………………………….