ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 266 กลับมาเยี่ยมบ้าน
เสียงพูดของซางมามาเพิ่งจะสิ้นสุดลง ก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากเรือนหลัก
ปี้อวี้ยิ้มร่าขณะเลิกผ้าม่านขึ้นส่งฮูหยินท่าทางอายุประมาณสามสิบสี่สามสิบห้าปีผู้หนึ่งเดินออกมา
ฮูหยินผู้นั้นสูงปานกลาง รูปร่างเจ้าเนื้อสมบูรณ์ ผิวขาวละเอียด สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าเนื้อละเอียดสีฟ้าตัวหนึ่ง หน้าตาดูอ่อนน้อมว่านอนสอนง่าย ส่งสัญญาณทางสีหน้าบอกปี้อวี้ว่าส่งแค่นี้ก็พออย่างใจดี
โจวเสาจิ่นคาดเดาว่านางน่าจะเป็นฮูหยินเก้าของตระกูลกู้ผู้นั้น
ปี้อวี้กล่าวซ้ำๆ ไม่หยุดว่า “มิกล้าเจ้าค่ะ” เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นโจวเสาจิ่น
นางหันมายิ้มให้โจวเสาจิ่น
ฮูหยินกู้ที่เก้ามีสายตาแหลมคมยิ่งหันมามองตามสายตาของปี้อวี้
อาจจะเพราะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย สายตาที่นางมองโจวเสาจิ่นจึงเผยความประหลาดใจและถูกดึงดูดออกมาให้เห็นเล็กน้อย ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งถึงได้หันมาพยักหน้าให้โจวเสาจิ่น แล้วออกจากเรือนหานปี้ซานไปโดยมีปี้อวี้เดินไปส่ง
โจวเสาจิ่นเข้าไปในเรือนหลัก
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูอ่อนล้าเล็กน้อย กำลังหลับตาลงโดยมีหมาเหน่าช่วยนวดขมับให้นางไปด้วย
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ!”
หมาเหน่ามองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างลังเลไปครั้งหนึ่ง ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับกล่าวขึ้นโดยไม่ได้ลืมตาว่า “ให้เสาจิ่นนวดให้ข้าก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นยิ้มขณะเดินเข้าไปรับช่วงต่อจากหมาเหน่า
นางไม่ได้ไว้เล็บยาว นิ้วผอมเรียวทว่าไม่ได้ผอมโกรกจนเห็นกระดูก กลับกันมันค่อนข้างนุ่มละมุน นวดจนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกสบายยิ่งนัก ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงลืมตาขึ้นมากล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด”
โจวเสาจิ่นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเรียบร้อย กล่าวขึ้นว่า “มาได้ครู่หนึ่งแล้วเจ้าค่ะ เห็นฮูหยินกู้ที่เก้ากำลังสนทนากับท่านอยู่ จึงไปดื่มชาที่ห้องน้ำชา ได้พบท่านน้าฉือที่นั่น จึงได้คุยกับท่านน้าฉืออยู่ครู่หนึ่งด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงว่าบนร่างของเจ้ามีกลิ่มหอมอ่อนๆ ของน้ำหอม ‘ดั่งที่ได้ยินมา’ อยู่ด้วย’”
โจวเสาจิ่นงุนงงไปเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งหน้าถึงได้ขึ้นสีแดงเรื่อ
ต้องติดมาตอนที่นางโผตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของท่านน้าฉือตอนนั้นเป็นแน่
นางลอบชำเลืองมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวครั้งหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถือกระจกบานหนึ่งกำลังจัดแต่งทรงผมอยู่พอดี จึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของนาง
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี ได้แต่ถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางกระจกบานนั้นลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจกล่าวว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร คนอย่างอาจารย์ชิงหงผู้นั้น เพื่อชื่อเสียงแล้วทายาทรุ่นหลังของเขาถึงกับมีปัญหากัน ข้าคิดๆ แล้วก็เสียดายแทนอาจารย์ชิงหง”
ตอนอยู่บนเรือฮูหยินผู้เฒ่าพูดถึงข้อพิพาทบาดหมางของตระกูลผู้มีอิทธิพลต่างๆ ให้โจวเสาจิ่นฟังไม่น้อย ตอนนี้นางฟังแล้วก็พอจะเข้าใจสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวได้ไม่มากก็น้อย
นางยกน้ำชาที่สาวใช้ยกเข้ามาให้ไปวางเบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวยิ้มๆ ว่า “บรรดาอาจารย์หญิงที่สอนหนังสือต่างพูดว่า เรื่องราวต่างๆ ภายใต้ผืนฟ้านี้ อยู่รวมกันนานไปก็ต้องแยกจาก แยกจากกันนานไปก็ต้องมารวมกันมิใช่หรือเจ้าคะ เวลาผ่านไปนานวันเข้า มีตระกูลใดบ้างที่ไม่แยกบรรพบุรุษ ต่อให้ไม่แยกบรรพบุรุษ โดยมากก็จะถูกทางการจับตามอง ขอเพียงบุตรหลานใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของตระกูลอย่างขาวสะอาด ไม่ทำลายชื่อเสียงของบรรพบุรุษก็ถือว่าดีมากแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า พลางกล่าว “ทำไมข้าจะไมรู้ เพียงแต่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อยก็เท่านั้น!”
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “หรือไม่ ข้าออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่ ดอกไม้ในสวนต่างเบ่งบานกันหมดแล้ว งดงามเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลังเลใจเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นจึงดึงมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ “ท่านลองไปดูเถิดเจ้าค่ะ! งดงามยิ่งนัก!”
ในน้ำเสียงแฝงความออดอ้อนเอาไว้หลายส่วน
ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนึกถึงเฉิงเซิงที่เติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของนางมาตั้งแต่เล็กๆ ขึ้นมาในทันใด
แต่โจวเสาจิ่นก็ไม่เหมือนเฉิงเซิง
ยามเฉิงเซิงออดอ้อนจะแฝงความเอาแต่ใจอยู่ด้วยเล็กน้อย ส่วนโจวเสาจิ่นกลับแฝงเอาไว้ด้วยความอ่อนหวานอยู่หลายส่วน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นางจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้แล้วลุกขึ้นยืน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ได้ พวกเราไปนั่งดื่มชาในสวนดอกไม้กัน!”
โจวเสาจิ่นเม้มปากยิ้ม
สื่อมามารีบก้มหน้าลง
นางกลัวว่าผู้อื่นจะสังเกตเห็นความประหลาดใจของนาง
กี่ปีแล้วที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้ปล่อยตัวสบายๆ เช่นนี้?
คิดไม่ถึงว่าคุณหนูเล็กๆ ผู้หนึ่งจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปลี่ยนความคิดได้
ดูทีแล้วเมื่อก่อนตนคงจะดูเบาคุณหนูรองตระกูลโจวมากเกินไปเสียแล้ว
นางรีบสั่งการให้สาวใช้เด็กนำผ้าเช็ดหน้า กาน้ำชา หมอนอิง เบาะนั่งและอื่นๆ ตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวและโจวเสาจิ่นไปที่สวนดอกไม้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและโจวเสาจิ่นนั่งรับลมอยู่ในศาลาริมน้ำ จิบน้ำชาพร้อมกับกินขนมไปด้วย พลางเอ่ยถึงเรื่องของตระกูลกู้กับนางขึ้นมาว่า “…เนื่องจากไม่อนุญาตให้สร้างบ้านส่วนตัว เงินที่ได้มาเป็นของทุกคน บ้านที่มีบัณฑิตย่อมไม่แสดงความเห็นอะไร แต่บ้านที่ไม่มีบัณฑิตรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ให้ข้าไปช่วยพูด ข้าจะพูดอะไรได้ ในเมื่อนี่เป็นเรื่องของตระกูลกู้ของพวกเขา”
โจวเสาจิ่นรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวปวดหัวกับเรื่องของตระกูลกู้เป็นอย่างมาก เพียงต้องการใครสักคนมาคุยด้วยเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ต้องการให้นางช่วยแสดงความคิดเห็นด้วย เพียงนั่งฟังอยู่ข้างๆ อย่างอ่อนโยน แล้วก็อาจจะถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “เพราะอะไรหรือเจ้าคะ” เป็นครั้งคราว ไม่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกถึงความเย็นชาไม่ใส่ใจ แล้วก็ไม่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกว่ากระตือรือร้นมากเกินไปเท่านั้น
ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่ในศาลาริมน้ำไปตลอดทั้งบ่าย
ซางมามาเข้ามาดูสองครั้ง เห็นโจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวคุยกันอย่างสนุกสนาน ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้
นี่หากว่าปล่อยให้คุณหนูรองไปหาถึงที่เรือนหลีอิน แล้วพบว่านายท่านสี่ไม่อยู่บ้าน ย่อมต้องไม่สบายใจเป็นแน่ ถึงเวลานั้นคนที่จะต้องเดือดร้อนก็คือคนที่รับใช้อยู่ข้างกายอย่างพวกนางเหล่านี้นั่นเอง
ไม่รู้ว่าเมื่อใดจี๋อิ๋งถึงจะกลับมา
คุณหนูรองชอบมาเที่ยวเล่นกับจี๋อิ๋ง ถ้าจี๋อิ๋งอยู่ เวลานายท่านสี่ออกไปทำธุระ คุณหนูรองก็จะได้ไปเล่นกับจี๋อิ๋งได้ คนข้างกายอย่างพวกเขาเหล่านี้ก็จะได้ไม่ต้องรับมือกับคุณหนูรองบ่อยนัก
แต่เร็วๆ มานี้นอกจากนายท่านสี่จะทำการสังหารคนที่เจียงหูแล้ว ยังไปพบตระกูลที่มีอิทธิพลและเป็นผู้นำด้านวรยุทธ์ในเจียงหูที่ไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปีเหล่านั้นอีกด้วย ให้กลิ่นอายของการต่อสู้ในเจียงหูอยู่บ้างเล็กน้อย เรื่องที่จี๋อิ๋งไปทำต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แปดถึงเก้าในสิบส่วนเป็นแน่…
ซางมามาลอบครุ่นคิด กระทั่งถึงเวลาจุดตะเกียงยามเย็นเฉิงถึงได้กลับเข้ามาจากข้างนอก
สีหน้าของเขาดูมีความสุข ส่วนไหวซานที่ตามอยู่ด้านหลังของเขาหอบกล่องไม้จันทน์แดงเอาไว้กล่องหนึ่ง
ซางมามารีบก้าวออกไปทำความเคารพ
เฉิงฉือถามนาง “คุณหนูรองกลับออกไปเวลาใด หลังจากที่ข้าออกไปแล้ว คุณหนูรองทำอะไรบ้าง”
“คุณหนูรองกลับออกไปยามเซิน[1]เจ้าค่ะ!” ซางมามากล่าวยิ้มๆ “หลังจากที่ท่านออกไปแล้ว คุณหนูอยู่สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่าตลอดทั้งบ่ายเลยเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้มาที่เรือนหลีอินเลยหรือ”
“ให้แม่นางชุนหว่านมาสอบถามครั้งหนึ่ง” ซางมามากล่าวยิ้มๆ “พอได้ยินว่าท่านไม่อยู่ ก็ไม่ได้มาอีกเลยเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือได้ยินแล้วสีหน้ายิ่งดูอบอุ่นมากขึ้น
เขารู้ดีว่า ไม่มีทางที่เด็กผู้นั้นจะปล่อยให้เรื่องแล้วกันไปเช่นนี้เป็นแน่
เฉิงฉือไล่ซางมามาออกไป เปิดกล่องไม้จันทน์แดงที่นำกลับมาด้วยอยู่ตรงบริเวณหน้าโต๊ะหนังสือ
ค่อยๆ วางรูปแกะสลักองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมท่านั่งขัดสมาธิที่แกะสลักมาจากหยกมันแพะขาวนวลทั้งชิ้นลงบนผ้าผืนนุ่มสีแดง
ใบหน้าอิ่มเต็ม ท่วงท่าสุขุมเยือกเย็น สีหน้ามีเมตตา เสาจิ่นจะต้องชอบอย่างแน่นอน!
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
แต่เดินไปได้เพียงครึ่งทาง เขาก็หยุดฝีเท้าลง แล้วย้อนกลับมา
ไปหารือกับมารดาเรื่องที่โจวเสาจิ่นจะย้ายมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ออกจะเร็วไปสักหน่อย…
***
โจวเสาจิ่นที่กลับถึงถนนผิงเฉียวแล้วกลับรู้สึกกรุ่นโกรธเป็นอย่างมาก
ท่านน้าฉือเพิ่งจะรับปากนางไปเองว่าไม่ว่าเวลาไหนก็จะให้นางตามหาเขาเจอได้ทุกเมื่ออยู่หยกๆ แต่ปรากฏว่าเพียงนางหมุนกายไปก็หาเขาไม่เจอแล้ว
นอกจากนี้ นางยังลืมถามท่านน้าฉือว่าช่วงนี้เขาทำอะไรอยู่บ้าง
นางนึกถึงคำพูดของเฉิงฉือที่กล่าวกับนางขึ้นมา
ดูเหมือนว่าท่านน้าฉือจะยุ่งมาก!
โจวเสาจิ่นนั่งเท้าคางอยู่ข้างหน้าต่างเป็นเวลานาน กระทั่งท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว นางถึงได้ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง แล้วตะโกนเรียกให้ชุนหว่านมาปรนนิบัตินางอาบน้ำ
หลี่ซื่อเข้ามาถามนางว่าต้องการของว่างยามดึกหรือไม่ แล้วก็ถือโอกาสถามถึงเรื่องที่นางไปเรือนหานปี้ซานด้วย “…เหตุใดถึงกลับมาเย็นเพียงนี้”
โจวเสาจิ่นฟังออกว่าในน้ำเสียงของนางมีอะไรบางอย่าง เอ่ยขึ้นอย่างเสียไม่ได้ว่า “ฮูหยินมาหาข้าคงมีเรื่องอะไรกระมัง”
หลี่ซื่อดูอารมณ์หดหู่ลงเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อของเจ้าส่งจดหมายมาแล้ว บอกว่าเรื่องงานแต่งของหลานสาวที่บ้านเดิมของข้านั้น อย่าเพิ่งกล่าวถึงจะดีกว่า”
ท่านพ่อคงจะกลัวการเกี่ยวดองกับจวนรองกระมัง
โจวเสาจิ่นได้แต่กล่าวว่า “บางทีท่านพ่ออาจจะมีแผนการอื่นอยู่ก็เป็นได้ รอให้ท่านกลับเป่าติ้งแล้ว ค่อยคุยกับท่านพ่อดีๆ อีกทีก็ได้เจ้าค่ะ”
“คงได้แต่ต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว” หลี่ซื่อทอดถอนใจกล่าว “เจ้าไปจวนหลัก หากมีผู้ใดที่เหมาะสม ช่วยดูให้ข้าสักหน่อย”
โจวเสาจิ่นรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็ขานรับไป
ใบหน้าของหลี่ซื่อถึงได้มีรอยยิ้มปรากฏออกมา กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบพักผ่อนเถิด! อีกสองวันคุณหนุใหญ่ก็จะกลับมาแล้ว ข้ากำลังคิดอยู่ว่าในวันสรงน้ำพระพุทธเจ้านั้นจะทำอย่างไรกันดี”
“หากท่านอยากไปจุดธูปเทียนที่วัดก็ไปได้เลยเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าอยู่เฝ้าบ้านให้เอง”
หลี่ซื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าไม่ไปดีกว่า
โจวเสาจิ่นถอนหายใจเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
หากเป็นมารดาแท้ๆ ของตัวเอง ไม่ต้องกล่าวถึงวันสรงน้ำพระพุทธเจ้า แม้แต่วันเทศกาลเก้าคู่ก็เกรงว่าจะไม่ไปกระมัง!
สุดท้ายแล้วคนที่รักนางที่สุด ก็ยังคงเป็นพี่สาวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาของนางอยู่ดี
โจวเสาจิ่นจัดเตรียมอาหารอย่างพิถีพิถัน กระทั่งวันที่พี่สาวกลับมาวันนั้น นางตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ เปลี่ยนไปสวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงของผลอิงเถาให้เข้ากับวันแห่งความยินดีทว่าก็ไม่ได้แย่งชิงความโดดเด่นของแขก ผมดำดุจเส้นไหมเกล้าขึ้นเป็นมวยคู่ ปักเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมไข่มุกจากทางใต้ที่เฉิงฉือมอบให้ ยืนรออยู่ที่ประตูชั้นใน
เนื่องจากโจวเจิ้นไม่อยู่บ้าน ตระกูลโจวมีเพียงสตรีและเด็กอย่างหลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นสองคนเท่านั้น หลี่ซื่อจึงเชิญคนจากตระกูลเฉิงจวนสี่มาอยู่ต้อนรับแขกด้วย
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่ไม่ได้เจอโจวเสาจิ่นมาหลายวันยิ้มตาหยีขณะมองสำรวจนาง นัยน์ตาแฝงความพึงพอใจเอาไว้อย่างปิดไม่มิด กล่าวขึ้นว่า “ชูจิ่นกลับมาเยี่ยมบ้านถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงเรียกให้พี่ชายอี้ของเจ้ามาช่วยรับแขกด้วย วันนี้เขากับลุงใหญ่เหมี่ยนและพี่ชายเก้าของเจ้าช่วยรับแขกอยู่ด้านนอก”
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
นางพึมพำกล่าวขอบคุณ จากนั้นเกี้ยวของโจวชูจิ่นก็มาถึงพอดี
โจวเสาจิ่นเขย่งเท้าขึ้น เห็นภรรยาของหม่าฟู่ซานพร้อมด้วยสาวใช้และป้าอีกสี่ถึงห้าคนล้อมหน้าล้อมหลังภรรยาสาวสวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดผู้หนึ่งเดินเข้ามาทางนี้
“ท่านพี่!” โจวเสาจิ่นโผเข้าไปหา
“เสาจิ่น!” โจวชูจิ่นเองก็ดีใจมาก จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น
สองพี่น้องพากันร้องไห้ออกมา
“นี่ทำอะไรกันอยู่หรือ” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพลางกล่าวอย่างเคืองๆ “วันน่ายินดี ร้องไห้ทำไมกัน รีบหยุดร้องเสีย แล้วตามข้าไปนั่งที่เรือนหลักเถิด พวกเจ้าสองพี่น้องก็จะได้คุยกันดีๆ ด้วย”
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นเช็ดหางตาอย่างเขินอาย
โจวเสาจิ่นถามโจวชูจิ่นว่า “พี่เขยเล่า”
โจวชูจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย
แต่นางก็ยังคงกล่าวว่า “ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนนั่งดื่มชาเป็นเพื่อนพี่เขยของเจ้าอยู่ที่โถงรับรองแขกของเรือนชั้นนอก!”
โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองหลุดเสียอาการไป
ชาติก่อนพี่สาวและพี่เขยปฏิบัติกับนางดั่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง จึงไม่ได้ระวังตัว คิดไม่ถึงว่าชาตินี้กลับมีความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงเช่นนี้
นี่อาจจะเป็นเพราะได้อย่างก็ต้องเสียอย่างกระมัง
มิใช่ว่าชาตินี้นางได้พบกับท่านน้าฉือแล้วหรอกหรือ
แต่ไม่นานโจวเสาจิ่นก็โยนความเสียใจนี้ทิ้งเอาไว้ด้านหลัง คล้องแขนพี่สาวเดินไปที่เรือนหลักอย่างเบิกบาน
กระทั่งพวกสาวใช้เด็กยกน้ำชาและขนมมาขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและหลี่ซื่อถามถึงเรื่องหลังแต่งงานของโจวชูจิ่นขึ้นมา โจวเสาจิ่นถึงได้รู้ว่า ฟางซื่อผู้เป็นแม่สามีของโจวชูจิ่นตัดสินใจว่า ไม่ว่าเลี่ยวเส้าถังจะสอบผ่านการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูของปีนี้หรือไม่ ฟางซื่อยังคงตัดสินใจส่งโจวชูจิ่นสองสามีภรรยาไปอยู่ที่จิงเฉิงอยู่ดี
…………………………………………………………………
[1] ยามเซิน ประมาณสิบหกนาฬิกา