ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 268 หวนคืน
“อ่า!” โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นี่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องการให้นางไปดูเฉิงอี้กระทำเรื่องโง่เขลานี่นา!
ถึงว่าปี้อวี้หันมาขยิบตาให้นาง
แต่ทำไมฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า
โจวเสาจิ่นไม่ค่อยเข้าใจนัก
อยากจะถามฮูหยินผู้เฒ่ากัว ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับลากนางเดินออกไปด้านนอกด้วยท่วงท่าสง่างาม นางจำต้องโยนความสงสัยในใจเหล่านั้นทิ้งไปชั่วคราวก่อน แล้วตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปยังเรือนเจียซู่
เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวและโจวเสาจิ่น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนประหลาดใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตอนเห็นโจวเสาจิ่นเข้ามา นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากวนมีความละอายสายหนึ่งวาบผ่าน หันศีรษะหนีด้วยไม่กล้ามองโจวเสาจิ่นเล็กน้อย สั่งให้สาวใช้นำน้ำชาและขนมมาขึ้นโต๊ะ จากนั้นหันกลับมาถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านมาได้อย่างไร มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ โดยไม่เผยความคิดในใจ “เจ้าก็ทราบ งานแต่งของหลานเซิงถูกกำหนดลงมาแล้วว่าเป็นวันที่ยี่สิบเดือนห้าของปีนี้ ข้าเรียกเสาจิ่นเข้ามาวาดแบบลายต่างๆ ให้หลานเซิงสักสองสามแบบ ปรากฏว่าได้ยินว่าอี้เกอเอ๋อร์ถูกทำโทษ เสาจิ่นก็เลยนั่งไม่ติดที่แล้ว ข้าจึงมาดูเป็นเพื่อนนาง รอให้เยี่ยมอี้เกอเอ๋อร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่อยตามข้ากลับไปอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากภาพร่างลายดอกไม้ของหลานเซิงเพิ่งจะเริ่มร่างไปได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น” กล่าวจบ ก็ย่นคิ้วขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาในทันที
สาเหตุที่นางยังไม่ไปรับโจวเสาจิ่นก็เพราะกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะทราบเรื่องน่าขายหน้าของอี้เกอเอ๋อร์แล้วจะดูแคลนอี้เกอเอ๋อร์
แต่ใครจะรู้ว่าแผนการของคนจะถูกปัดตกโดยแผนการของสวรรค์ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับโจวเสาจิ่นไปวาดลายดอกไม้ที่เรือนหานปี้ซาน และได้ยินเรื่องที่อี้เกอเอ๋อร์ถูกลงโทษพอดี ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคาดเดาเจตนาของจวนสี่ได้ พอเห็นโจวเสาจิ่นที่ได้ยินว่าอี้เกอเอ๋อร์ถูกลงโทษจนต้องนอนอยู่บนเตียงลุกไม่ขึ้นแล้วอยากมาเยี่ยมอี้เกอเอ๋อร์ จึงกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะได้ยินบางอย่างจากบ่าวรับใช้เหล่านั้น ก็เลยมาเป็นเพื่อนโจวเสาจิ่น แล้วอีกประเดี๋ยวก็จะออกไปพร้อมกับโจวเสาจิ่นด้วย จะได้ไม่มีคำซุบซิบไปถึงหูของโจวเสาจิ่นได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบดีว่าจวนสี่หมายจะเก็บโจวเสาจิ่นเอาไว้ที่บ้าน นี่นางกำลังช่วยเหลือจวนสี่อยู่นี่นา!
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพลันมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยความตื้นตันครั้งหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นว่า “อี้เกอเอ๋อร์เด็กคนนี้ก็ออกจะซนเกินไป เหตุใดถึงทำให้หลานเหมี่ยนต้องขุ่นเคืองใจอีกแล้ว ข้าดูแล้วหลานเหมี่ยนเองก็ออกจะเคร่งครัดกับพวกลูกๆ ไปสักหน่อย เด็กผู้ชายช่วงวัยนี้ หากไม่ดื้อไม่ซนบ้าง เช่นนั้นก็ล้วนแล้วแต่ทึ่มทื่อราวท่อนไม้ ต่อให้เรียนหนังสือได้ดีก็เป็นได้เพียงนายอำเภอขั้นเจ็ดผู้หนึ่งเท่านั้น ถึงแม้จะกล่าวกันว่าแต่งงานแล้วต้องเชื่อฟังสามี สิ้นสามีแล้วต้องเชื่อฟังบุตรชาย แต่เจ้าเองก็น่าจะเกลี้ยกล่อมหลานเหมี่ยนบ้างถึงจะถูก ไม่ว่าเรื่องอะไรยิ่งรีบร้อนก็มีแต่จะยิ่งล่าช้า”
กล่าวคือกำลังช่วยพูดให้อี้เกอเอ๋อร์ต่อหน้าโจวเสาจิ่นนั่นเอง!
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนลอบดีใจเงียบๆ อย่างอดไม่ได้ ในใจรู้สึกสดชื่นประหนึ่งได้ดื่มถั่วเขียวต้มเย็นชื่นใจถ้วยหนึ่งท่ามกลางอากาศร้อนของเดือนหกก็ไม่ปาน รีบกล่าวขึ้นว่า “คำพูดของท่านกล่าวได้มีเหตุผลยิ่ง คราวนี้ทำให้บิดาของเขาโกรธมากจริงๆ จึงลงมือหนักไปหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “อย่างไรก็ตาม เพราะเหตุใดหลานเหมี่ยนถึงต้องลงโทษอี้เกอเอ๋อร์ด้วยหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวขึ้นอย่างกระดากอายเล็กน้อยว่า “จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น กล่าวคือ บิดาของเขาให้เขาไปอ่านตำรา แต่เขากลับวิ่งออกไปเที่ยวเล่นแทน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “นั่นก็เป็นเพราะบ้านของพวกเจ้าเคร่งครัดกับบุตรหลานมากเกินไป นี่หากว่าเป็นบ้านอื่น เกรงว่าคงจะเป็นเพียงเรื่องที่ดุด่ากันไม่กี่ประโยคเท่านั้น”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ ว่า “หยกหากไม่ขัดเกลาก็ใช้งานไม่ได้! เด็กผู้ชายต้องดูแลและปกป้องครอบครัว ต้องเคร่งครัดสักหน่อยถึงจะดีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงถามขึ้นอย่างเอาใจใส่ว่า “แล้วอาการเป็นอย่างไรบ้าง”
“บาดเจ็บบริเวณเนื้อหนังบ้างเท่านั้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ “เขาจะได้จดจำไปนานๆ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง พึมพำกล่าวขึ้นว่า “เจ้าสี่พาบ่าวหญิงนามว่าจี๋อิ๋งผู้นั้นของเขาไปเจ่าหยวนแล้ว ข้าทางโน้นก็เลยเงียบเหงาขึ้นมา…เสาจิ่น มารดาเลี้ยงของเจ้าจะออกเดินทางกลับเมืองเป่าติ้งเมื่อใดหรือ ข้าได้ยินยายของเจ้ากล่าวว่า บิดาของเจ้ายอมตกลงให้เจ้ารั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปแล้ว ประจวบเหมาะกับทางโน้นข้าได้เชิญช่างเย็บปักฝีมือดียี่สิบกว่าคนมาเร่งทำสินสอดให้หลานเซิงพอดี อยากจะให้เจ้าช่วยดูให้สักหน่อย เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนข้าช่วงหนึ่งดีหรือไม่ รอให้ผ่านฤดูร้อนแล้วค่อยย้ายกลับมาฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่เรือนเจียซู่ก็ยังไม่สาย” กล่าวอีกว่า “ส่วนทางด้านของอี้เกอเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งไปเยี่ยมเขาเลย เขาเป็นเด็กผู้ชาย จะได้ไม่เป็นการไปทำลายความมั่นใจในตัวเองของเขา เจ้ามีน้ำใจมามอบให้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี ข้อเสนอของฮูหยินผู้เฒ่ากัวราวกับความช่วยเหลือที่มาทันเวลาพอดี นอกจากนี้เรือนหานปี้ซานยังตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกล น้อยนักที่จะมีคนไปหา โจวเสาจิ่นอาศัยอยู่ที่นั่น ด้วยนิสัยใจคอของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ถ้ามีข่าวลืออะไรออกมา หากไม่ได้รับอนุญาตจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว คนที่เรือนหานปี้ซานนั้นอย่าพูดถึงเรื่องเอามาวิจารณ์กันอย่างลับๆ เลย แม้แต่จะกล่าวอะไรสักประโยคก็ยังทำไม่ได้
“เสาจิ่น เจ้าคิดว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ทว่าไม่รอให้โจวเสาจิ่นได้เอ่ยปากพูด ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “น้องสาวของเจ้าอายุยังน้อย ยังไม่อาจขาดการดูแลของคนเป็นแม่ได้ เกรงว่ามารดาเลี้ยงของเจ้าจิตใจคงจะโบยบินกลับถึงบ้านไปแล้ว”
พูดกันมาถึงตอนนี้ สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งสองท่านกำลังทำอยู่นี้ โจวเสาจิ่นพอจะเข้าใจบ้างแล้วไม่มากก็น้อย
นางรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดค้านการให้นางแต่งกับเฉิงอี้ หรือเพราะได้รับการไหว้วานมาจากท่านน้าฉือ ก็เลยถือโอกาสที่เหมาะเจาะนี้ทำให้ท่านยายยอมให้นางย้ายไปอยู่ที่เรือนหานปี้ซานกันแน่
วันรุ่งขึ้น หลี่ซื่อช่วยนางจัดเก็บหีบสัมภาระ แล้วย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนฝูชุ่ยของเรือนหานปี้ซาน
โจวเสาจิ่นเดินเข้าประตูมา ก็เห็นต้นทับทิมอยู่ที่มุมกำแพง
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงต้นทับทิมสีแดงสดหลายต้นเหล่านั้นที่นางเห็นตอนมาที่เรือนหานปี้ซานเป็นครั้งแรกขึ้นมา
ที่แท้เรือนฝูชุ่ยก็อยู่ติดกับเรือนหลักของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนี่เอง!
เช่นนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากท่านน้าฉือด้วยเช่นเดียวกัน
โจวเสาจิ่นมองเรือนปีกขนาดสามห้องกั้นพร้อมด้วยห้องข้าง มองซุ้มองุ่นที่อยู่ตรงกลางลาน รวมถึงโต๊ะและม้านั่งหินที่อยู่ใต้ซุ้มองุ่นแล้ว ก็รู้สึกชอบสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาในทันที
ชุนหว่านกลับเอ่ยขึ้นมาอย่างแปลกใจว่า “คุณหนู ถ้าตรงประตูนี้ปลูกต้นอวี้หลานเอาไว้สองต้นล่ะก็ ที่นี่ก็จะเหมือนกับเรือนหว่านเซียงที่พวกเราอยู่ไม่มีผิดแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเพ่งตามอง เหมือนอย่างที่ว่าจริงๆ
นางกล่าวยิ้มๆ อย่างช่วยไม่ได้ว่า “ดูแล้วพวกเรากับเรือนฝูชุ่ยแห่งนี้จะมีวาสนาต่อกันเสียแล้ว”
ทุกคนต่างก็หัวเราะร่าออกมา
เนื่องจากเรือนได้รับการทำความสะอาดมาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ชุนหว่านจึงเพียงคอยกำกับบ่าวรับใช้ให้จัดวางข้าวของเครื่องใช้ตามความเคยชินของโจวเสาจิ่น ส่วนโจวเสาจิ่นไปที่เรือนหลักของเรือนหานปี้ซานเป็นเพื่อนหลี่ซื่อ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมาตั้งแต่เช้าแล้ว กำลังสนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ รอจนกระทั่งโจวเสาจิ่นกับหลี่ซื่อมาคารวะพวกนาง ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรีบกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เดิมทีป้าใหญ่ของเจ้าจะมาพร้อมกับข้าด้วย แต่ใครจะรู้ว่าก่อนจะออกจากประตูกลับมีบ่าวสูงวัยวิ่งมาขอคำชี้แนะ นางจำต้องรั้งอยู่ก่อน ข้าจึงมาก่อนเพียงลำพัง”
เกรงว่าน่าจะเป็นเพราะยุ่งอยู่กับการดูแลเฉิงอี้จนปลีกตัวมาไม่ได้มากกว่ากระมัง!
หลี่ซื่อรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องเกรงใจ” สาวใช้ยกตั่งที่นั่งเข้ามา
โจวเสาจิ่นและหลี่ซื่อนั่งลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวกับหลี่ซื่ออย่างขออภัยว่า “จริงๆ แล้วควรจะรับเสาจิ่นกลับไปอยู่ที่เรือนหว่านเซียง แต่ทางด้านโน้นพวกข้ากำลังสร้างเรือนใหม่ให้เก้าเกอเอ๋อร์ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จ จึงมีคนเข้าๆ ออกๆ เรือนใน ค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อย ก็เลยขอร้องฮูหยินผู้เฒ่ากัว ให้เสาจิ่นมาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อน”
หลี่ซื่อไม่ได้สงสัยอะไร ยิ้มพลางเจรจาปราศรัยกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “คุณหนูรองมาอยู่ที่ซอยจิ่วหรูจะมีอะไรให้ข้าต้องกังวลใจกันเจ้าคะ ต้องรบกวนให้พวกท่านช่วยดูแลคุณหนูรองแล้วเจ้าค่ะ”
“นี่เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและหลี่ซื่อคุยกันอีกครู่ใหญ่ ถึงได้จบบทสนทนาลง
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยากจะรั้งหลี่ซื่อให้อยู่รับมื้อเที่ยงด้วย แต่หลี่ซื่ออยากจะกลับเมืองเป่าติ้งให้เร็วขึ้น ในใจอยากจะพบบุตรสาวของตัวเองโดยเร็ว จึงยิ้มพลางกล่าวปฏิเสธไปอย่างสุภาพว่า “…ก่อนหน้านี้ได้ดูปฏิทินเอาไว้แล้ว และวันมะรืนต้องออกเดินทางแล้ว ที่บ้านยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก…รอให้ถึงวันที่จะออกเดินทางข้าจะมากล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่าและนายหญิงผู้เฒ่าอีกครั้งนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางยืนกรานว่าต้องกลับไป จึงไม่รั้งนางเอาไว้อีก ให้สื่อมามาออกไปส่งหลี่ซื่อ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวราวกับได้ถอดหน้ากากที่สวมอยู่บนใบหน้าตลอดนั้นออกก็ไม่ปาน ไม่เพียงมีสีหน้าดูรักใคร่อ่อนโยนขึ้นมาเท่านั้น คำพูดยังอบอุ่นขึ้นไม่น้อยอีกด้วย “น้องสะใภ้สี่ เช่นนั้นเจ้าก็อยู่รับมื้อเที่ยงด้วยกันเถิด”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่เกรงใจ อยู่รับมื้อเที่ยงที่เรือนหานปี้ซาน จากนั้นย้ำกำชับกับโจวเสาจิ่นทำนองว่า “เรือนหว่านเซียงยังคงเก็บเอาไว้ให้เจ้า หากเจ้าคิดถึงยาย ก็กลับมาพักด้วยสักสองสามวันก็ได้” แล้วถึงได้ลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา
เพียงแต่ว่าพอฮูหยินผู้เฒ่ากวนจากไป ดวงหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เผยความเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น
โจวเสาจิ่นจึงคะยั้นคะยอเร่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปพักผ่อน กล่าวขึ้นว่า “อีกประเดี๋ยวข้าจะมาคุยเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าพลางยิ้มตาหยี เข้าไปในห้องชั้นในโดยมีเจินจูช่วยประคอง
โจวเสาจิ่นกลับเรือนฝูชุ่ย
ชุนหว่านบอกนางอย่างยินดีว่า “คุณหนูรอง ห้องข้างของฝั่งตะวันตกเป็นห้องพระเล็กๆ ห้องหนึ่งเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วยิ่งดีใจ เอ่ยขึ้นว่า “ไป พวกเราไปดูกันเถอะ!”
ชุนหว่านไปห้องข้างเป็นเพื่อนโจวเสาจิ่น
ถึงแม้พื้นที่ในห้องพระจะไม่ใหญ่มาก แต่ว่าพานผลไม้ ธูปเทียนและฉากกั้นต่างๆ ล้วนจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าที่สำหรับตั้งวางพระพุทธรูปกลับยังว่างเปล่า ใต้โต๊ะตัวยาวยังมีเบาะรองนั่งหญ้าคาสานทรงกลมวางไว้อีกหลายชิ้นอยู่ด้วย
ชุนหว่านเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรอง พวกเราต้องไปอัญเชิญพระพุทธรูปมาสักองค์หรือไม่เจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกลังเลเล็กน้อย “เนื่องจากที่นี่เป็นตระกูลเฉิง…ข้าควรจะหาโอกาสไปถามฮูหยินผู้เฒ่าดูก่อนดีกว่า!”
ชุนหว่านพยักหน้า
ปี้เถาเดินเข้ามายิ้มๆ กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง จัดเก็บห้องเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านอยากจะไปนอนกลางวันสักตื่นหรือไม่เจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะยิ้มๆ กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปดูที่เรือนหลีอินสักหน่อยก่อน!”
นางย้ายเข้ามาแล้วแต่ยังไม่ได้เจอท่านน้าฉือเลย
ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือทราบหรือยังว่านางย้ายเข้ามาแล้ว
ชุนหว่านและปี้เถาต่างเข้าใจว่าโจวเสาจิ่นจะไปหาจี๋อิ๋ง กล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อยว่า “คุณหนูรอง ท่านควรจะไปปลอบใจแม่นางจี๋อิ๋งดีๆ สักหน่อย ครั้งนี้คุณชายรองอี้ทำไม่สมควรเกินไปแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นขานรับยิ้มๆ แล้วไปที่เรือนหลีอิน
เรือนหลีอินเงียบเชียบ มีหนานผิงอยู่ผู้เดียว นางบอกโจวเสาจิ่นว่า “นายท่านสี่ไปไหวอัน บอกว่าใบอนุญาตค้าเกลือของปีนี้ใกล้จะออกมาแล้ว จี๋อิ๋งตามไปไหวอันด้วยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นผิดหวังยิ่งนัก
จริงๆ แล้วที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวมาก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวทั้งหมดเสียทีเดียว
ตกลงท่านน้าฉือผู้นี้ไปทำอะไรกันแน่นะ
นางฝืนอยู่สนทนากับหนานผิงไปอีกสองสามประโยค แล้วก็กลับเรือนฝูชุ่ย
ปี้อวี้ยืนคุยกับชุนหว่านอยู่บนโถงทางเดิน มีเสี่ยวถานยืนอยู่ข้างๆ
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ปี้อวี้ก็ก้าวออกมาทำความเคารพ ส่วนเสี่ยวถานกลับโขกศีรษะให้นาง
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
ปี้อวี้ชี้ไปที่เสี่ยวถาน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า เมื่อก่อนตอนที่ท่านมาคัดพระธรรมเป็นเสี่ยวถานที่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน จึงยกเสี่ยวถานมาให้ท่านดังเดิม รออีกสองวันนายหน้าซื้อขายจะส่งคนเข้ามา ท่านค่อยเลือกคนที่ดูฉลาดเฉลียวอีกสักสองสามคนเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าแทนข้าด้วย!” โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ารับเสี่ยวถานเอาไว้แล้ว ส่วนคนอื่นๆ รบกวนบอกฮูหยินผู้เฒ่าว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน คนที่ข้าพามาด้วยมีเพียงพอแล้ว” จากนั้นเชิญพวกนางไปที่ห้องน้ำชา
เสี่ยวถานยังคงลังเลเล็กน้อย ทว่าปี้อวี้กลับเดินเข้าไปด้านในอย่างยิ้มแย้มดังเช่นเมื่อก่อน
โจวเสาจิ่นลอบพยักหน้า รู้สึกว่าปี้อวี้ช่างเหมาะสมกับการเป็นหัวหน้าสาวใช้ใหญ่ยิ่งนัก
ตกเย็น โจวเสาจิ่นรับมื้อเย็นเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้พูดคุยอะไรกัน แต่เมื่อบนโต๊ะอาหารมีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ก็ให้ความรู้สึกครึกครื้นขึ้นมาก
…………………………….