ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 293 ไม่ได้นัดหมาย
ที่โจวเสาจิ่นร้องไห้ต้องมิใช่เพราะคิดถึงพี่สาวอย่างแน่นอน
เช่นนั้นนางเสียใจด้วยเรื่องอะไรกันแน่
เฉิงฉือพลันหายจากอาการง่วงในทันที
เขาตะโกนเรียกซางมามาเข้ามา เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปสืบความที่เรือนหรูอี้สักหน่อย ดูว่าคุณหนูเจียพูดอะไรกับคุณหนูรองไปบ้าง”
ซางมามาเพิ่งจะขึ้นเตียงไปพักผ่อนได้ครู่เดียวก็ถูกเฉิงฉือเรียกเข้ามา ยังคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเป็นเรื่องนี้ กล่าวคือ วันนี้นางวิ่งไปที่เรือนฝูชุ่ยมาสองครั้งแล้ว แต่นางยังคงรู้จักสำรวจสีหน้าคนเป็นอย่างดีเหมือนที่ผ่านมา ก้มหน้าก้มตาลง ขานรับเงียบๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านสี่ ตอนนี้เป็นเวลายามสามแล้ว ไปเวลานี้เกรงว่าเรือนหรูอี้คงปิดประตูกันหมดแล้ว ข้าค่อยไปพรุ่งนี้ตั้งแต่ฟ้าสางเลยดีหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือถึงได้รู้สึกตัวว่าตนเสียอาการไปเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “จะไปสืบเรื่องเวลาไหนนั้นถือเป็นเรื่องรอง แต่เรื่องที่สำคัญคือต้องสอบถามมาให้ละเอียดชัดเจน อย่าให้เป็นเหมือนกับที่เรือนฝูชุ่ย สิ่งที่สอบถามมาได้ล้วนเป็นเพียงคำอธิบายผิวเผินตามมารยาทเท่านั้น”
ซางมามาขานรับอย่างนอบน้อม แล้วถอยออกไป
เฉิงฉือนอนตาค้างอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้หลับลงได้
ฟ้าเพิ่งจะสางในวันรุ่งขึ้น ซางมามาก็มารายงานว่า “นายหญิงผู้เฒ่าหลี่ของจวนสามมีหลานชายผู้หนึ่งนามว่าหลี่จิ้ง ดูเหมือนว่าจะสนใจในตัวคุณหนูเจีย แต่ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินใหญ่หลูก็ไม่เห็นด้วยเนื่องจากหลี่จิ้งมีพื้นเพเป็นพ่อค้า เมื่อหลายวันก่อนฮูหยินใหญ่หลูมีธุระเชิญหลี่จิ้งเข้ามาพูดคุยกันที่จวน ได้พบคุณหนูเจียโดยบังเอิญ คุณหนูเจียจึงได้คุยกับหลี่จิ้งไปสองสามประโยค เนื่องด้วยฮูหยินใหญ่หลูยุ่งอยู่กับเรื่องงานแต่งของคุณชายใหญ่เจิ้ง ชั่วขณะนั้นไม่มีเวลามาดูแลคุณหนูเจีย จึงกักบริเวณคุณหนูเจียเสีย…”
นางจัดลำดับเรื่องราวได้เป็นอย่างดี เล่าเรื่องที่ผ่านมาทุกอย่างให้เฉิงฉือฟัง
เฉิงฉือจึงยิ่งสับสนงงงวยมากขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “แล้วคุณหนูรองร้องไห้ด้วยเรื่องอะไร”
ในเมื่อเรื่องที่เฉิงเจียพูดมาล้วนเป็นเรื่องของนางกับหลี่จิ้ง แล้วเด็กผู้นั้นเป็นอะไรขึ้นมากันนะ
ซางมามาสับสนและงงงวยยิ่งกว่าเฉิงฉือเสียอีก กล่าวรับประกันไม่หยุดว่า “นายท่านสี่ ข้าไปขอความช่วยเหลือจากคนของตงถิงถึงสืบความมาได้ หากท่านไม่เชื่อ ข้าจะเรียกเด็กผู้นั้นของตงถิงเข้ามา ท่านสอบถามนางด้วยตัวเองก็ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องแล้ว!” แววตาของเฉิงฉือวูบไหวเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “โดยมากคงเป็นเพราะคุณหนูเจียพูดอะไรที่ไปกระทบใจคุณหนูรองโดยไม่รู้ตัวเข้า เรื่องนี้ก็ให้พอแค่นี้ก็แล้วกัน!”
ซางมามาก้มหน้าลงขณะขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วถอยออกไป
เฉิงฉือยืนเอามือไพล่หลังอยู่เบื้องหน้าหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง ชิงเฟิงก็วิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ ฮูหยินผู้เฒ่าถามว่า ท่านยังจะไปตระกูลกู้เป็นเพื่อนนางอยู่หรือไม่ หากไม่ไป นางก็จะไปก่อนแล้ว แต่หากท่านจะไปด้วย ท่านต้องไปเวลานี้แล้วขอรับ”
เหตุใดถึงลืมเรื่องนี้ไปเสียได้!
เฉิงฉือเปลี่ยนอาภรณ์ จากนั้นก็รีบเร่งไปที่เรือนหลัก
เขาได้ยินเสียงหัวเราะกังวานใสของมารดามาตั้งแต่ไกลๆ
ใบหน้าของเฉิงฉือเองก็แต้มไปด้วยรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
เขาอยู่บ้าน มารดามีคนอยู่เป็นเพื่อน อารมณ์จึงดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก
นึกถึงมารดาที่เฝ้ารอคอยตนอยู่ตลอด เขาไม่รอให้สาวใช้เด็กที่เฝ้าเวรยามที่หน้าประตูเอ่ยรายงาน ก็ก้าวเข้าไปยังห้องโถงรับรองแล้วอย่างรวดเร็ว
แจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวยาวในห้องโถงรับรองปักเอาไว้ด้วยดอกโบตั๋นสีแดงสดดอกใหญ่
โจวเสาจิ่นสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีฟ้าไร้ลวดลาย กระโปรงจีบสีขาวพระจันทร์ ยืนยิ้มร่าอยู่ข้างๆ แจกันดอกไม้ใบนั้น
ถึงแม้จะแต่งตัวเรียบง่ายเช่นนั้น แต่ดอกไม้สีสดงดงามนั้นไม่เพียงไม่ทำให้นางดูจืดชืดไร้สีสัน ในทางกลับกัน กลับเป็นฉากหลังขับให้นางดูงดงามราวกับภาพวาด ดูเปล่งประกายแวววาวราวหยกเนื้อดี
เฉิงฉือหยุดหายใจไปชั่วขณะอย่างอดไม่ได้
มิใช่ว่าให้นางพักผ่อนอยู่ที่เรือนฝูชุ่ยหรอกหรือ
เหตุใดถึงวิ่งมาอยู่ที่นี่
เขาขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย กำลังคิดจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็หัวเราะร่าและกล่าวขึ้นมาเสียก่อนว่า “ขาดเจ้าเพียงผู้เดียวแล้ว! เอาล่ะ คนมากันครบแล้ว เจ้าไปบอกคนเฝ้าเวรยามที่โรงจอดเกี้ยวสักหน่อยว่า พวกเราจะออกเดินทางกันแล้ว”
ประโยคสุดท้ายนั้น เป็นการกล่าวกับสื่อมามา
เฉิงฉือประหลาดใจ เอ่ยขึ้นว่า “เสาจิ่นก็ไปด้วยหรือขอรับ”
“ใช่แล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตบที่หลังมือของโจวเสาจิ่นเบาๆ อย่างมีความสุข กล่าวขึ้นว่า “เด็กคนนี้ช่างเอาใจใส่ บอกว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว จะได้ตามข้าไปเยี่ยมคุณหนูทั้งหลายที่ตระกูลกู้ด้วยพอดี”
นี่มันเรื่องอะไรกัน
เฉิงฉือมองไปที่โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นเองก็คิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะไปตระกูลกู้เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยเหมือนกัน
ซึ่งตอนที่นางทราบเรื่องนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ให้คนไปเรียกเฉิงฉือแล้ว
นางคงไม่อาจพูดว่า ‘ในเมื่อท่านน้าฉือไปเป็นเพื่อนท่านแล้ว เช่นนั้นข้าไม่ไปแล้วก็แล้วกัน’ หรอกกระมัง
แต่เมื่อนึกถึงเมื่อวานที่นางร้องไห้ยกใหญ่อย่างไร้เหตุผล เพียงเพราะกลัวว่าจะสูญเสียเกราะกำบังอย่างท่านน้าฉือไป นางก็รู้สึกไม่กล้าสู้หน้าเฉิงฉือเล็กน้อย
เวลานี้เฉิงฉือมีท่าทางอยากจะสอบถามนาง นางรู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้ กล่าวเสียงเบาว่า “ขะ…ข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ…ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่านางจะไปเป็นแขกที่ตระกูลกู้ ข้าคิดว่าท่านน้าฉือมีธุระต้องไปจัดการ จึงรับปากอาสาไปเยี่ยมตระกูลกู้เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว…ข้าไม่ทราบว่าท่านน้าฉือจะไปเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเจ้าค่ะ…”
เฉิงฉือรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
ยังรับปากอาสาไปเป็นเพื่อนอะไรนั่นอีก!
ตระกูลกู้เป็นบ่อมังกรหรือไม่ก็รังเสือหรืออย่างไร
ถ้านางรู้ว่าตนจะไปตระกูลกู้ด้วย ก็จะไม่ไปด้วยอย่างนั้นหรือ
หลอกให้เขาเป็นกังวลใจแทนนางไปครึ่งค่อนคืน!
ช่างเป็นลูกสุนัขจิ้งจอกตาขาวผู้หนึ่งที่เลี้ยงไม่เชื่องเสียจริง!
อย่างไรก็ดี เขากลัวว่ามารดาไปตระกูลกู้เพียงลำพังยามเจอเรื่องไม่สบายใจแล้วจะไม่มีผู้ใดคอยปลอบโยน ส่วนนางก็กลัวว่ามารดาไปเยี่ยมตระกูลกู้เพียงลำพังจะไม่มีคนไปเป็นเพื่อนด้วย…ทั้งสองคนต่างคิดไปในทางเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ก็ถือได้ว่าเด็กผู้นี้มีจิตใจดีอยู่บ้าง
อารมณ์ของเฉิงฉือสงบลงมาเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้ว่าหลายวันมานี้เฉิงฉืองานยุ่งมาก อีกทั้งยังเข้าใจไปว่าเขาโมโหที่พวกนางทำให้งานของเขาต้องล่าช้า จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “เอาละๆ เรื่องนี้เป็นข้าเองที่ไม่ได้กล่าวให้ชัดเจน เสาจิ่นเองก็มีเจตนาดี หากเจ้ามีธุระ เจ้าก็ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด ข้าไปตระกูลกู้พร้อมกับเสาจิ่นก็ได้แล้ว”
พวกเขาไปตระกูลกู้เพื่อเป็นคนกลาง มิได้ไปเพื่อชมนกชมไม้ มีเสาจิ่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรตามไปด้วย เขาจะไม่ไปได้อย่างไร
เฉิงฉือกล่าว “ธุระต่างๆ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ไปเป็นเพื่อนท่านดีแล้วขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกระจ่างแจ้งอยู่แก่ใจดี
นางที่เป็นหญิงหม้ายชราผู้หนึ่ง ต่อให้จะเคยดูแลกิจการของซอยจิ่วหรูมาก่อน แต่เมื่อกล่าวถึงความสามารถ วิสัยทัศน์ ประสบการณ์และความรู้แล้ว ก็อาจจะเทียบไม่ได้กับบรรดาหลงจู๊ใหญ่ของร้านค้าใหญ่ๆ เหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ นางไม่ได้เก่งไปกว่าใครกี่มากน้อยเลย เพียงแต่เป็นเพราะนางเลี้ยงดูบุตรชายจนเป็นจิ้นซื่อได้สามคน บุตรชายคนโตยังดำรงตำแหน่งเป็นหนึ่งในเจ้ากรมผู้หนึ่ง ผู้คนจึงให้ความเคารพนางอยู่หลายส่วน เรียกขานนางว่า ‘ฮูหยินผู้เฒ่า’ เชิญนางไปเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม กล่าวกันตามจริงแล้ว ก็เพียงเพราะต้องการจะยืมอำนาจของบุตรชายของนางก็เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ในยามปกตินางจึงไม่ค่อยไปเป็นแขกบ้านผู้อื่นเท่าไรนัก
แต่ตระกูลกู้นั้นไม่เหมือนกัน
ตระกูลกู้กับตระกูลกัวและตระกูลเฉิงล้วนมีความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกันมาหลายชั่วอายุคน ตระกูลกัวกับตระกูลเฉิงต่างเคยได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลกู้มาก่อน นางจึงไม่อาจทนมอง ‘ตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น’ อย่างตระกูลกู้ล่มสลายไปอย่างนี้ได้
มีบุตรชายคนเล็กที่มากความสามารถติดตามไปด้วย เรื่องราวต่างๆ อาจจะราบรื่นยิ่งขึ้นก็เป็นได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงไม่คัดค้านอะไรอีก ให้โจวเสาจิ่นประคองไปขึ้นเกี้ยว
โจวเสาจิ่นถูกจัดให้ไปนั่งเกี้ยวหลังที่สอง
นางหมุนกายไปก็เห็นเฉิงฉือยืนอยู่ข้างๆ โรงจอดเกี้ยว
เมื่อคืนท่านน้าฉือให้คนไปสอบถามถึงนางถึงสองครั้ง นางควรจะกล่าวขอบคุณท่านน้าฉือสักหน่อยดีหรือไม่
โจวเสาจิ่นลังเล
เฉิงฉือถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
เด็กผู้นี้ไม่ว่ามีอารมณ์ความรู้สึกอะไรก็ล้วนแสดงออกมาทางสีหน้า ประเดี๋ยวถึงตระกูลกู้แล้วจะไม่รับสารบางอย่างมาอย่างไร้วิจารณญาณหรอกหรือ
ประเดี๋ยวถึงซอยเหมยฮวาแล้ว ทิ้งให้นางไปเล่นกับพวกคุณหนูทั้งหลายของตระกูลกู้ก็แล้วกัน
เฉิงฉือครุ่นคิด เดินไปยืนข้างๆ โจวเสาจิ่น กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ยังเจ็บตาอยู่หรือไม่”
ท่านน้าฉือไม่ได้โกรธนาง!
โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดี พยักหน้าหงึกๆ กล่าวขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “ข้าให้ชุนหว่านต้มไข่ไก่มาให้ข้า ได้ผลดียิ่งนัก ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ไม่เหลือร่องรอยอะไรแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือเห็นนางทำตัวเสมือนกับเด็กสาวที่พยายามอวดความดีความชอบอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเย้าแหย่นางว่า “รู้จักใช้ไข่ต้มด้วย แสดงว่ามักจะร้องไห้อยู่บ่อยๆ!”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อ ได้แต่พึมพำพูดอะไรไม่ออก
เฉิงฉือหลุดหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ประเดี๋ยวกลับมาแล้ว ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า หลังจากที่เจ้าออกมาจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ให้ไปหาข้าเรือนหลีอิน”
อา!
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
เฉิงฉือหมุนกายตรงไปยังเกี้ยวของตัวเองแล้ว
โจวเสาจิ่นรีบตามไป กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านมีเรื่องอะไรต้องการถามข้าหรือ ถามตอนนี้มิได้หรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือชี้ไปที่เกี้ยวของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ออกไปจากโรงจอดเกี้ยวแล้ว กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้มิใช่เวลาสำหรับพูดคุยกัน!”
ตอนนี้มิใช่เวลาสำหรับพูดคุยกันจริงๆ ด้วย
แต่การที่ท่านน้าฉือทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ให้เช่นนี้ วันนี้จะให้นางสงบใจลงได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นเบ้ปากขึ้นเกี้ยวไป
เฉิงฉือส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้
เจ้าเด็กผู้นี้ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลยสักนิด
หากรู้อย่างนี้เสียแต่เนิ่นๆ ก็คงจะไม่พูดเรื่องนี้กับนาง
อย่างไรก็ตาม นางทำตัวเช่นนี้อยู่ตลอดก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน
ครั้งนี้ให้ถือเป็นบทเรียนของนางก็แล้วกัน
มาถึงตระกูลกู้ ฮูหยินใหญ่กู้คิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะมาด้วย
นางได้ยินว่าเฉิงฉือเจรจาการค้าขนาดใหญ่หนึ่งกับสิบสามห้าง หากประสบผลสำเร็จ ซอยจิ่วหรูจะได้นอนกินไปถึงสามปีเลยทีเดียว
คนของตระกูลกู้ได้ยินแล้วต่างยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นยกย่องในความเก่งกาจของเฉิงฉือ ล้วนรู้สึกว่าการที่เขาไม่ได้รับราชการนั้นเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง
นางรีบให้คนไปรายงานให้บรรดานายท่านผู้เฒ่ากับนายท่านทั้งหลายทราบ
นายท่านผู้เฒ่าหลายคนนั้นบ้างก็ไปสุสานของตระกูลกู้ที่เขาชิงหลง บ้างก็ไปสวดมนต์ที่วัด จึงมีเพียงนายท่านกู้ที่ห้าเท่านั้นที่อยู่บ้าน
ฮูหยินใหญ่กู้เองก็ทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ ด้านหนึ่งเชิญให้คนไปแจ้งนายท่านผู้เฒ่ากับนายท่านที่พอจะเร่งกลับมาได้ให้ทราบ อีกด้านก็เชิญนายท่านกู้ที่ห้ามาอยู่เป็นเพื่อนแขก ส่วนตัวเองก็ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าไปที่เรือนชั้นในด้วยตัวเอง
สื่อมามากระซิบกล่าวกับสะใภ้กู้ที่เจ็ดที่ตามฮูหยินใหญ่กู้ออกมาต้อนรับแขกเสียงเบาว่า “ฮูหยินทั้งหลายจะพูดคุยกัน คุณหนูรองอายุยังน้อยนัก เกรงว่าจะนั่งไม่ติดที่ ประเดี๋ยวรบกวนสะใภ้กู้ที่เจ็ดพาคุณหนูรองของพวกข้าไปนั่งเล่นกับคุณหนูทั้งหลายด้วยนะเจ้าคะ”
สะใภ้กู้ที่เจ็ดทราบดีว่าเหตุใดตระกูลกู้ถึงเชิญฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาเป็นแขกที่บ้าน ได้ยินแล้วก็เข้าใจเป็นอย่างดี กล่าวยิ้มๆ ว่า “มามาวางใจเถิด เรื่องนี้ยกให้ข้าเป็นผู้จัดการ” จากนั้นคิดได้ว่าความสัมพันธ์ของโจวเสาจิ่นกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ไม่เลวนัก รอจนดื่มน้ำชาไปสามจอก ฮูหยินทั้งหลายต่างมาถึงกันครบแล้ว นางจึงพาโจวเสาจิ่นไปหากูที่สิบเจ็ดด้วยตัวเอง
ตระกูลกู้เป็นครอบครัวใหญ่มีจำนวนสมาชิกมาก ถึงแม้ตระกูลกู้จะเป็นบ้านขนาดใหญ่ที่ประกอบขึ้นมาจากเรือนห้าประสานสองหลังเข้าด้วยกัน แต่เมื่อมาถึงรุ่นของกูที่สิบเจ็ดแล้ว กลับต้องอาศัยอยู่ในเรือนปีกหลังเดียวกันกับกูที่สิบแปด โดยที่ห้องชั้นในฝั่งตะวันออกเป็นของกูที่สิบเจ็ด และห้องชั้นในฝั่งตะวันตกเป็นของกูที่สิบแปด บรรดาสาวใช้อาศัยอยู่ที่ห้องข้างที่อยู่ด้านหลัง ใช้ห้องโถงรับรองด้วยกัน ใครจะเข้าจะออกล้วนได้พบหน้ากัน
โชคดีที่บุตรสาวหลานสาวของตระกูลกู้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี ต่างรู้จักควบคุมอารมณ์และนิสัยของตัวเอง ให้ความสำคัญกับกิริยามารยาท อยู่ด้วยกันก็รู้จักพูดคุยสร้างเสียงหัวเราะ ค่อนข้างคึกคักมีชีวิตชีวา
พอทราบว่ากูที่สิบเจ็ดมีแขก กูที่สิบแปดก็ออกมาต้อนรับโจวเสาจิ่น หลังจากที่พูดคุยกันหลายประโยคแล้ว ก็ให้สาวใช้ข้างกายไปยกขนมเปี๊ยะไส้ดอกเถิงหลัวที่ทำขึ้นมาเองเมื่อหลายวันก่อนเข้ามาให้ จากนั้นถึงได้กลับห้องไป
โจวเสาจิ่นทึ่งจนพูดไม่ออกเล็กน้อย กระซิบกล่าวกับกูที่สิบเจ็ดว่า “ญาติผู้น้องของท่านช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
กูที่สิบเจ็ดเม้มปากกลั้นหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ไม่ว่าจะเงยหน้าหรือก้มหน้าล้วนต้องเจอหน้ากัน ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจากตระกูลของพวกข้าเมื่อแต่งงานออกไปแล้วจึงปรับตัวได้เก่งยิ่งนัก”
นี่ก็ถูก!
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านเองก็ยอดเยี่ยมยิ่งนักเหมือนกัน!”
กูที่สิบเจ็ดหัวเราะร่า ถามนางว่า “เจ้ามาทำอะไรหรือ เหตุใดท่านป้าสะใภ้ใหญ่ถึงเชิญฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาเป็นแขกที่บ้านด้วย”
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างลุแก่โทษว่า “หากท่านไม่รู้ ข้าเองก็คงบอกท่านไม่ได้ หากท่านอยากรู้จริงๆ รอให้ข้าไปถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือไม่ก็ท่านน้าฉือก่อนถึงจะบอกท่านได้”