ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 299 ถูกต้องเหมาะสม
โจวเสาจิ่นส่งเทียบเชิญไปให้จูจูเป็นลำดับแรก
เนื่องจากคนที่เฉิงฉือเอ่ยถึงเป็นคนแรกคือนาง
หลังจากที่จูจูได้รับเทียบเชิญแล้วก็ประหลาดใจมาก ตอบรับด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง ยังตกเงินรางวัลให้สื่อมามาและชุนหว่านที่มาส่งเทียบเชิญคนละห้าเหลี่ยงด้วย สำหรับเงินรางวัลแล้ว จำนวนนี้ถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมากทีเดียว
ชุนหว่านกลับมาแล้วก็ดีอกดีใจมีความสุขเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเพราะได้รับเงินรางวัลเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือได้ไปเปิดหูเปิดตาที่จวนเหลียงกั๋วกง “…สวนนั่น ล้วนปูด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่เท่านี้ ไกลสุดลูกหูลูกตามองไม่เห็นขอบเขต ราวบันไดแกะสลักมาจากหยกขาวทั้งหมด หลังคาเหินฟ้า ดูราวกับวิหารเทพในวัดเลยเจ้าค่ะ!”
ปี้เถาปิดปากยิ้ม
ทว่าเสี่ยวถานกลับกล่าวขึ้นอย่างไม่คล้อยตามว่า “สวยกว่าเรือนหานปี้ซานอีกหรือเจ้าคะ”
ชุนหว่านครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เรือนหานปี้ซานของพวกเราสวยกว่า แม้นว่าจวนเหลียงกั๋วกงจะกว้างใหญ่ ทว่าล้วนเป็นทางเดิน ดูแล้วให้ความรู้สึกเยียบเย็นยิ่ง ไม่เหมือนเรือนหานปี้ซานของพวกเรา ด้านนี้ก็เป็นทะเลสาบ ส่วนด้านนั้นก็เป็นต้นไม้ ทางเดินก็มีสูงๆ ต่ำๆ ขึ้นๆ ลงๆ เดินไปทางไหนก็สามารถเดินทะลุป่าหรือข้ามสวนไปได้ เรือนหานปี้ซานของพวกเราดีกว่า!”
โจวเสาจิ่นยิ้ม
นางคิดจะเก็บชุนหว่านไว้ข้างกายต่อไปในอนาคต การให้นางออกไปทำธุระข้างนอกมากขึ้น ได้เปิดประสบการณ์ จะเป็นผลดีต่อตัวนางในการทำเรื่องต่างๆ ในอนาคต
ดูแล้วก้าวนี้ของตนถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ทางด้านของตระกูลกู้เป็นไปตามที่เฉิงฉือคาดการณ์เอาไว้ กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้มาถามว่านางพากูที่สิบแปดและกูที่ยี่สิบผู้เป็นน้องสาวไปด้วยสักสองคนได้หรือไม่
โจวเสาจิ่นตอบรับไปอย่างกระตือรือร้น
ส่วนเฉิงเจียเป็นไปตามที่โจวเสาจิ่นคาดการณ์ไว้ นางดีใจจนแทบจะเสียสติไปแล้ว
พอนางได้รับเทียบเชิญแล้วก็รีบเร่งมาหาที่เรือนฝูชุ่ยโดยมาถึงก่อนที่สื่อมามาจะกลับมาเสียอีก พอเห็นโจวเสาจิ่นก็กอดนางเอาไว้แล้วหอมแก้มนางแรงๆ สองฟอด กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าช่างเป็นน้องสาวที่แสนดีของข้าจริงๆ! ข้ากำลังกลุ้มใจที่ออกจากบ้านไม่ได้ เจ้าก็ส่งเทียบเชิญมาให้ข้าพอดี” กล่าวจบ ก็มองไปที่โจวเสาจิ่นอย่างเคลือบแคลงสงสัย กระซิบเสียงเบาว่า “เจ้าคงไม่ได้แอบส่งเทียบเชิญมาให้ข้าลับหลังฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรอกกระมัง เจ้าติดสินบนสื่อมามาไปเท่าไร ข้าจะจ่ายให้เจ้าเอง ตอนนี้ข้ามีเงินแล้ว คราวก่อน…” นางพูดๆ อยู่ทว่ากลับตัดจบไปเสียดื้อๆ
ไม่รู้เพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นนึกถึงภาพเหตุการณ์วันที่เฉิงฉือถามนางว่า เจ้าแพ้เสียเงินไปเท่าไร ข้าจะจ่ายให้เจ้าเอง วันนั้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
นางกล่าวขึ้นอย่างรู้ทันว่า “หลี่จิ้งแอบมอบเงินให้เจ้าใช้ใช่หรือไม่”
เฉิงเจียตกใจเป็นอย่างมาก ลากนางเข้าไปในห้องชั้นใน ปิดประตูเสียงดัง ปัง อย่างคนกินปูนร้อนท้อง เอ่ยขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไร ใครเป็นคนบอกเจ้า”
โจวเสาจิ่นมองท่าทางของนางแล้ว นึกถึงชาติก่อนที่ตนมักจะถูกนางกดทับเอาไว้จนแทบจะไม่มีทางรอด ก็รู้สึกสมใจเป็นอย่างยิ่งอยู่ในใจ ทว่ากล่าวเรียบๆ ว่า “แน่นอนว่าเป็นการคาดเดาอยู่แล้ว! เจ้ามีทรัพย์สินเท่าไรข้าจะไม่รู้หรือ ตอนนี้จู่ๆ ก็มีเงินขึ้นมา นอกจากหลี่จิ้งแล้ว จะมีใครให้เงินเจ้ามากขนาดนี้ได้!”
เฉิงเจียขัดเขิน กล่าวขึ้นว่า “ข้า…ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะเอาเงินของเขา แต่เขาบอกว่า มีเงินอยู่ในมือจิตใจก็จะไม่พะวง เบี้ยรายเดือน ค่าเครื่องประดับและเสื้อผ้าต่างๆ ของข้าล้วนเป็นจำนวนที่กำหนดเอาไว้ตายตัวแล้ว โยกย้ายมาใช้ไม่ได้ เงินจำนวนนี้เขาให้ข้ายืมใช้ก่อน ต่อไปรอให้ข้ามีเงินแล้วค่อยคืนเขา ข้ารู้สึกว่าที่เขาพูดมามีเหตุผลยิ่ง คนที่เรือนหรูอี้มักจะเอาเรื่องของข้าไปบอกท่านแม่ของข้าอยู่เสมอ เป็นเพราะว่าเบี้ยรายเดือน รวมถึงอนาคตของพวกนางล้วนอยู่ในกำมือของแม่ข้า ถ้าหากข้ามีเงิน ก็จะสามารถให้อนาคตกับพวกนางได้บ้าง จะมีผู้ใดยอมทำงานหนักโดยไม่หวังผลบ้างเล่า อีกอย่าง เงินจำนวนนี้ข้าอาจจะไม่ต้องใช้ก็ได้…”
โจวเสาจิ่นคร้านจะฟังนางพร่ำไปเรื่อยเปื่อย จึงกล่าวตัดบทนางยิ้มๆ ว่า “เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างวันนั้น ตกลงเจ้าไปได้หรือไม่”
“ได้อยู่แล้ว! เหตุใดถึงจะไปไม่ได้!” เฉิงเจียกล่าวอย่างมั่นใจ “สื่อมามานำเทียบเชิญไปให้ข้าด้วยตัวเอง ต่อให้แม่ของข้าจะไม่พอใจอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าไม่ไว้หน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรอก” นางกล่าว แล้วก็อยากจะเข้าไปกอดโจวเสาจิ่นอีก
มีคนชื่นชอบเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องดีใจอยู่แล้ว
แต่โจวเสาจิ่นยังคงรู้สึกขัดเขินอยู่บ้างเล็กน้อย
นางแสร้งหลบเฉิงเจียที่ยื่นแขนเข้ามาหาอย่างไม่ชอบใจ กล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะๆ! อย่าสร้างปัญหาอีก! ถึงเวลาเจ้าอย่าลืมไปก็แล้วกัน ข้าเชิญจูจูกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ไปด้วย ถึงเวลาพวกเราจะได้เที่ยวเล่นด้วยกัน”
เฉิงเจียถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เชิญแค่พวกเราไม่กี่คนเท่านั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ อย่างลุแก่โทษว่า “กูที่สิบเจ็ดบอกว่านางอยากพาญาติผู้น้องของนางไปด้วยสองคน ข้ารับปากไปแล้ว”
เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างดีใจว่า “เช่นนั้นก็มีแค่พวกเราหกคน!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
“สวรรค์!” เฉิงเจียปิติยินดี กล่าวขึ้นว่า “ในที่สุดครั้งนี้ก็ไม่ต้องสำรวมกิริยามารยาทกับผู้อื่นมากมายแล้ว!”
โจวเสาจิ่นเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
เม้มปากหัวเราะ
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับถามสื่อมามาด้วยอาการประหลาดใจเล็กน้อยว่า “คุณหนูรองไม่ได้เชิญหญิงสาวของตระกูลกัวเลยหรือ”
สื่อมามามองไปยังสาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่รอบๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงไล่คนออกไปก่อน
สื่อมามาถึงได้กดเสียงลงต่ำพลางกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินว่าเป็นความตั้งใจของนายท่านสี่เจ้าค่ะ! ท่านก็ทราบว่าคุณหนูรองเทิดทูนนายท่านสี่มาโดยตลอด…”
มองผิวเผินแล้ว เฉิงฉือเป็นคนที่อ่อนด้อยที่สุดในบรรดาพี่น้องของจวนหลัก
แม้แต่เฉิงอี๋ของจวนรองที่ดำรงตำแหน่งเป็นเพียงอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาตระกูลเฉิงก็ยังเทียบไม่ได้
ดังนั้นสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเกลียดที่สุดคือมีคนมาดูแคลนเฉิงฉือ
คำพูดนี้ของสื่อมามาจี้ได้ตรงจุดกับสิ่งที่อยู่ในใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวพอดี นางไม่เพียงไม่ตำหนิโจวเสาจิ่น ในทางตรงกันข้ามยังเผยรอยยิ้มพอใจออกมาอีกด้วย กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นความตั้งใจของเจ้าสี่ ฉะนั้นเรื่องนี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องเอ่ยถึงอีก ส่วนตระกูลกัว ข้าจะส่งเทียบเชิญไปให้เองก็แล้วกัน”
สื่อมามานึกถึงสิ่งที่ซางมามาแอบฝากมาเป็นการส่วนตัว จึงพึมพำกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก…คุณหนูใหญ่ของจวนเหลียงกั๋วกงผู้นั้นใกล้จะแต่งงานออกเรือนแล้ว แต่นายท่านสี่ก็ยังไม่ลืมให้คุณหนูรองเชิญนางไปดูแข่งเรือมังกรด้วย ส่วนคุณหนูหลายท่านของตระกูลกัวต่างก็กำลังอยู่วัยสาวสะพรั่ง คุณหนูรองเองก็เป็นคนอ่อนโยนผู้หนึ่ง ว่ากันตามหลักแล้ว น่าจะเข้ากันได้ดีถึงจะถูก…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลันเข้าใจขึ้นมาในทันที
บุตรชายคงกลัวว่าตนจะใช้เรื่องการไปดูแข่งเรือมังกรมาจับคู่ให้เขาอีกกระมัง
นางรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เจ้าลูกคนนี้ ฉลาดเกินไปแล้ว! ในเมื่อเขาไม่ชอบหญิงสาวของตระกูลกัว ข้ายังจะบังคับเขาได้หรืออย่างไร นอกจากนี้เขาก็รับปากข้าแล้วว่าจะรีบแต่งงานมีบุตรให้เร็วที่สุด ข้าไม่อยากไปแหย่เจ้าลาหัวดื้อตัวนี้ให้ขุ่นเคือง หาเรื่องให้มันมาเตะข้าสองทีนักหรอก!”
สื่อมามาเห็นว่าเป้าหมายบรรลุแล้ว เหมือนอย่างที่ซางมามากล่าวเอาไว้เช่นนั้นจริงๆ ด้วย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เพียงไม่โกรธ ยังอารมณ์ดีอีกด้วย หลังจากชื่นชมซางมามาแล้ว ก็รู้สึกโล่งอกตามลงมาด้วยเช่นกัน กล่าวเย้าแหย่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ต่อหน้าท่านนายท่านสี่ไม่ปิดบังอะไรท่านเลยสักนิดเดียว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะคำนวณเอาไว้อย่างละเอียดแล้วว่าท่านจะเห็นใจเขา จะไม่บังคับเขา มีแม่ลูกกี่คู่กันที่เป็นได้เช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉาแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ! รอให้สะใภ้คนใหม่แต่งเข้ามาแล้ว ต้องเข้ากันดี ให้ท่านได้เล่นกับหลานในช่วงบั้นปลายของชีวิตอย่างมีความสุขเป็นแน่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าไม่หยุด ดูมีความสุขยิ่งนัก
ไม่มีอาการระแวดระวังการประจบที่ไม่ได้เรื่องนี้เลยสักสาย
นางสั่งให้สื่อมามาส่งเทียบเชิญไปให้นายหญิงผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนของจวนสี่
สื่อมามาประหลาดใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “สุดท้ายแล้วก็เป็นยายกับป้าสะใภ้ของเสาจิ่น นิสัยของทั้งสองคนก็ไม่เลวนัก ถือเสียว่าเป็นการให้หน้าเสาจิ่นสักครั้งก็แล้วกัน จากนั้นเจ้าค่อยส่งเทียบเชิญไปให้นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัวใบหนึ่ง จะพาใครมาด้วยนั้นก็ให้เป็นการตัดสินใจของนางเองก็แล้วกัน ส่วนฮูหยินใหญ่กับสะใภ้ทั้งหลายของตระกูลกู้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ข้าไม่เชิญแล้วก็แล้วกัน แต่เจ้าต้องบอกต่อคำพูดนี้ไปให้พวกเขาทราบด้วย ส่วนทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่าของเหลียงกั๋วกงนั้น เกรงว่าคงจะจองห้องส่วนตัวเอาไว้ด้วยเช่นกัน แต่ด้วยมารยาทแล้วก็ต้องบอกสักหน่อย ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ต้องสนใจแล้ว ข้าเองก็ไม่มีอารมณ์ไปรับมือกับปีศาจเหล่านั้นเช่นกัน”
นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัวเป็นพี่สะใภ้ของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
สื่อมามาขานรับคำยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ”
จวนเหลียงกั๋วกงเองก็จองห้องส่วนตัวเอาไว้เช่นกัน ยังอยู่ติดกับห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัวพอดีด้วย ตำแหน่งของทั้งสองตระกูลต่างก็เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด ถึงเวลานั้นฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเหลียงกั๋วกงเองก็จะพาสหายสนิทไปดูแข่งเรือมังกรด้วย ส่งบ่าวสูงวัยมาบอกว่า ถึงเวลานั้นให้ทั้งสองตระกูลมาร่วมสนุกด้วยกัน
แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอบรับไปอย่างยิ้มแย้ม
เมื่อถึงเวลานั้นนอกจากนายหญิงผู้เฒ่ากับบุตรสะใภ้สองคนแล้ว ตระกูลกัวยังจะพาหลานสะใภ้สองสามคนกับคุณหนูที่ยังไม่ได้แต่งงานอีกสองคนไปด้วย
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนของจวนสี่ตอบรับคำเชิญด้วยความยินดี
หลังจากที่โจวเสาจิ่นได้รับข่าวแล้วลอบกล่าวกับฝานหลิวซื่อว่า “ท่านน้าฉือบอกให้ข้าไม่ต้องยุ่ง ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปจัดการจริงๆ ด้วย เรื่องราวต่างถูกจัดการเอาไว้อย่างถูกต้องเหมาะสมทุกประการ”
ฝานหลิวซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเจ้าค่ะ! นายท่านสี่เป็นผู้ใดกัน ค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารและอาภรณ์ต่างๆ ของหนึ่งครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ล้วนอยู่ในความดูแลของเขา เขายังจะผิดพลาดได้หรือ!”
โจวเสาจิ่นเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “ต่อไปข้าจะต้องจัดการเรื่องของตัวเองให้ดี ไม่เพิ่มภาระให้ท่านน้าฉืออีก”
ฝานหลิวซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูจะมีเรื่องอะไรอะไรได้ ต่อไปท่านเพียงต้องเชื่อฟังฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับนายท่านสี่ให้ดีก็พอแล้วเจ้าค่ะ! ทั้งสองท่านล้วนเป็นคนที่มีจิตใจดี คุณหนูรองได้รับความโปรดปรานของพวกท่านทั้งสอง นั่นก็นับว่าได้ตกลงไปในถังแห่งความโชคดีแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มแห้งอย่างเคืองๆ
พูดราวกับว่านางเป็นตัววุ่นวายหนึ่งก็ไม่ปาน!
ตนใช้ไม่ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ
แต่แน่นอนว่าก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นเช่นกัน…
นางไปจวนสี่ครั้งหนึ่ง ไปขอคำชี้แนะว่าในวันเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างวันนั้นตนควรจะสวมชุดอะไรดี
ความใกล้ชิดที่นางแสดงออกมาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างก็ชื่นชอบยิ่งนัก ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยังมอบปิ่นปักผมทองชุบฝังหินซงลี่ว์สีฟ้าหนึ่งชิ้นเป็นรางวัลให้โจวเสาจิ่นด้วย
กระทั่งถึงวันเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างวันนั้น อากาศก็เริ่มร้อนขึ้นมาแล้ว
โจวเสาจิ่นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหังโจวสีเขียวอ่อนไร้ลวดลาย ด้านในเป็นเสื้อแขนยาวถึงข้อมือปกคอตั้งสีขาว กระโปรงจีบทอลายสีถั่วเขียว มวยผมขึ้น ประดับด้วยปิ่นดอกไม้ขนาดเล็กทำจากไข่มุกใต้ แต่งตัวอย่างเรียบง่ายทว่างดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ประหนึ่งลมเย็นสบายสายหนึ่ง ทำให้คนมองแล้วรู้สึกจิตใจสงบสุข
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองชุดเพ่ยจื่อสีน้ำเงินไพลินลายเมฆมงคลของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า กล่าวยิ้มๆ ว่า “ยืนคู่กันแล้วทำให้พวกเราดูไม่เหมือนกันไปเลย!”
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “มิใช่ว่าข้าเย็บชุดเพ่ยจื่อสีเขียวน้ำทะเลให้ท่านชุดหนึ่งหรือเจ้าคะ ท่านน่าจะสวมชุดนั้นเจ้าค่ะ!”
“สีซีดออกขนาดนั้น ข้าจะสวมไปได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่ายศีรษะรัว
โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าใช้สีเหลืองอ้อยปักลายดอกไม้ลงบนแถบเสื้อสีน้ำตาลให้ท่าน สวมคู่กับกระโปรงจีบหม่าเมี่ยนสีน้ำตาล กำลังดีเลยเจ้าค่ะ! หากท่านไม่เชื่อ ไม่สู้ลองไปสวมดูก่อน ถ้าหากไม่ดีค่อยเปลี่ยนกลับมาก็ได้นี่เจ้าคะ!”
ปี้อวี้และคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปลองสวมดูไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้านทานพวกสาวใช้ที่ทั้งดึงทั้งลากเหล่านั้นไม่ไหว จึงไปเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่มา
สื่อมามารีบกล่าวขึ้นว่า “ไอ้โหยว ฮูหยินผู้เฒ่าของข้า ท่านแต่งตัวเช่นนี้แล้ว ดูอ่อนเยาว์ลงไปหลายปีเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็คิดว่าดีเช่นกัน
ที่สำคัญคือมองแล้วรู้สึกสดชื่น
นางลูบผมบริเวณต้นคออยู่หน้ากระจกอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เพียงแต่ว่ามีผมขาวพวกนี้เยอะไปหน่อย!”
“มีผมขาวสิเจ้าคะถึงจะดี!” โจวเสาจิ่นช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลือกปิ่นปักผมทองฝั่งหยกสีขาวมาคู่หนึ่งแล้วช่วยปักลงไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว เอ่ยขึ้นว่า “มีผมขาวถึงจะดูมีรัศมี ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้วเจ้าค่ะ ท่านควรจะเชื่อข้าถึงจะถูก”
พอนึกถึงชุดที่โจวเสาจิ่นทำให้ที่นางสวมอยู่บนกายชุดนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็หัวเราะร่าขึ้นมา