ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 302 ตามหาคน
จูจูรับมือกับสถานการณ์ด้วยอาการสงบนิ่งอีกทั้งยังมีความคิดเป็นของตัวเอง โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงเลย เคยคิดว่านางเป็นเพียงคุณหนูใหญ่จากตระกูลชั้นสูงที่ถูกตามใจจนเสียคนผู้หนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนหน้านี้เฉิงเจียเคยปฏิเสธงานแต่งกับจูเผิงจวี่ซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงมาแล้วด้วย เวลานี้นางอดไม่ได้ที่จะมองจูจูอย่างชื่นชมครั้งหนึ่ง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก!”
“ขอบคุณอะไรกัน!” จูจูกล่าวขึ้นอย่างไม่ปัดความรับผิดชอบว่า “พวกเราล้วนเป็นพี่สาวน้องสาวที่ดีต่อกัน ข้าเองก็ไม่อยากให้ชื่อเสียงของนางเสียหาย ทางด้านขององครักษ์ลับของจวนกั๋วกงนั้น ข้าจะหาวิธีไปสั่งการเอาไว้ ดูว่าจะมีข่าวคราวอะไรบ้างหรือไม่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
ถึงแม้จะรู้สึกว่าถ้าจูจูยังคิดได้ เฉิงฉือย่อมต้องคิดได้เหมือนกัน แต่นางก็ยังคงไม่วายเป็นห่วงเฉิงเจียเป็นอย่างมาก กกกอดลำแสงแห่งความหวังเอาไว้ หวังว่าจะสามารถใช้กล้องส่องทางไกลส่องเจอเฉิงเจียได้ สามารถควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในวงแคบที่สุดได้
เนื่องจากว่าใกล้จะเริ่มการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศแล้ว
ครั้นการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศจบลง พวกนางก็จะต้องเดินทางกลับจวนแล้ว
เวลานี้หากผู้อื่นสังเกตเห็นว่าเฉิงเจียหายตัวไป ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุหรือเหตุผลอะไร ชื่อเสียงของเฉิงเจียในชีวิตนี้ก็คงจะจบกันแล้ว
ทั้งสองคนแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น จับมือกันเดินไปที่หน้าต่างด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
เรือมังกรทั้งสี่ลำกำลังพายกันอย่างดุเดือด เสียงโห่ร้องจากชายฝั่งดังให้ได้ยินไม่ขาดสาย คนในห้องส่วนตัวต่างมองกันตาไม่กระพริบ
จูจูตบตัวคุณหนูหกของตระกูลกัวที่กำลังถือกล้องส่องทางไกลชมการแข่งขันอยู่เบาๆ พลางกล่าวขึ้นว่า “ไอโหยว เจ้าจะใช้อีกนานเท่าไร ข้าอยากจะรีบดูสักหน่อยว่าตกลงผู้ใดได้เข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศบ้าง!”
พวกนางตกลงกันตั้งแต่ต้นว่าจะผลัดกันใช้กล้องส่องทางไกลคนละครึ่งเค่อ เมื่อคุณหนูหกของตระกูลกู้ใช้เสร็จแล้ว ก็ควรจะให้คุณหนูเจ็ดของตระกูลกัวใช้ต่อ คุณหนูหกของตระกูลกัวได้ยินแล้วสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ คุณหนูหกของตระกูลกัวเห็นเช่นนั้นจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไรๆ ให้คุณหนูจูใช้ก่อนก็แล้วกัน ข้าอยู่ตรงนี้ก็มองเห็นชัดเจนดี”
กูที่สิบเจ็ดเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบผู้หนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “อาจู เจ้าแทรกแถวผู้อื่นเช่นนี้ การใช้กล้องส่องทางไกลหลังจากนี้ก็จะยุ่งเหยิงไปหมด ประเดี๋ยวหากเจ้าเถียงไม่ชนะ จะโมโหไม่ได้เด็ดขาด”
ความหมายก็คือในเมื่อเจ้าทำลายกฎแล้ว ถึงเวลาก็จะไม่มีใครโต้แย้งแทนเจ้าอีก
จูจูจึงยิ้มพลางกอดแขนของกูที่สิบเจ็ดเอาไว้ กล่าวอย่างออดอ้อนว่า “พี่สาวคนดี พวกท่านยอมให้ข้าสักครั้งเถิด ข้ารับปากว่าประเดี๋ยวข้าจะไม่ใช้กล้องส่องทางไกลอีกแล้ว หากมิใช่เพราะในกลุ่มนี้มีเรือของตระกูลซุนอยู่ด้วย ข้าก็คงไม่อยากดูเพียงนี้หรอก!”
โดยมากคนต่างคาดเดากันว่าเพื่อแข่งแพ้ชนะกับตระกูลหลิวแล้ว ตระกูลซุนถึงได้เข้าร่วมการแข่งขันเรือมังกรในครั้งนี้ด้วย
และคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลิวก็ใกล้จะแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้เล็กของจวนเหลียงกั๋วกงแล้ว
คุณหนูหกกับคุณหนูเจ็ดของตระกูลกัวได้ยินแล้วก็แลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง
คุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้ช่วยออกหน้าผดุงความยุติธรรมให้พวกนางแล้ว คุณหนูใหญ่จูก็ยังคงไม่ยอมลงให้ ทุกคนต่างรู้ว่าเป็นความผิดของคุณหนูใหญ่ตระกูลจูก็พอแล้ว นอกจากนี้หากพวกนางยังดึงดันต่อไป มีแต่จะทำให้คุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้ที่ช่วยออกหน้าผดุงความยุติธรรมให้พวกนางต้องลำบากใจเปล่าๆ
คุณหนูหกของตระกูลกัวยื่นกล้องส่องทางไกลให้จูจูเงียบๆ
จูจูรับกล้องส่องทางไกลมาอย่างยินดีไม่คิดมากอะไร ยกขึ้นมาส่องมองไปรอบๆ
กูที่สิบเจ็ดรีบก้าวเข้าไปกล่าวกับคุณหนูหกของตระกูลกัวอย่างขออภัยว่า “นางก็เป็นเช่นนี้ ขอให้น้องสาวทั้งสองท่านอดทนสักหน่อย ครั้งนี้ถือเสียว่ายอมลงให้นาง ประเดี๋ยวหากนางทำเช่นนี้อีก ข้าจะไปบอกฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอง”
คุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัวคิดไม่ถึงว่ากูที่สิบเจ็ดจะมีน้ำใจถึงเพียงนี้ ความไม่พอใจเล็กๆ นั้นก็มลายหายไป กล่าวขึ้นอย่างพร้อมเพียงกันว่า “เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พี่สาวกู้อย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย หากวุ่นวายไปถึงพวกผู้ใหญ่ทางด้านโน้น จะหาว่าพวกเราพี่สาวน้องสาวไม่รู้จักยอมลงให้กัน ไม่เชื่อฟังเสียเปล่าๆ เจ้าค่ะ”
กูที่สิบเจ็ดได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “น้องสาวทั้งสองท่านระวังได้ถูกต้องแล้ว เป็นข้าเองที่พิจารณาได้ไม่รอบด้าน อย่างไรก็ตาม ก็ไม่อาจให้น้องสาวทั้งสองท่านถูกเอาเปรียบได้ ขอให้น้องสาวทั้งสองท่านอดทนเอาไว้ชั่วคราวก่อน”
คุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัวควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี กล่าวขอบคุณนางยิ้มๆ เดินไปดูการแข่งขันเรือมังกรที่หน้าต่างอีกบานหนึ่งพร้อมกับกูที่สิบเจ็ด กูที่สิบแปดและกูที่ยี่สิบของตระกูลกู้ ส่วนหน้าต่างทางด้านนี้จึงเหลือจูจูเพียงคนเดียว
จูจูจึงหันไปกวักมือเรียกโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “เจ้ารีบมาดูเร็วเข้าๆ!”
โจวเสาจิ่นสะดุ้งตกใจ คิดว่าจูจูพบอะไรแล้ว จึงรีบเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
จูจูยัดกล้องส่องทางไกลไปไว้ในมือของนาง รีบกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าดูไปแล้วครึ่งค่อนวันก็ยังหาไม่เจอ เจ้าเอาไปดูให้ละเอียดอีกที เกรงว่าอาจจะตกหล่นอะไรไปได้”
นับตั้งแต่ที่เฉิงเจียไปห้องทางการจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบจะสองเค่อแล้ว หากเฉิงเจียเจตนาจริงๆ เวลานี้ยังหานางไม่เจอ เกรงว่านางคงเดินไปไกลแล้ว
โจวเสาจิ่นรู้สึกดวงใจหนักอึ้ง รับกล้องส่องทางไกลมาค่อยๆ มองสำรวจถนนที่มีคนเดินเบียดเสียดกันอย่างแน่นขนัดช้าๆ
กูที่สิบเจ็ดที่อยู่ทางโน้นมองมาที่โจวเสาจิ่นกับจูจูครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ยิ่งให้การรับรองคุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัวอย่างกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น
โจวเสาจิ่นไม่ทันได้สนใจเรื่องพวกนี้ พยายามมองหาสตรีสวมชุดสีแดงสดบนถนนอย่างละเอียด
ด้านนอกของหอชิงเยียนเป็นถนนขนาดใหญ่ที่รถวิ่งได้สามคันเส้นหนึ่ง ระยะห่างทุกๆ สองจั้งของสองข้างทางปลูกต้นหลิวเอาไว้หนึ่งต้น ถึงแม้ต้นหลิวเหล่านั้นจะเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์และเขียวชอุ่ม แต่ก็ไม่เหมือนกับต้นตั๊กแตนหรือไม่ก็ต้นการบูรที่ยอดไม้เป็นพุ่มขึ้นไปประหนึ่งร่ม แต่ต้นหลิวห้อยระย้าจากบนลงล่างทำให้มองอะไรไม่เห็น
นางเจอหญิงสาวสวมชุดสีแดงตรงแผงลอยขายของที่อยู่ใต้ต้นไม้กับบนถนนที่จอแจไปด้วยผู้คนหลายคน แต่ทั้งหมดล้วนไม่ใช่เฉิงเจีย
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา
นางคงไม่อาจถือกล้องส่องทางไกลเอาไว้ตลอดโดยไม่คืนให้คุณหนูหกของตระกูลกัวหรอกกระมัง
โจวเสาจิ่นจึงรีบมองหาสตรีสวมชุดแดงที่เดินอยู่บนถนนอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น หางตาของนางเหลือบมองไปที่ประตูข้างที่อยู่ข้างๆ หอชิงเยียนโดยไม่ได้ตั้งใจ
ใต้ต้นตั๊กแตนต้นใหญ่ ดูเหมือนว่าจะมีชายกระโปรงสีแดงชายหนึ่งถูกลมพัดปลิวขึ้นมา แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นใจเต้นประหนึ่งตีกลอง
บางครั้งสถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด
นอกจากนี้ลึกๆ แล้วนางก็ไม่ค่อยเชื่อว่าหลี่จิ้งจะหลอกลักพาตัวเฉิงเจียหนีไป
ต้องรู้ว่าผู้ที่ตบแต่งจะได้เป็นภรรยาส่วนผู้ที่หนีตามไปเป็นได้เพียงอนุ
เนื่องจากแม้แต่จะเข้าจวนไปพบเฉิงเจียเขายังต้องคิดคำนวณอย่างระมัดระวังว่าจะใช้วิธีการอะไร แล้วจะกระทำเรื่องที่จะทำลายเฉิงเจียโดยไม่สนใจอะไรเลยเช่นนี้ได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นมองภาพเหตุการณ์ที่อยู่ข้างๆ ต้นไม้ใหญ่อย่างละเอียด
ประตูข้างบานนั้นหันหลังให้ทะเลสาบโม่โฉวพอดิบพอดี บางทีอาจจะเป็นเพราะทุกคนล้วนกำลังดูความครึกครื้นกันอยู่ เวลานี้บานประตูจึงถูกปิดเอาไว้อย่างเงียบเชียบไม่มีคนอื่นเข้าออก แต่ไม่ไกลจากใต้ต้นหลิวกลับมีคนท่าทางคล้ายสาวใช้ผู้หนึ่งยืนมองซ้ายมองขวาอยู่ ราวกับกำลังมองต้นทางอยู่อย่างไรอย่างนั้น
สาวใช้ผู้นั้นน่าจะกำลังระแวดระวังคนที่เดินมุ่งหน้าไปทางทะเลสาบโม่โฉว หันหลังให้ห้องส่วนตัวที่โจวเสาจิ่นยืนอยู่ จึงทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัด
จู่ๆ โจวเสาจิ่นก็จำไม่ได้ว่าวันนี้ชุ่ยหวนสวมชุดอะไร แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียดอีกที ก็ดูเหมือนกับว่าชุ่ยหวนจะไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นต่อหน้านางเลยสักครั้ง
เฉิงเจียผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว!
โจวเสาจิ่นโกรธจนเกือบจะกระทืบเท้าแล้ว
นางหันไปส่งสายตาให้จูจูครั้งหนึ่ง ยื่นกล้องส่องทางไกลส่งให้นาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเห็นแล้ว ดูเหมือนว่าเรือมังกรของตระกูลซุนจะนำอยู่”
สีหน้าของจูจูพลันผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย ยื่นกล้องส่องทางไกลส่งให้คุณหนูหกตระกูลกัว กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูหก ต้องขออภัยเจ้าจริงๆ ที่ฉกฉวยของของเจ้ามา ประเดี๋ยวพวกเจ้าก็ผลัดกันดูเถิด ข้าไม่ร่วมด้วยแล้ว”
พอนางกล่าวเช่นนี้ คุณหนูหกตระกูลกัวกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าสนใจการแข่งขันรอบนี้มากถึงเพียงนี้ ก็ดูการแข่งขันรอบนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยคืนให้ข้าก็แล้วกัน!”
จูจูเองก็อยากรู้ว่าตระกูลซุนจะชนะหรือจะแพ้มากจริงๆ ถ้าหากตระกูลซุนกับตระกูลหลิวมาพบกันในรอบชิงชนะเลิศจริงๆ ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องน่าตลกขบขันเรื่องหนึ่งอยู่ดี
แต่นางก็เป็นห่วงเฉิงเจียด้วย
จึงมองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นใช้โอกาสนี้เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปห้องทางการ พวกเจ้าเล่นกันไปก่อน”
เป็นสัญญาณบอกจูจูว่าไม่ต้องสนใจนาง นางจะไปตามหาคน
เนื่องจากนี่เป็นเรื่องภายในของตระกูลเฉิง นางเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยมากเกินไปก็ไม่ค่อยดีนัก
นางฉวยโอกาสนี้กล่าวขอบคุณคุณหนูหกตระกูลกัวยิ้มๆ แล้วดูการแข่งเรือมังกรต่อ
ส่วนโจวเสาจิ่นบอกกล่าวคนอื่นๆ ให้ทราบแล้ว ก็พาปี้เถาออกจากห้องส่วนตัวไป
แต่เนื่องจากมีประสบการณ์ของชาติก่อนมาแล้ว นางจึงกลายเป็นคนระแวดระวังเป็นอย่างมาก พะวงถึงขั้นที่มองทุกอย่างเป็นศัตรูเอาไว้ก่อน
นางให้ปี้เถาไปเคาะประตูของเฉิงฉือ ส่วนตัวเองหลบไปยืนอยู่ข้างๆ
คิดไม่ถึงว่าคนที่มาเปิดประตูจะเป็นเฉิงฉือ
เขาก้าวยาวๆ เดินออกมา พร้อมกับปิดประตูให้เรียบร้อย กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าคาดไม่ถึงเล็กน้อยว่า “เจ้ามาทำไม ข้าให้คนไปตามหาเฉิงเจียแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หากจวนสามถามขึ้นมาข้าจะเป็นคนตอบเอง ถ้าก่อนที่การแข่งขันเรือมังกรจะจบลงก็ยังหาตัวนางไม่เจอ เจ้าก็บอกไปว่าเฉิงเจียไม่ค่อยสบาย จึงกลับไปก่อนแล้ว จากนั้นค่อยไปแอบกระซิบบอกมารดาของข้าให้ทราบก็พอ เจ้ารีบกลับห้องไปเสีย ระวังอย่าให้ผู้อื่นพบเห็นเข้า!”
เฉิงเจียได้รับคำเชิญจากโจวเสาจิ่น หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโจวเสาจิ่นหรือจวนหลักล้วนปัดความรับผิดชอบไปไม่ได้!
ที่ผ่านมาเฉิงฉือยังไม่เคยพูดกับโจวเสาจิ่นอย่างดุดันเช่นนี้มาก่อน
โจวเสาจิ่นรู้สึกผิดยิ่งนัก ก้มหน้าลงขานรับอย่างเชื่อฟังว่า “เจ้าค่ะ” แต่ก็ยังคงกล่าวขึ้นเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าดูเหมือนว่าจะเจอเฉิงเจียแล้ว ข้าอยากไปดูสักหน่อยเจ้าค่ะ ท่านให้จี๋อิ๋งไปเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือชะงักงัน
รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง
เรื่องที่เฉิงเจียหายตัวไปเขาไม่ได้เอามาใส่ใจ แต่สภาพจิตใจของเสาจิ่นต้องไม่ดีมากเป็นแน่
นอกจากนี้นางก็ไม่มีประสบการณ์อะไร การที่ให้คนมาบอกเขาอย่างสงบนิ่ง จากนั้นยังมาขอให้เขาช่วยส่งคนไปตามหาคนพร้อมกับนางเช่นนี้ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว น้ำเสียงของเขาเมื่อครู่ออกจะแข็งกระด้างไปเล็กน้อย แม้จะไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ใช่เพราะนางด้วย แต่คนที่ต้องมาเห็นสีหน้าและได้ยินน้ำเสียงของเขากลับเป็นนาง แล้วนางจะไม่ถูกทำร้ายจิตใจได้อย่างไร
เฉิงฉือปรับน้ำเสียงให้ช้าลง กล่าวเสียงนุ่มว่า “ข้าโมโหด้วยเรื่องอื่น ไม่ได้โมโหที่เจ้ามาหาข้า แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าพบเฉิงเจียแล้ว ข้าจะให้คนไปตามหาก็แล้วกัน เจ้าอย่าออกหน้าไปตามหาเอง เจ้าจะได้ไม่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เด็กดี เชื่อฟังข้า รีบกลับไปเสีย เรื่องนี้ยังมีข้าอยู่!”
คำว่า ‘เด็กดี’ คำนั้น กล่าวออกมาอย่างหวานซึ้งยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นมักจะได้ยินเฉิงฉือหลอกล่อนางเช่นนี้อยู่บ่อยๆ จึงเพียงรู้สึกว่ามันคล้ายกับแสงแดดอบอุ่นที่ทำให้ตนเชื่อฟังอยู่ในโอวาทเท่านั้น รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
ทว่าปี้เถาที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกกลับหน้าแดงเถือกราวกับจะหลั่งเลือดออกมาได้ก็ไม่ปาน ไม่กล้าแอบมองไปที่โจวเสาจิ่นกับเฉิงฉือเลยสักนิด
โจวเสาจิ่นปากกล่าวขึ้นว่า “ข้าไปเองดีกว่าเจ้าค่ะ! หากเฉิงเจียโวยวายขึ้นมา อย่างไรก็คงไม่ดีแน่…”
เห็นว่านางกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งแล้ว เฉิงฉือรู้สึกเบาใจลง กล่าวขึ้นว่า “ข้าให้จี๋อิ๋งออกไปตามหาเฉิงเจีย ตอนนี้นางไม่อยู่…”
โจวเสาจิ่นผิดหวังยิ่งนัก
หรือว่าที่นางอยากจะไปตามหาเฉิงเจียนั้นไม่เพียงเพราะเป็นห่วงเฉิงเจียเท่านั้น ยังมีความคิดอยากจะแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองด้วย?
เฉิงฉือมองอย่างคาดเดาไปด้วย พลันเปลี่ยนความคิดในทันใด กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะให้ซางมามาไปเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน! ตอนสาวๆ นางเคยทำงานเป็นจับกังอยู่ที่ท่าเรือมาก่อน แม้นตอนนี้อายุมากแล้ว แต่ยังคงมีเรี่ยวแรงดีอยู่ ใช้การได้ดีกว่าป้าร่างกำยำพวกนั้นมาก ไปจับเฉิงเจียก็เสมือนกับจับลูกนกตัวหนึ่งเท่านั้น”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม
ใบหน้าสดใสขึ้นมา
เฉิงฉือถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ เรียกซางมามาเข้ามา แล้วก็กล่าวย้ำกำชับโจวเสาจิ่นอีกครั้งอย่างไม่วางใจว่า “เจ้าเองก็ต้องรู้จักมีไหวพริบด้วย อย่าให้หาตัวเฉิงเจียไม่พบไม่พอ ข้ายังต้องไปตามหาตัวเจ้าอีก”
“ข้าจะเชื่อฟังคำของท่านน้าฉืออย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นรับปากแข็งขัน ใบหน้ายิ้มแย้มประหนึ่งดอกไม้บานดอกหนึ่ง
เฉิงฉือเดินเข้าห้องส่วนตัวไปอย่างไม่มีทางเลือก
โจวเสาจิ่นพาซางมามาเดินตรงไปยังท้ายสวน
ระหว่างทาง เล่าเรื่องที่ตนค้นพบให้ซางมามาฟังไปด้วย