ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 311 ยากจะควบคุม
ชั่วขณะหนึ่งนั้นภายในและนอกห้องเงียบงันไร้สุ้มเสียงใดๆ
นานพักใหญ่กว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น หลับไปแล้วหรือ”
น้ำเสียงของนางเคร่งเครียดเล็กน้อย
เฉิงฉือพยักหน้า แววตาอันกระจ่างใสดั่งห้วยน้ำลึก แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็นที่ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดประเภทหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกผิดหวัง แต่ในใจก็รู้สึกภูมิใจอยู่ด้วยอย่างเลือนราง
บุตรชายเป็นคนที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว อ่อนนอกแข็งใน กล้าทำกล้ารับผู้หนึ่ง
นี่เคยเป็นบุตรชายแบบที่นางคาดหวัง
แต่ตอนนี้เมื่อนางได้เจอกับตัว นางได้แต่รู้สึกจนปัญญา
“เช่นนั้นก็ดี!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้ พึมพำขึ้นว่า “ข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จะกลับไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน!”
เฉิงฉือเดินออกมา กระซิบเสียงเบาว่า “ข้าจะให้ซางมามาส่งท่านกลับไปนะขอรับ!”
“มิต้องหรอก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเสียงค่อยว่า “ทางด้านของเจ้าทางนี้ก็ต้องการคนรับใช้เหมือนกัน ข้างกายข้ามีสื่อมามาปรนนิบัติก็พอแล้ว”
เฉิงฉือครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านระวังตัวด้วยขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า จับแขนของสื่อมามา แล้วเดินตัวตรงออกจากเรือนฝูชุ่ยไป
เฉิงฉือยืนอยู่ที่ระเบียง มองดูร่างเงาของมารดาค่อยๆ ลับหายไป แววตาของเขาก็ค่อยๆ หม่นหมองลง
กลางดึก ฝนตกลงมาห่าใหญ่
เฉิงฉือป้อนยาให้โจวเสาจิ่นอีกครั้งหนึ่ง
ไข้ของโจวเสาจิ่นลดลงแล้ว
เฉิงฉือรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ภายในห้องชั้นในอันมืดสนิทของเรือนหลัก ณ เรือนหานปี้ซานนั้น ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่นอนพลิกตัวไปมาอย่างไรก็นอนไม่หลับคู่นั้นเปล่งประกายสุกใสดั่งดวงดาวอันไกลโพ้น
นางบอกเจินจูที่เฝ้าเวรว่า “เจ้าไปที่เรือนฝูชุ่ยให้ที ดูว่าคุณหนูรองเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เจินจูตะลึงงัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นผู้ที่ใส่ใจผู้อื่นเป็นที่สุด ข้างนอกฝนตกหนักและมีลมพายุใหญ่ นางจะยอมปล่อยให้พวกนางฝ่าลมฝ่าฝนออกไปข้างนอกได้อย่างไร
ทว่านางรีบเก็บอารมณ์คืนมาอย่างรวดเร็ว พลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม แล้วกางร่มพร้อมกับสวมเสื้อคลุมมุ่งหน้าไปที่เรือนฝูชุ่ย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลุกขึ้นมานั่ง เอนตัวพิงหัวเตียงอยู่ตามลำพังนานพักใหญ่ จากนั้นก็ตะโกนเรียกสาวใช้ที่เฝ้าเวรยามอยู่ข้างนอกว่า “เจ้ามาช่วยประคองข้าขึ้นจากเตียงที ข้าอยากจะไปจุดธูปที่ห้องพระสักหน่อย”
สาวใช้เด็กไม่กล้าชักช้า รีบประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นมา
เฝ่ยชุ่ยที่นอนหลับอยู่ในห้องข้างถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา จากนั้นก็บอกให้สาวใช้เด็กจุดโคมไฟ แล้วกางร่มไปที่ห้องพระเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว
แสงตะเกียงภายในห้องพระวูบไหว สะท้อนร่างเงาของคนสั้นยาวโอนเอนไปมา ทว่าดวงหน้าขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิมกลับยังคงเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลับตาลง สะกดกลั้นน้ำตาหนึ่งหยดที่เอ่ออยู่ที่ขอบตาไว้ในดวงตา
เจ้าสี่หนอเจ้าสี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะตกหลุมรักเสาจิ่นไปได้
นั่นเป็นหลานสาวในนามของเขานะ
หากว่าเรื่องนี้ถูกผู้อื่นสังเกตเห็นขึ้นมาล่ะก็ ชีวิตของเจ้าสี่ก็คงจบสิ้นแล้ว
นางยังรับโจวเสาจิ่นมาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานอีก
พอคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดรู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมาจากใจไม่ได้
ตั้งแต่เล็กเจ้าสี่ก็มีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง นางไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาก็จะวางอุบายแม้แต่กับตน
โจวเสาจิ่นผู้นั้นดีขนาดนั้นจริงหรือ
ดีเลิศจนเขาไม่แม้แต่จะสนใจเรื่องชื่อเสียงหรือระเบียบความสัมพันธ์ในสังคมแล้วอย่างนั้นหรือ
ในห้วงสมองของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีภาพโจวเสาจิ่นที่ยิ้มละไมราวบุบผาวาบผ่าน
เจิดจ้าดั่งแสงตะวัน สดใสดั่งแสงวสันต์
เด็กสาวเช่นนี้ จะไปยั่วยวนเจ้าสี่ของพวกนางได้หรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตัวสั่นเทิ้ม
เมื่อบังเกิดจิตใจชั่วช้า ใบไม้ใบเดียวก็บังตาได้
นางไม่อาจมีอคติกับโจวเสาจิ่นเหตุเพราะโจวเสาจิ่นอาจจะกีดขวางหรือกระทั่งทำลายอนาคตของเจ้าสี่ได้
โจวเสาจิ่นเป็นเพียงเด็กสาวที่อายุไม่ถึงสิบสี่ปี แต่เจ้าสี่เป็นผู้ที่เดินทางอยู่ข้างนอกมานานหลายปี มีหญิงสาวใดบ้างที่เขาไม่เคยพบเห็น แม้แต่จี๋อิ๋ง ก็ยังเมินเฉยไม่แยแสมิใช่หรือ
เรื่องนี้ เกรงว่าปมปัญหายังคงอยู่ที่เจ้าสี่
หากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ นางควรจะทำอย่างไรดี
นางเป็นหนี้บุตรชายคนนี้มากมายเหลือเกิน หรือว่าแม้แต่เรื่องแต่งงาน ก็ไม่อาจปล่อยให้เขาแต่งงานได้ตามใจปรารถนาอย่างนั้นหรือ
แต่ทำไมคนที่เขาหลงรักถึงต้องเป็นโจวเสาจิ่น บุตรสาวของโจวเจิ้นด้วยเล่า
ถ้าหากเป็นผู้อื่นจะดีมากสักเพียงใด
เป็นครั้งที่สองในชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่นางรู้สึกเสียศูนย์จนทำอะไรไม่ถูก ราวกับหัวสมองตื้อตันไปหมด ครั้งแรก คือตอนที่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองบอกให้เฉิงฉือดูแลกิจการของบ้าน ตอนนั้นนางก็รู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง แต่นางเป็นมารดาของบุตรสามคน นอกจากเจ้าสี่แล้ว ยังมีเจ้าใหญ่กับเจ้ารองอยู่…ดังนั้นนางจึงพยักหน้ายินยอมไป
ทว่าหนึ่งก้าวที่ย่างออกไปนี้ เมื่อหันกลับไปมองดูก็พบว่าสายเกินแก้ไปเสียแล้ว
ยังดีที่เจ้าสี่เป็นบุตรที่กตัญญูและมีจิตใจดีผู้หนึ่ง อะไรก็ไม่เอ่ยคัดค้านสักอย่าง ไม่ว่าตนจะได้รับความไม่เป็นธรรมเพียงใด ก็ยังคงดูแลกิจการต่างๆ ภายในบ้านโดยไม่พูดหรือบ่นสักคำ
แล้วครั้งนี้เล่า
หากนางตัดสินใจผิดอีกล่ะก็ เจ้าสี่ของนางจะถูกนางทำลายจนป่นปี้หรือไม่กันนะ
แต่ถ้าหากปล่อยให้เขาเป็นเช่นนี้ต่อไป จุดจบจะเป็นเช่นไรเล่า
เจ้าสี่ไปใกล้ชิดกับโจวเสาจิ่นถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน
ดูเหมือนว่าจะเป็นตอนที่ตนสนับสนุนให้โจวเสาจิ่นไปเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเจ้าสี่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหวนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตอนที่ไปเขาผู่ถัวและหลังจากที่โจวเสาจิ่นย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานอย่างถ้วนถี่…น่าเจ็บใจที่ปรกตินางไว้ใจบุตรชายคนนี้มากเกินไป จึงไม่ได้ระแวดระวังเลยว่าเจ้าสี่ทำอะไรไปบ้าง ทว่าตอนนี้พอขบคิดดูแล้วกลับรู้สึกว่าทั้งสองคนนั้นไม่ว่าจะเป็นการเล่นหมากล้อมหรือสนทนากันล้วนดูคลุมเครืออยู่หลายส่วน แต่พอใคร่ครวญอย่างละเอียด กลับรู้สึกว่าระหว่างทั้งสองคนนั้นก็มีความโปร่งใส ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างกันเลยสักนิดเดียว!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนวดขมับ พลางหลับตาลง แล้วพูดกับสามีที่ล่วงลับไปอยู่ในใจว่า “นายท่าน ท่านควรจะปกป้องรักษาเจ้าสี่จากบนฟ้าถึงจะถูกนะเจ้าคะ เขาชื่นชอบหลานสาวของตนเอง นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน หากว่าท่านมีจิตวิญญาณบนสวรรค์ ก็ช่วยดลบันดาลชี้ทางสว่างให้แก่ข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
นายโขกศีรษะแด่องค์กวนอิมด้วยความเคารพบูชา
เจินจูกลับมาแล้ว กระซิบแจ้งว่า “คุณหนูรองนอนหลับไม่ตื่นเลยเจ้าค่ะ นายท่านสี่เองก็เฝ้าไข้อยู่ตรงนั้นตลอดเช่นกัน ตอนนี้ไข้ของคุณหนูรองลดลงมาแล้ว นายท่านสี่บอกว่า อาการน่าจะดีขึ้นในไม่ช้า รอให้คุณหนูรองหายดีแล้ว จะให้นางมากล่าวขอบคุณท่านอีกทีเจ้าค่ะ”
เรื่องที่นางกังวลอยู่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าสี่จะเฝ้าไข้อยู่ที่นั่นตลอด!
มือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำเป็นหมัดไว้แน่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะควบคุมสีหน้าไม่ให้เผยพิรุธออกมา แต่กลับพูดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “หากเขาไม่เฝ้าไข้อยู่ที่นั่น เช่นนั้นข้าก็ต้องไปเฝ้าอยู่ตรงนั้นแทน เด็กคนนี้ รู้จักแสดงความกตัญญูต่อข้า!”
เจินจูไม่กล้าตอบกลับไป
ทว่าในใจกลับรู้สึกแปลกใจยิ่ง
คุณหนูรองไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรก็เป็นแขก ตอนนี้ป่วยไม่สบาย ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบดูแล การที่นายท่านสี่เฝ้าไข้อยู่ตรงนั้น ย่อมเป็นการแสดงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าเป็นธรรมดา แต่เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าถึงต้องมาอธิบายให้นางฟังด้วยเล่า
นางเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น
นอกจากนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากระทำสิ่งใดก็ไม่เคยอธิบายให้ผู้อื่นฟังเลยสักครั้ง!
นางเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวนอนลืมตามองท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้นมาตลอดทั้งคืน
สุดท้ายนางตัดสินใจแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
บุตรชายหาใช่ผู้ที่เลอะเลือนเช่นนั้น
ทั้งมิใช่ผู้ที่ใครๆ ก็เข้าใกล้ได้ประเภทนั้นด้วย
เขาโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยดูแลเอาใจใส่ผู้อื่นถึงเพียงนี้แม้แต่ผู้เดียว
หากว่านางพลั้งปากถามเขาเรื่องเสาจิ่นขึ้นมา ถ้าเขาปฏิเสธไปก็ยังดี แต่ถ้าหากเขายอมรับ ต่อไปนางควรจะทำอย่างไรดี เช่นนั้นก็ต้องคิดหาคำตอบให้ได้เสียก่อน
นางขบคิดปัญหานี้อยู่ทั้งคืน แต่ก็คิดแผนการที่เหมาะสมอะไรไม่ออกเลย
จะส่งโจวเสาจิ่นออกไปหรือ
แล้วบุตรชายจะคิดอย่างไร จะเห็นด้วยหรือไม่นะ
แต่เขามิใช่เจ้าใหญ่สักหน่อย!
บุตรชายคนเล็กของนางผู้นี้ยามที่กระทำสิ่งใดก็มักจะมีความคิดแยบคายอยู่เสมอ
ให้โจวเสาจิ่นรั้งอยู่ต่อไป?
หากว่าเขาพลั้งเผลอทำอะไรขึ้นมาอย่างชั่ววูบหรือเกิดข่าวลืออะไรออกมา นั่นก็ยุ่งยากเสียแล้ว
หรือจะเก็บโจวเสาจิ่นไว้ข้างกายนางดี
นางจะไม่พบหน้าเจ้าสี่ได้หรือ
ซ้ายก็ไม่ได้ ขวาก็ไม่ดี
นางได้แต่แสร้งทำเป็นสับสนมึนงงไปก่อน ควรรอจนกว่าจะคิดหาทางออกที่ดีที่สุดให้ได้ก่อนดีกว่า
จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงยิ่งนัก
สะใภ้คนโตเมื่ออยู่ต่อหน้านางทั้งหยิ่งยโสและต่ำต้อยน่าเวทนา ส่วนสะใภ้คนรองเมื่ออยู่ต่อหน้านางแม้แต่อมิตาพุทธประโยคนั้นยังไม่กล้าพูด ยามที่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา นางจึงไม่มีผู้ใดให้ปรึกษาได้แม้แต่ผู้เดียว
หากเจิงเจี่ยเอ๋อร์อยู่ด้วยก็คงจะดี!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจ แล้วถึงได้รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาเล็กน้อย
เฉิงฉือไม่ได้นอนทั้งคืน
เด็กน้อยนอนกระสับกระส่ายยิ่งนัก
ประเดี๋ยวก็ร้องว่า “ท่านแม่” ประเดี๋ยวก็ร้องว่า “ท่านพี่” และยังร้องว่า “ท่านน้าฉือ” สองสามครั้งอีกด้วย
เขาทั้งรู้สึกเห็นใจและปวดใจ
ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่หงเหมิน หรืออุบายหญิงงาม เขาผู้เดินทางอยู่ข้างนอก จะมีสถานการณ์ใดบ้างที่ไม่เคยพบเจอ
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยฉุกคิดมาก่อน เช่นนั้นเมื่อนางล้มป่วยลงเช่นนี้ ต่อให้เขาเป็นคนโง่คนหนึ่งก็เดาสถานการณ์ออกได้แปดถึงเก้าส่วนแล้ว
แต่ความคิดของนางตื้นเขินถึงเพียงนั้น ไหนเลยจะเข้าใจว่าความรักคืออะไร
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังถูกแบ่งแยกด้วยลำดับความอาวุโส
ต่อให้นางไม่เข้าใจ แต่เขาไม่อาจทำเป็นว่าไม่เข้าใจได้
รอให้นางหายดีแล้ว ค่อยส่งนางกลับไปที่เป่าติ้งก็แล้วกัน…
เมื่อเวลาผ่านไป ครั้นนางได้คบหามิตรสหายใหม่ๆ ก็จะค่อยๆ ลืมเขาไปได้เอง!
เฉิงฉือครุ่นคิดอย่างเศร้าใจ อารมณ์ดำดิ่งลงเล็กน้อย
ทว่าเขาเป็นคนที่เก็บซ่อนความรู้สึกของตนเองได้ดีเสมอมา ไม่นานก็สะกดความรู้สึกนี้ไว้ในก้นบึ้งของหัวใจได้แล้ว เขาลูบหน้าผากของโจวเสาจิ่นเบาๆ
โจวเสาจิ่นลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ
ดวงตากลมโตที่พร่ามัวดั่งแสงจันทร์สลัวก็รื้นชื้นขึ้นมา มีความอ่อนแอเปราะบางเหมือนเด็กน้อยประเภทหนึ่ง
“ท่านน้าฉือ” นางยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนหวาน “ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าคงจะฝันอยู่กระมัง”
ใช่แล้ว!
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
นี่เป็นห้องชั้นในของเด็กน้อย
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นน้าชายในนามผู้หนึ่ง ต่อให้เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของตัวเอง ก็ยังไม่อาจเฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงของนางโดยไม่ก่อให้เกิดข้อกังขาขึ้นมาได้
เฉิงฉือยกยิ้มพลางยืนขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้ามีไข้สูงตลอดทั้งคืน ข้าจึงไม่ค่อยวางใจ…ตอนนี้อาการของเจ้าดีขึ้นแล้ว…”
เขาจึงควรจะไปได้แล้ว
ทว่าไม่ทันรอให้เขาพูดจบ โจวเสาจิ่นก็ดึงแขนเสื้อของเขาเอาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ท่านอย่าไปนะเจ้าคะ! ท่านไปแล้ว ข้ารู้สึกกลัวยิ่งนัก! ท่านอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่! ข้าจะเชื่อฟังท่าน! ท่านอย่าไปเลยนะเจ้าคะ!”
น้ำเสียงนั้น ทั้งหวานหยดย้อยและเย้ายวนใจ ไหลตรงเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจของเฉิงฉือในทันที
จะอยู่ต่อไปหรือเดินออกไปดี
ในห้วงความคิดของเขามีสองเสียงนี้ตีกันอยู่ไม่หยุดหย่อน
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับหลับตาลง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าต้องฝันอยู่แน่ๆ! หากข้าหลับแล้ว ท่านน้าฉือก็จะไม่ไปไหนแล้ว”
เฉิงฉือรู้สึกสงสารจับใจ
เขาพร่ำบอกตัวเอง นางยังเป็นเพียงเด็กผู้หนึ่ง เขาจะคิดเล็กคิดน้อยกับนางด้วยเรื่องเหล่านี้ไปทำไม
เขาถือโอกาสนั่งลงไปอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นที่หลับตาอยู่จึงยิ้มหวาน
ดวงหน้าอันขาวผุดผ่อง ราวกับดอกถานฮวาที่กำลังแย้มบาน แฝงไว้ด้วยความงดงามหมดจดประเภทหนึ่งเอาไว้
เฉิงฉือตัดสินใจ ดึงแขนเสื้อที่โจวเสาจิ่นจับไว้อยู่ออกจากมือของนางเบาๆ
ลุกขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องชั้นใน
ซางมามาและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
รอจนกระทั่งโจวเสาจิ่นตื่นขึ้นมา ก็เป็นเรื่องของอีกสามวันหลังจากนั้นแล้ว
เหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างที่นางป่วยเป็นไข้นั้นนางล้วนจำอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น
จำได้เพียงแค่ที่เฉิงเจียบอกว่านางชอบหลี่จิ้งเท่านั้น
เพื่อหลี่จิ้งแล้ว นางยอมทำทุกอย่าง
นางเร่งให้ฝานหลิวซื่อไปเชิญเฉิงเจียมา กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ข้าป่วย เหตุใดนางถึงไม่มาเยี่ยมข้า”
แน่นอนว่าฝานหลิวไม่อาจเล่าเรื่องที่เฉิงเจียถูกกักบริเวณและลงโทษให้คัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ ห้าร้อยจบให้โจวเสาจิ่นฟังได้ ในทางกลับกันนางเปลี่ยนดอกทับทิมสีแดงสดที่ปักอยู่ในแจกันดอกไม้เป็นดอกพุดซ้อนที่หอมยียวนกับสาวใช้เด็กไปด้วย พลางกล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ป่วยหนักประหนึ่งภูเขาถล่มลงมา แต่เวลาจะหายป่วยกลับหายช้าประหนึ่งการสาวไหมอย่างระมัดระวัง วันนั้นท่านป่วยเป็นไข้สูงมาก ทำเอาพวกข้าตื่นตระหนกไปหมด ไม่เพียงฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่มาดูอาการท่านด้วยตัวเองเท่านั้น นายท่านสี่ยิ่งแล้วใหญ่เฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงท่านตลอดทั้งคืน ท่านมิได้เอ่ยถามถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือนายท่านสี่เลย ทว่ากลับนึกถึงแต่คุณหนูเจีย…ท่านอย่าหาว่าข้าปากมากเลยนะเจ้าคะ ตอนที่คุณหนูใหญ่อายุเท่ากับท่าน ก็รู้จักเรียนรู้ช่วยฮูหยินใหญ่เหมี่ยนดูแลงานบ้านงานเรือนแล้ว แต่ท่านยังคิดแต่จะเล่นสนุกอยู่เรื่อยไป ข้าว่าท่านก็ควรจะฝึกฝนกิริยามารยาทกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้แล้ว นางมีคุณสมบัติเพียบพร้อมถึงเพียงนั้น หากว่าท่านเรียนรู้มาจากนางได้เพียงเศษเสี้ยวเดียว ก็เพียงพอให้ท่านสุขสบายไปตลอดชีวิตแล้วเจ้าค่ะ”