ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 317 เสียใจ
ตกลงเฉิงเจียไปอยู่ที่ไหนกันแน่นะ
ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเช่นนี้แล้ว โจวเสาจิ่นก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
แต่ไหนแต่ไรมาเวลาที่มีเรื่องอะไรเฉิงเจียชอบมาหานางเป็นที่สุด ทว่าคราวนี้กลับไม่สนใจนางเลย เห็นได้ชัดว่าตัดสินใจเอาไว้นานแล้วเพียงแต่กลัวว่าจะสร้างความลำบากให้นาง ดังนั้นจึงทำตัวห่างเหินกับนาง
ช่างเป็นเด็กโง่ผู้หนึ่งจริงๆ!
ในขณะที่ไม่รู้ว่านางหายตัวไปไหน ตนจะยืนดูอยู่ข้างๆ โดยไม่ทำอะไรเลยได้อย่างไรเล่า
อย่างไรก็ตาม ถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็มีเหตุผลเหมือนกัน
สุดท้ายแล้วเรื่องของเฉิงเจียกับหลี่จิ้งก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าเรื่องหนึ่ง บางทีเจียงซื่อก็ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้มากนักก็เป็นได้ โดยเฉพาะตนเอง ที่ตั้งแต่เล็กก็ถูกนำมาเปรียบเทียบกับเฉิงเจีย ตอนนี้เฉิงเจียเกิดเรื่องขึ้นมาเช่นนี้ กลัวแต่ว่าสิ่งที่เจียงซื่อหวาดกลัวมากที่สุดก็คือตนเอง
โจวเสาจิ่นบอกที่พำนักก่อนหน้านี้ของหลี่จิ้งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบ แล้วกล่าวว่า “แม้จะบอกให้รอท่านลุงใหญ่หลูกับท่านป้าใหญ่หลูมาถึงแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด แต่พี่สาวเจียก็มิใช่คนอื่นคนไกล พวกเราจึงไม่อาจมองดูนางพลาดพลั้งได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางไปกับหลี่จิ้งจริงๆ หรือไม่นั้น ก็เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเราฝ่ายเดียว ถ้าหากไม่ได้เป็นอย่างนั้นเล่า ข้าคิดว่าหากจะจับโจรพวกเราควรจะจับหัวหน้าโจรก่อน ตรงไปหาหลี่จิ้งเลยจะดีกว่า ถ้าหากพี่สาวเจียไปกับหลี่จิ้งจริง พวกเขาคงจะเพิ่งวางแผนขึ้นมาเป็นแน่ อาจจะพบเบาะแสบางอย่างจากโรงเตี๊ยมหรือร้านขายของชำเหล่านั้นได้ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าหากว่าพี่สาวเจียไม่ได้ไปกับหลี่จริง เกรงว่าทางนี้คงจะต้องค้นหากันทั่วทั้งภูเขาเสียแล้วเจ้าค่ะ…”
ถึงเวลานั้นก็ค้นหากันจนเสียงดังวุ่นวายเสียแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแววตาของโจวเสาจิ่นแล้วก็รู้สึกชื่นชมนางมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “แผนการนี้ของเจ้าไม่เลว! เช่นนั้นก็ทำตามแผนของเจ้าแล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นางเพียงกล่าวสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าบุคคลเช่นฮูหยินผู้เฒ่ากัวนอกจากจะไม่กล่าวหาว่านางพูดจาไร้สาระแล้ว ยังเตรียมจะทำตามแผนการที่นางบอกไปอีกด้วย
นะ…นี่…นางเกิดมาเป็นคนสองชาติภพ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนให้ความสำคัญกับถ้อยคำของนางเช่นนี้!
จู่ๆ นางก็เป็นกังวลถึงผลได้ผลเสียขึ้นมา กล่าวขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า “ฮะ…ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ข้ายังด้อยความรู้และประสบการณ์ คำพูดที่กล่าวออกไปอาจจะใช้ไม่ได้…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ พลางตัดบทสนทนาของโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “มีใครบ้างที่ไม่ได้เริ่มต้นมาจากศูนย์ แผนการนี้ของเจ้าล้วนขบคิดได้อย่างละเอียดรอบคอบ อย่างไรก็ไม่เสียหายหากจะลองทำตามแผนของเจ้าดู หากว่าใช้ไม่ได้ เลวร้ายที่สุดก็ค่อยมาตั้งต้นนับหนึ่งกันใหม่” แล้วกล่าวอีกว่า “ถ้าหากเฉิงเจียกับหลี่จิ้งหนีตามกันไปจริงๆ ก็ยังดี อย่างน้อยเฉิงเจียก็ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลได้ กลัวแต่ว่ามันจะเป็นเพียงสิ่งที่พวกเราคาดเดากันไปเองเท่านั้น เช่นนั้นพวกเราจึงต้องระวังเอาไว้สองเรื่อง เรื่องแรกคือเฉิงเจียเดินเตร็ดเตร่อยู่ในวัดแล้วหลงทาง ติดอยู่ที่ไหนสักแห่ง ส่วนเรื่องที่สองคือเฉิงเจียถูกคนมีเจตนาลักพาตัวไป แล้วจะเป็นอันตรายต่อชีวิตและชื่อเสียง สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำคือแจ้งพระอาจารย์ซื่อฮุ่ยก่อน เพราะอย่างไรเสียเรื่องก็เกิดขึ้นในวัดกันเฉวียน คนหายตัวไปเช่นนี้ เขาก็ต้องรับผิดชอบ เขาจะต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเราอย่างแน่นอน พวกเราไม่เพียงมีเจ้าถิ่นเป็นผู้ช่วยเท่านั้น ยังไม่ต้องกังวลว่าเขาจะแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้อื่นทราบอีกด้วย ประเดี๋ยวจะให้พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยหาทางช่วยพวกเราค้นหานาง คำนวณเวลาดูแล้ว พวกเราล่าช้าไปเล็กน้อยแล้ว กลัวแต่ว่าคนร้ายจะพาเฉิงเจียหนีไปไกลแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะหลบหนีไปที่ใด ในพื้นที่รัศมีหลายสิบหมู่นี้ล้วนเป็นพื้นที่ของวัดกันเฉวียน ก็เหมือนอย่างที่เจ้าบอก อาจจะพบเบาะแสบางอย่างก็เป็นได้”
รอให้เฉิงหลูกับเจียงซื่อเร่งรุดมาถึง พวกนางก็คงจัดการไปได้หลายเรื่องแล้ว ทั้งยังมีฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เป็นกำบังให้ ต่อให้พวกเขาโมโหขึ้นมาก็ได้แต่โกรธขึ้งฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เท่านั้น จะกล่าวโทษพวกนางได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เสาจิ่นเด็กคนนี้ใสซื่อเกินไป เรื่องพวกนี้ไม่ต้องบอกนางแล้วก็แล้วกัน
รอให้นางโตขึ้นอีกสักหน่อย ผ่านเรื่องราวต่างๆ มากขึ้นแล้วค่อยชี้แนะนางอย่างช้าๆ ก็พอแล้ว!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวใคร่ครวญอยู่ในใจ
โจวเสาจิ่นรู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอเบ้า
นางรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังสั่งสอนวิธีการวางตัวและจัดการเรื่องต่างๆ ให้นางอยู่ จึงขานรับอย่างนอบน้อมเชื่อฟัง แล้วประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกจากห้องข้าง
ห้องข้างที่เฉิงเจียกับหลี่ซื่อพักอยู่ชุลมุนวุ่นวายจนคล้ายกับเละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งก็ไม่ปาน พวกบ่าวหญิงสูงวัยต่างพากันตื่นตระหนกส่วนพวกสาวใช้ต่างก็พากันร้องห่มร้องไห้ มีบ่าวหญิงที่มากประสบการณ์สองสามคนคอยเกลี้ยกล่อมอยู่ข้างๆ ในทางกลับกันบ่าวรับใช้ที่พามาจากเรือนหานปี้ซานกลับยังคงมีสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่งเป็นอย่างมาก ควรจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น สายตาจดจ่อไม่วอกแวก ไม่เหมือนกับบ่าวหญิงและสาวใช้ของจวนสี่สองสามคนนั้น ด้านหนึ่งก็เกลี้ยกล่อมคนของจวนสาม อีกด้านหนึ่งก็มองเหมือนเป็นเรื่องสนุกพลางซุบซิบนินทากันไปด้วย
ยังดีที่ไม่ว่าจะเป็นคนของจวนสามหรือจวนสี่ต่างก็เกรงกลัวฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่งนัก เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวยืนอยู่ที่ระเบียงแล้ว บรรดาบ่าวหญิงและสาวใช้จึงต่างรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาจนไม่กล้าหายใจ ก้มหน้าหลุบตาไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใด ทว่าเสียงร้องไห้ของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับเสียงกระซิบปลอบใจของฮูหยินผู้เฒ่ากวนภายในห้องกลับดังชัดเจนยิ่งขึ้น
โจวเสาจิ่นรู้สึกชื่นชมเหลือเกิน
ไม่แปลกที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะบ่มเพาะบุคคลเช่นท่านลุงใหญ่จิงกับท่านน้าฉือออกมาได้
หากว่ามีเด็กให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยบ่มเพาะ เด็กคนนั้นจะต้องกลายเป็นบุคคลที่มีอนาคตไกลเหมือนท่านลุงใหญ่จิงหรือไม่ก็ท่านน้าฉือได้สักคนหนึ่งอย่างแน่นอน
โจวเสาจิ่นรู้สึกเคารพยกย่องฮูหยินผู้เฒ่ากัวมากยิ่งขึ้น
เห็นเพียงสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเคร่งขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “นี่ทุกคนทำอะไรกันอยู่ วัดกันเฉวียนกว้างใหญ่ขนาดนี้ คุณหนูเจียหายตัวไป ก็จัดคนไปตามหานางก็ได้แล้ว มัวแต่ทำตัวแตกตื่นกันเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ ผู้ใดเป็นมามาหรือสาวใช้ใหญ่คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
สาวใช้ที่มีอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปีและมีหน้าตาน่ารักงดงามผู้หนึ่งก้าวออกมาด้วยอาการสั่นเทา กล่าวเสียงค่อยอย่างอกสั่นขวัญแขวนว่า “หลี่มามากับพี่สาวฟางหวาต่างปลอบประโลมฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อยู่ในห้องข้างเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองสาวใช้คนนั้นทีหนึ่ง แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าชื่ออะไร ไปเรียกฟางหวาออกมา”
สาวใช้ผู้นั้นตอบเสียงเบาว่า “บ่าวชื่อเซียงเหวินเจ้าค่ะ บ่าวจะไปเรียกพี่สาวฟางหวาออกมาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า สีหน้าสงบลงเล็กน้อย แล้วกระซิบบอกสื่อมามาให้ไปเชิญพระอาจารย์ซื่อฮุ่ยมา และให้พ่อบ้านที่ติดตามมาด้วยเข้ามารอรับคำสั่ง ส่วนบรรดามามาข้างกายให้เตรียมตัวไปช่วยเณรน้อยในวัดค้นหาเฉิงเจีย นอกจากนี้เนื่องจากพอฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นเฉิงเจียหายตัวไปก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก จึงรีบส่งคนไปแจ้งเฉิงหลูในทันที ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงบอกให้สื่อมามาส่งคนไปรอต้อนรับคนที่จะมาจากซอยจิ่วหรูข้างนอกประตูวัดอีกด้วย
สื่อมามารีบออกไปจากลานที่พัก
สาวใช้ที่ชื่อฟางหวาคนนั้นก็ถูกเรียกตัวมาพบฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองดูฟางหวาที่ร่ำไห้จนดวงตาบวมแดง พลางกล่าวเสียงเข้มว่า “บางทีหลานเจียแค่ออกไปเที่ยวเล่นจนหลงทางเท่านั้นก็เป็นได้ พวกเจ้าไม่ไปตามหานาง เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่อย่างนี้นับเป็นเรื่องอะไรกัน ทุกคนจงไปล้างหน้าหวีผมให้เรียบร้อย พวกสาวใช้อยู่ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ส่วนพวกบ่าวหญิงสูงวัยและบ่าวหญิงที่แต่งงานแล้วประเดี๋ยวให้ทุกคนรอฟังคำสั่งของปี้อวี้ ช่วยกันไปตามหาหลานเจีย!”
ไม่มีใครเชื่อว่าเฉิงเจียจะเอาแต่เล่นสนุกจนหลงทางเลยสักคน แต่มีคนออกหน้าจัดการสถานการณ์วุ่นวายนี้ให้ หนำซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย บ่าวหญิงและสาวใช้เหล่านั้นก็เหมือนมีเสาหลักให้พึ่งพิงคนหนึ่งแล้ว แต่ละคนต่างดึงสติกลับมาแล้วเช็ดหน้าเก็บผมเผ้าของตนเองให้เรียบร้อย พวกที่เป็นเวรยามก็ยืนตัวตั้งตรง ส่วนพวกที่ไม่ได้เป็นเวรยามต่างก็ไปที่ห้องน้ำชาและรอรับคำสั่งต่อไป
ภายในลานจึงมีบรรยากาศของตระกูลใหญ่เล็กน้อย
จวบจนพระอาจารย์ซื่อฮุ่ยรีบเร่งเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โจวเสาจิ่นก็ตามไปปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ทั้งสองคนหารือกันถึงแผนการรับมือเสร็จแล้ว นางก็ไปส่งแขกแทนฮูหยินผู้เฒ่ากัว และเชิญพ่อบ้านที่ติดตามมาด้วยมาพูดคุยด้วย
พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยกับพ่อบ้านไป๋ที่ติดตามมาด้วยต่างมองโจวเสาจิ่นซ้ำเป็นครั้งที่สองอย่างอดไม่ได้
โจวเสาจิ่นใจเต้นระรัวอย่างตื่นเต้น พยายามควบคุมตนเองไม่ให้แสดงท่าทางประหม่าออกมาให้เห็น
จนกระทั่งทั้งสองคนออกไปแล้ว จู่ๆ นางก็ค้นพบว่าความจริงแล้วการเผชิญหน้าบุรุษจากข้างนอกเหล่านั้นก็มิใช่เรื่องยากเลย
โจวเสาจิ่นอดพรูลมหายใจยาวเหยียดออกมาไม่ได้
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกหน้าจัดการเรื่องนี้ให้แล้ว จิตใจก็สงบลงมา ค่อยๆ หยุดสะอื้นไห้แล้ว
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “รังเกียจคนเช่นนางเป็นที่สุด เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นรู้จักแต่จะร้องไห้ฟูมฟาย พอมีคนเข้ามาช่วยนางแล้วนางยังถือโอกาสทำเป็นคล้อยตามสถานการณ์ แล้วโยนปัญหาไปให้ผู้อื่นทั้งหมด ส่วนตัวเองกลับไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง!”
คนประเภทที่ว่านี้ก็คือนางในชาติที่แล้วนั่นเอง!
ไม่แปลกเลยที่ชาติก่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมองนางอย่างดูแคลน!
โจวเสาจิ่นดวงหน้าแดงเถือก กล่าวเสียงค่อยว่า “บางทีคนผู้นั้นอาจจะคิดว่าตนขาดกำลังความสามารถก็เป็นได้เจ้าค่ะ…”
“ต่อให้ขาดกำลังความสามารถก็ต้องช่วยอยู่ข้างๆ หรือไม่ก็ทำในสิ่งที่ตนพอจะทำได้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงกล่าวต่อไปอย่างไม่หายขุ่นเคืองว่า “เจ้าดู นางก็ดี ตอนนี้กลับพูดคุยกับยายของเจ้าอย่างสบายอกสบายใจ ซ้ำยังไม่ออกหน้ามาปลอบขวัญบรรดาสาวใช้กับบ่าวหญิงข้างกายเลยสักนิด”
โจวเสาจิ่นหวนนึกถึงพฤติกรรมของตัวเองในชาติก่อน แล้วใคร่ครวญการกระทำทุกอย่างของตัวเอง
มีพ่อบ้านคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยเหงื่อท่วมศีรษะ กล่าวรายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า พบตัวหลี่จิ้งผู้นั้นแล้วขอรับ เขาเดินทางออกจากจินหลิงไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ตอนนี้ไปถึงเจิ้นเจียงแล้ว คุณหนูเจียไม่ได้ร่วมทางไปด้วย แต่เขาได้ทิ้งบ่าวคนสนิทของตนไว้ที่โรงเตี๊ยม บอกว่ากลัวคุณหนูเจียจะมีเรื่องอะไรที่ต้องการสั่งการ จึงให้บ่าวเหล่านั้นคอยอยู่ที่โรงเตี๊ยมเป็นการเฉพาะ ข้าได้เล่าเรื่องของคุณหนูเจียให้บ่าวเหล่านั้นฟังแล้ว พวกเขาส่งคนไปรายงานให้หลี่จิ้งที่เจิ้นเจียงเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” โจวเสาจิ่นรู้สึกมือเท้าเย็นเยียบ
เฉิงเจียไม่ได้ไปกับหลี่จิ้ง…เช่นนั้นนางไปที่ใด จะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
จู่ๆ ดวงตาของโจวเสาจิ่นก็รื้นชื้นขึ้นมา
คราวนี้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่พระของวัดกันเฉวียนเหล่านั้นเสียแล้ว!”
พ่อบ้านคนนั้นพยักหน้าหงึกๆ ไม่กล้าแม้แต่จะเช็ดหยาดเหงื่อบนใบหน้า
แม้ว่าโจวเสาจิ่นจะรู้สึกร้อนรุ่มกลุ้มใจดั่งเพลิงแผดเผา แต่ก็ยังบอกให้สาวใช้มอบผ้าเช็ดหน้าให้เขาผืนหนึ่ง
พ่อบ้านคนนั้นมองโจวเสาจิ่นอย่างซาบซึ้งใจครั้งหนึ่ง พลางกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูรองไม่ต้องเป็นกังวลขอรับ คุณหนูเจียไม่เคยออกจากบ้านไปข้างนอกมาก่อน น่าจะไปไหนได้ไม่ไกล ขอเพียงแค่ค้นหาอย่างละเอียด อย่างไรก็ต้องหาเจออย่างแน่นอนขอรับ”
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นแล้ว!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า
เฉิงหลูกับเจียงซื่อเร่งรุดมาถึงแล้ว
เจียงซื่อจับมือของฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้วร้องไห้เสียงดังขึ้นมา
เฉิงหลูเข้ามาแล้วก็คุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “หลานขอขอบคุณท่านป้าใหญ่มากขอรับ หากไม่มีท่านป้าใหญ่ช่วยเหลือล่ะก็ เกรงว่าลูกเจียของพวกข้าไปถึงไหนแล้วแต่พวกข้าก็คงจะยังไม่รู้อะไรเลยก็เป็นได้!”
ถ้อยคำของเขานี้กล่าวอย่างจริงใจ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นว่า “เจ้าก็อย่าเพิ่งลนลานไป ยิ่งลนลานก็ยิ่งง่ายที่จะผิดพลาด! รีบเร่งเดินทางมาเช่นนี้คงลำบากแย่แล้ว ดื่มน้ำดื่มชาและล้างหน้าล้างตาก่อนเถิด บางทีอาจจะพบตัวหลานเจียในเร็วๆ นี้ก็เป็นได้”
เฉิงหลูพยักหน้าหงึกๆ ทั้งน้ำตา
ทว่าเจียงซื่อกลับตะโกนขึ้นมาตรงนั้นว่า “ต้องเป็นไอ้คนขี้ขลาดตาขาวคนนั้นที่ล่อลวงเฉิงเจียไปเป็นแน่…”
เฉิงหลูผู้ใจเย็นคนนั้น หันไปตบหน้าเจียงซื่อเสียงดัง ‘เพียะ’ ทีหนึ่งต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโสและบ่าวหญิงในตระกูล แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงน่ากลัวว่า “หากเจ้ายังกล้าพูดอีกแม้ประโยคเดียว ต่อจากนี้ไปก็จงไปอาศัยอยู่ที่วัดตลอดชีวิตเสีย”
เจียงซื่อจับหน้าของตน มองเฉิงหลูอย่างตะลึงงัน สายตาสับสนงงงวยยิ่งนัก ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
โจวเสาจิ่นถูกฉากที่เฉิงหลูตบหน้าเจียงซื่อนี้ทำให้รู้สึกพรั่นกลัว นางถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กันด้วยสีหน้าซีดเซียวประหนึ่งนกน้อยที่ตกใจคันศรก็ไม่ปาน หลบไปอยู่ข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่รู้ว่านางประสบพบเจออะไรมาบ้างในชาติก่อน เห็นนางดูหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ก็โอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมอก ตบหลังนางเบาๆ พร้อมกับกระซิบว่า “ไม่ต้องกลัวๆ ลุงใหญ่หลูของเจ้าไม่ได้โกรธเจ้า”
แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นทราบดี
นางตัวสั่นระริกอยู่นานกว่าจะหายใจใจคอได้คล่องขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดทอดถอนใจไม่ได้
เด็กคนนี้ไม่เพียงหน้าตางดงามพริ้มเพราเสมือนดอกไม้ดอกหนึ่งเท่านั้น แม้แต่อุปนิสัยของนางก็คล้ายคลึงด้วยเช่นกัน ถ้าหากแต่งงานกับบุรุษจากตระกูลธรรมดาไปล่ะก็ เกรงว่าคงจะร่วงโรยสูญสิ้นความงดงามภายในไม่กี่วันเป็นแน่!
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกเอ็นดูและสงสารโจวเสาจิ่นมากขึ้นอีกหลายส่วน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลัวว่าเจียงซื่อกับเฉิงหลูจะทะเลาะกันในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ขึ้นมาอีก
นางจึงรีบดึงตัวเจียงซื่อไปยังห้องข้างที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พักผ่อนอยู่