ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 322 ควบคุม
ได้ยินเฉิงเจิ้งเอ่ยเรื่องภายในออกมาเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงโจวเสาจิ่น แม้แต่เฉิงลู่เองผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติกลับมา
เฉิงเจิ้งกล่าวขึ้นอย่างขออภัยว่า “เซียงชิง เจ้าไม่ลองไปปรึกษาพี่ชายสือของจวนรองดู ที่ผ่านมาจวนหลักกับจวนรองพวกเขาต่างสนิทชิดเชื้อกันมาตลอด มีเขาช่วยออกหน้าให้ ถึงแม้ว่าไม่อาจทำให้ท่านอาฉือคลายความโกรธทั้งหมดลงได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะปกป้องอนาคตของเจ้าเอาไว้ได้ หลังการสอบระดับมณฑลก็ต้องเข้ารับการประเมินแล้ว เวลาไม่คอยท่าคน”
เฉิงลู่เอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “ปรกติข้ากับพี่ชายสือไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันสักเท่าไร อีกทั้งยังข้องเกี่ยวกับท่านอาฉือ…เกรงว่าพี่ชายสือคงไม่ช่วยข้ากระมัง”
เฉิงเจิ้งกล่าว “หากเจ้าคิดจะให้ข้าช่วยออกหน้าให้เจ้า เช่นนั้นเขาจะยิ่งไม่ช่วยเหลือเจ้า พวกเขาทั้งสองบ้านต่างระแวดระวังข้ามาโดยตลอด!”
เฉิงลู่กล่าว “เช่นนั้นตามความหมายของพี่ชายเป่าหมิงคือ?”
เฉิงเจิ้งครุ่นคิด กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะช่วยออกความคิดให้เจ้าสักอันหนึ่ง แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น ก็ต้องดูโชคชะตาของเจ้าแล้ว!”
เฉิงลู่กล่าวขอบคุณย้ำๆ
เฉิงเจิ้งกดเสียงลงต่ำจนไม่ได้ยินอะไร
โจวเสาจิ่นร้อนใจจนจะทนไม่ไหวแล้ว ทว่าก็ไม่มีทางเลือก ไม่กล้าขยับแม้สักครึ่งฝีเท้า
ไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงเฉิงลู่กล่าวกับเฉิงเจิ้งอย่างยินดีว่า “ขอบคุณพี่ชายเป่าหมิงยิ่งนัก! รอให้ข้าเสร็จจากเรื่องนี้แล้วค่อยเชิญพี่ชายเป่าหมิงไปดื่มชาด้วยกันนะขอรับ!”
เฉิงเจิ้งหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้ แต่ทางด้านของสำนักศึกษาเย่ว์ลู่ทางโน้น เจ้าต้องไปอธิบายดีๆ สักครั้งถึงจะถูก สำนักศึกษาเย่ว์ลู่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสี่สำนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุด ถ้าหากทางด้านนั้นมีภาพจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับเจ้า ต่อให้ต่อไปเจ้าเข้าสู่เส้นทางราชสำนักแล้ว แต่ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเจ้าได้”
ไม่ว่าจะเป็นเฉิงลู่หรือโจวเสาจิ่น นี่ล้วนเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำกล่าวประเภทนี้
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง โจวเสาจิ่นถึงได้ยินเฉิงลู่กล่าวขึ้นอย่างเคียดแค้นว่า “ไม่แปลกที่มีคนต้องการส่งข้าไปเรียนที่สำนักศึกษาเย่ว์ลู่! ที่แท้ก็เพราะตั้งใจให้เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เฉิงเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “ท่านอาไป่เสียชีวิตไป จึงมีบางเรื่องที่เจ้าเองก็ไม่รู้ บัณฑิตของแถบหูก่วง[1]ส่วนมากมาจากสำนักศึกษาเย่ว์ลู่ ส่วนบัณฑิตของแถบเจียงซีจะเข้ารับตำแหน่งในกรมการคลังมิได้ หากเจ้าคิดจะเป็นเพียงนายอำเภอยศผิ่นขั้นเจ็ดผู้หนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเจ้าคิดจะดำรงตำแหน่งระดับสูงในระดับมณฑล เป็นผู้จัดเก็บภาษีของทุกปี เป็นเจ้าหน้าที่จัดการน้ำหรือผู้จัดการค่าใช้จ่ายทางทหาร มีตำแหน่งไหนบ้างที่มิต้องข้องเกี่ยวกับกรมการคลัง พวกเขาอาจไม่ได้เบียดบังเจ้า แล้วก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้เจ้า แต่เพียงใช้เรื่องงานมาถ่วงเจ้าเอาไว้ ก็เพียงพอให้เจ้าทานทนไม่ได้แล้ว”
เฉิงลู่ไม่ได้กล่าวอะไร
เสียงกิ่งไม้หักดังกรอบแกรบและเสียงปกเสื้อตอนหน้าเสียดสีกันที่ดังขึ้นมาจากในป่าค่อยๆ ห่างออกไป
โจวเสาจิ่นจึงรู้ว่าพวกเขาเดินจากไปแล้ว อดรู้สึกโล่งใจอย่างช่วยไม่ได้ รอจนกระทั่งเสียงนั้นหายไปเป็นเวลานาน ถึงได้หันไปมองรอบๆ ทั้งสี่ด้าน เมื่อไม่เห็นเงาของผู้ใดแล้ว ถึงได้ย่องออกมาจากหลังต้นตั๊กแตนต้นใหญ่นั้นอย่างเบามือเบาเท้า
ชุนหว่านหน้าซีดเผือด
โจวเสาจิ่นรู้สึกเห็นใจนางเล็กน้อย
ไม่ว่าใครมาได้ยินเรื่องเช่นนี้ก็ต้องรู้สึกตกใจกลัวจนทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นชุนหว่านยังเป็นเพียงสาวใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น!
นางปลอบใจชุนหว่านว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยังมีข้าอยู่! แต่เจ้าเองก็ต้องเก็บเรื่องนี้ให้มันย่อยสลายไปในใจ ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ก็ช่วยเจ้าเอาไว้ไม่ได้เช่นกัน”
ชุนหว่านพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
สภาพจิตใจของทั้งสองคนหนักอึ้ง เดินกลับเรือนหานปี้ซานโดยไม่พูดอะไรไปตลอดทาง
โจวเสาจิ่นไม่อยากให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกังวลใจ จึงปรับอารมณ์แล้วนำเอาลายผ้าที่ออกแบบให้เฉิงเจียมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดู
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชอบเสื้อชั้นในสีน้ำเงินไพลินปักลายพฤกษาสี่ฤดูสมดังปรารถนาสีชมพูนั้นเป็นพิเศษ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเองก็ทำสักตัวหนึ่ง ยังเป็นเด็กสาวอยู่ สวมอะไรที่มีสีสันสดใสเช่นนี้ถึงจะดูดี”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อ เมื่อกลับถึงเรือนฝูชุ่ย กลับอดไม่ได้ที่จะถอดอาภรณ์ออกแล้วหยิบผ้ามาเทียบกับลำตัว
นวลเนื้อขาวเนียนละเอียดภายใต้ผ้าไหมหังโจวสีน้ำเงินไพลินไร้ลวดลายผืนนุ่มดูงดงามประหนึ่งหิมะแรกฤดูอันขาวบริสุทธิ์
ใบหน้าของนางยิ่งแดงเรื่อมากขึ้น กัดริมฝีปาก หลังจากสวมเสื้อผ้าแล้วก็เรียกชุนหว่านเข้ามา ให้นางเก็บผ้าไหมหังโจวสีน้ำเงินไพลินไร้ลวดลายพับนั้นเสีย “ข้าจะเอาไว้ทำอย่างอื่น”
ชุนหว่านไม่ได้สงสัยเป็นอย่างอื่น ยิ้มพร้อมกับเก็บผ้าพับนั้นลงหีบ กล่าวขึ้นว่า “แล้วคุณหนูรองคิดว่าจะใช้ผ้าสีอะไรตัดเสื้อชั้นในลายพฤกษาสี่ฤดูสมดังปรารถนาตัวนั้นหรือเจ้าคะ”
“ใช้สีเขียวน้ำทะเลก็แล้วกัน!” โจวเสาจิ่นกล่าว “แล้วก็ปักลายดอกไม้สีเหลืองห่าน ก็งดงามไม่แพ้กัน”
ชุนหว่านพยักหน้ายิ้มๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก
เสี่ยวถานวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข หายใจหอบพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“จริงหรือ” โจวเสาจิ่นทิ้งพู่กันในมือลงแล้ววิ่งออกไป
เฉิงฉือเข้าเรือนหานปี้ซานมาด้วยร่างที่เต็มไปด้วยฝุ่นจากการเดินทาง เห็นโจวเสาจิ่นที่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพูแถบสีเขียวอ่อนดูงดงามและบอบบางยืนทำคอยื่นคอยาวมองอยู่ใต้ทางเดินหน้าห้องโถงรับแขก พอเห็นเขาก็วิ่งเข้ามาหาด้วยนัยน์ตาเป็นประกายสดใส
ราวกับวิหคผู้เหน็ดเหนื่อยบินหวนคืนสู่รังก็มิปาน
รอยยิ้มของเฉิงฉือจึงอบอุ่นขึ้นมาประหนึ่งลมในฤดูใบไม้ผลิอย่างควบคุมไม่ได้
โจวเสาจิ่นยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าเขาด้วยอาการหายใจหอบเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่สุกใสดุจพระอาทิตย์ในฤดูร้อน มองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านน้าฉือ ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มอบอุ่น กล่าวเสียงนุ่มว่า “เพิ่งกลับมา! ยังไม่ทันได้ล้างหน้าล้างตา ก็ถูกเจ้าจับได้ที่หน้าประตูก่อนแล้ว”
เขากล่าวเย้าหยอกนาง
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกหน้าร้อนผะผ่าว จากนั้นใบหน้าขาวซีด ก้มศีรษะลง
ท่านน้าฉือมิใช่คนที่นางเฝ้าฝันถึงได้
คิดๆ แล้วล้วนเป็นอะไรที่ไม่ให้เกียรติท่านน้าฉือ!
นางรีบเก็บอารมณ์ความรู้สึก กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นท่านน้าฉือรีบกลับไปล้างหน้าล้างตาเถิดเจ้าค่ะ! ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องรออย่างร้อนใจอยู่เป็นแน่แล้ว”
แต่รอยยิ้มนั้นดูฝืนๆ เล็กน้อย
เฉิงฉืออดประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้
อารมณ์ของเด็กน้อยผู้นี้ราวกับอากาศในเดือนหกก็ไม่ปาน เมื่อครู่เด็กคนนี้ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดเพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นโศกเศร้าขึ้นมาแล้ว
ช่วงนี้ในบ้านสงบสุข นางมีความสุขมาโดยตลอดไม่ได้รับความทุกข์ใจอะไร…หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องของเฉิงเจีย?
แต่เรื่องของเฉิงเจียมิใช่ว่าแก้ปัญหาได้อย่างราบรื่นไปแล้วหรอกหรือ
เฉิงฉือครุ่นคิดพร้อมกับกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรต้องการคุยกับข้าหรือไม่”
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักขึ้นมาในทันใด
หรือว่าท่านน้าฉือจะมองอะไรออก?
นางพลันรู้สึกประหม่า พูดติดๆ ขัดๆ ขึ้นมา “ข้า…ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับท่านน้าฉือนี่เจ้าคะ…”
เฉิงฉือเตือนความจำนาง “เฉิงเจียน่าจะใกล้ออกเรือนแล้วกระมัง”
ที่แท้ท่านน้าฉือหมายถึงเรื่องนี้นี่เอง!
โจวเสาจิ่นลอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าก็นึกว่าท่านน้าฉือยังไม่ทราบเสียอีกเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ
นางเป็นคนที่เก็บซ่อนคำพูดไม่เก่งผู้หนึ่ง อย่างน้อยก็ตอนอยู่ต่อหน้าเขามักจะเป็นเช่นนี้
บางทีอาจจะเป็นเพราะอยากรอให้เขาเก็บของให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยหาโอกาสมาคุยเรื่องนี้กับเขาก็เป็นได้
เฉิงฉือจึงเอ่ยขึ้นว่า “รอข้าไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้ว พวกเรามากินมื้อเย็นด้วยกัน!”
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวขึ้นอย่างยินดีว่า “เช่นนั้นข้าจะไปช่วยพวกปี้อวี้จัดมื้อเย็นเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือพยักหน้า
โจวเสาจิ่นมองส่งเขาเดินจากไปอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
เฉิงฉือสัมผัสได้ถึงสายตาอบอุ่นดุจสายน้ำสายหนึ่งแปะอยู่บนหลังของเขา
เขาใจสั่นสะท้าน
หวนนึกถึงกิริยาของตัวเองเมื่อครู่ หลังจากคิดแล้วคิดอีกจนมั่นใจว่าไม่ได้ทำกิริยาอะไรที่ไม่เหมาะสม ถึงได้พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เด็กน้อยผู้นี้ นี่รู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
เฉิงฉือกลับไปล้างหน้าล้างตาที่เรือนหลีอินด้วยรอยยิ้มขมขื่น
ไหวซานไปหยิบของขวัญที่เขานำกลับมาด้วยเข้ามาวางไว้บนโต๊ะน้ำชาข้างตั่งหลัวฮั่น
สายตาของเฉิงฉือวางอยู่บนกล่องขนาดเล็กที่ใช้เส้นไหมจือจินพันกันจนกลายมาเป็นกล่องขึ้นมากล่องนั้น
นี่เป็นของขวัญที่เขาเอากลับมาฝากโจวเสาจิ่น
นึกถึงสายตาของโจวเสาจิ่นเมื่อครู่แล้ว เขาลังเลไปครู่หนึ่งอย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น หยิบกล่องนั้นไปเก็บไว้บนชั้นวางของล้ำค่าในห้องหนังสือ แล้วถึงได้เดินไปที่เรือนหลัก
ภายในเรือนหลักเต็มไปด้วยความครึกครื้น มารดากำลังยืนยิ้มตาหยีอยู่ในห้องโถง ดูโจวเสาจิ่นที่คอยกำกับพวกปี้อวี้จัดโต๊ะกันอยู่
เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย
หลายปีมานี้เขาเดินทางอยู่ข้างนอกเสียเป็นส่วนใหญ่ ต่อให้อยู่บ้าน หากมิใช่อยู่ที่เจ่าหยวนก็จะรับประทานอาหารอยู่ที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย นานๆ ทีถึงจะมาครั้งหนึ่ง และมารดาเองก็มักจะทำคล้ายกับว่าเขาเพิ่งกินมื้อเช้าที่เรือนหานปี้ซานเสร็จแล้วก็กลับมากินมื้อเย็นอีกครั้งเท่านั้น แม้นจะดีใจมีความสุขแต่ก็เรียบเฉย ควรทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ไม่เคยแสดงความรู้สึกหรือครื้นเครงเช่นนี้มาก่อน
เฉิงฉือหันไปมองโจวเสาจิ่น
เห็นนางกำลังสั่งการปี้อวี้อย่างเจื้อยแจ้วว่า “อากาศร้อนขนาดนี้ ท่านน้าฉือเร่งเดินทางกลับมา คงลำบากไม่น้อย นำจานผลไม้รวมมาขึ้นโต๊ะก่อน แล้วก็เป็นจานอาหารที่ไม่ร้อนทั้งหลาย ได้ทั้งเรียกน้ำย่อยและได้ขจัดความร้อนด้วย ส่วนถั่วเขียวต้มและเม็ดบัวต้มเย็นๆ นั้นถึงแม้จะดี แต่ก็เป็นของเย็น กลัวแต่ว่านอกจากจะทำให้เป็นไข้แล้วยังจะทำลายกระเพราะอีกด้วย คนที่ห้องครัวก็ต้องกำชับเอาไว้ด้วยสักหน่อย หากได้ยินคนของเรือนหลีอินมาขออาหารที่เย็นๆ ให้อธิบายกับพวกเขาดีๆ รอให้ถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง…”
ปี้อวี้พยักหน้าหงึกๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นเฉิงฉือแล้ว ยิ้มพร้อมกับกล่าวทักทายบุตรชายว่า “เจ้ามาแล้วหรือ!”
เฉิงฉือรีบก้าวออกไปคารวะ
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ท่านน้าฉือจะได้ยินว่านางพูดอะไรไปบ้างหรือไม่
หากได้ยินแล้ว คงไม่คิดว่านางยุ่งเรื่องของคนอื่นไม่เข้าเรื่องหรอกกระมัง
ชาติก่อนนางร่างกายอ่อนแอ นี่ก็แตะต้องไม่ได้นั่นก็แตะต้องไม่ได้ เลยมีข้อห้ามมากมาย จึงเอาไปใช้กับร่างกายของท่านน้าฉือด้วยโดยไม่รู้ตัว…
นางลอบสังเกตสีหน้าของเฉิงฉือ
เห็นเฉิงฉือทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยสีหน้าสงบเพียงเท่านั้น หัวใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของโจวเสาจิ่นถึงได้วางลง
เฉิงฉือค่อนข้างรู้สึกเป็นกังวลใจ
เด็กน้อยดูแลเขาอย่างเอาใจใส่เช่นนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรืออารมณ์เขาก็ควรจะกล่าวขอบคุณนางสักครั้งถึงจะถูก
แต่เขากลัวว่าหากตัวเองยังให้ความสนใจนางมากเช่นนี้อีก นางนั้นไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว กลัวว่าจะมีปฏิกิริยากับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นั้นของตัวเองชัดเจนเกินไป จนเป็นที่รู้กันหมดทุกคน
ตัวเขาไม่ได้กลัวอะไร
จะกลัวก็แต่ว่าจะมีคนดึงความสนใจทำให้เด็กน้อยรู้สึกตัวแล้วทำให้นางอับอายจนทนไม่ได้
เฉิงฉือตัดสินใจแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปนั่งลงหน้าโต๊ะอาหาร กล่าวยิ้มๆ ว่า “ช่วงนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ยินว่าเฉิงเจียกับหลี่จิ้งหมั้นหมายกันแล้ว เกรงว่าตระกูลหลี่จะอาศัยการแต่งงานในครั้งนี้เข้าสู่เส้นทางราชสำนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่บุตรหลานของตระกูลหลี่อยากจะมาเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาของตระกูลเฉิงแล้วท่านผู้นำตระกูลจวนรองจะว่าอย่างไรบ้าง”
หากตระกูลหลี่มีคนเป็นบัณฑิตแล้ว จวนสามก็จะมีผู้ช่วยเหลือ ความสมดุลที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจจะถูกทุบจนบุบสลายลงได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้กล่าวอะไร มองไปที่ปี้อวี้ครั้งหนึ่ง
ปี้อวี้และคนอื่นๆ ต่างถอยออกไปอย่างมีไหวพริบ
เดิมทีโจวเสาจิ่นเองก็เตรียมจะถอยออกไปด้วยเช่นกัน แต่เมื่อคิดได้ว่าหากตัวเองออกไปแล้วใครจะช่วยยกอาหารมาวางที่โต๊ะ จึงรั้งอยู่ต่อไป ทว่าใจหนึ่งก็คอยสังเกตเฉิงฉือกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว อีกใจหนึ่งก็คอยสังเกตบ่าวรับใช้ที่ยกอาหารอยู่ด้านนอกประตู
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้แล้วเช่นกัน กล่าวเสียงเคร่งว่า “ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าตระกูลหลี่จะมาขอเรียนที่สำนักศึกษาหรือไม่ ต่อให้มาขอเรียนจริงๆ อย่างน้อยก็ยังเป็นเรื่องของอีกสิบปีหลังจากนี้ หลังจากที่หลานเจียให้กำเนิดบุตรชายแล้วตระกูลหลี่รู้สึกว่าควรจะกระชับความสัมพันธ์กับตระกูลเฉิงให้แนบแน่นยิ่งขึ้น พวกเราไม่อาจไปกดทับผู้อื่นด้วยคิดว่าคนผู้นั้นอาจจะโดดเด่นกว่าหรอกกระมัง เรื่องราวบนโลกใบนี้ก็เหมือนกับการป้องกันน้ำท่วมด้วยการขุดลอกคูคลองย่อมดีกว่าการอุดน้ำ! ถ้าหากแม้แต่วิสัยทัศน์และความอดทนเพียงน้อยนิดนี้เจียซ่านยังไม่มีล่ะก็ เขายังจะเป็นทายาทผู้สืบทอดตระกูลของซอยจิ่วหรูได้อย่างไร เจ้ายอมให้หลี่จิ้งผู้นั้นแต่งกับหลานเจีย ก็มิใช่เพราะคิดเช่นนี้เหมือนกันหรอกหรือ”
โจวเสาจิ่นรับหมูทอดเปรี้ยวหวานที่บ่าวรับใช้ยกเข้ามาไปวางบนโต๊ะ พร้อมกับเงี่ยหูฟังไปด้วย
มีเสียงหัวเราะของเฉิงฉือดังมาให้ได้ยินที่ข้างหู พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “จริงๆ แล้วข้าไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าในเมื่อหลี่จิ้งชอบเฉิงเจียมากเพียงนี้ หากเฉิงเจียแต่งงานไป จะได้เปรียบกว่าผู้อื่นมากก็เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นตัวช่วยได้หรือไม่นั้น หากในบ้านยังต้องพึ่งพาสตรีและเด็กถึงจะประสบความสำเร็จได้ล่ะก็ เช่นนั้นตระกูลเฉิงก็อยู่ไม่ไกลจากความล่มสลายแล้วขอรับ”
…………………………………………………………………..
[1] แถบหูก่วง ครอบคลุมหูเป่ยและหูหนาน