ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 330 เปิดเผยเบาะแส
เฉิงอี้ถามโจวเสาจิ่นอย่างอดไม่ได้ว่า “นางเป็นคนเช่นไร”
โจวเสาจิ่นรีบกดข่มความสับสนอลหม่านที่อยู่ในใจเหล่านั้นเก็บเอาไว้เสีย กล่าวยิ้มๆ ว่า “นางเป็นคนเปิดเผยจริงใจ อีกทั้งยังเอาใจใส่ผู้อื่น พูดจาก็มีอารมณ์ขัน…รอท่านได้พบนางแล้วก็จะเข้าใจเอง ข้าย่อมไม่โกหกท่าน ว่ากันตามจริงแล้วท่านยายกับท่านป้าใหญ่ล้วนเคยมาดูตัวนางด้วยตัวเองแล้ว หากไม่ดี ย่อมไม่มีทางกำหนดเรื่องหมั้นหมายในครั้งนี้ให้ท่านอย่างแน่นอน”
เฉิงอี้หน้าแดงจนเหมือนจะหลั่งโลหิตออกมาได้ แต่ก็หันไปมองที่เรือนหานปี้ซานอย่างผิดหวังเสียใจครั้งหนึ่ง พึมพำกล่าวขึ้นว่า “หากจี๋อิ๋งมิใช่สาวใช้ของท่านอาสี่ก็คงจะดี…”
นี่เขาเคี้ยวอยู่ในปากแล้วยังจะโลภอยากได้ของที่อยู่ในหม้ออีกหรือ!
โจวเสาจิ่นโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้ว กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เป็นหญิงสาวที่ดีผู้หนึ่ง หากท่านไม่พึงใจ ก็ให้รีบบอกผู้ใหญ่เสียแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่กลายเป็นว่านางแต่งเข้ามาแล้วแต่ใจของท่านยังโหยหาผู้อื่นอยู่ กลับกลอกหลายใจโลเล จนทำร้ายคูณหนูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้” ขณะที่นางกล่าว ก็นึกถึงตัวเองในชาติก่อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แววตามีน้ำตาคลออยู่เล็กน้อย “สตรีอย่างพวกข้าไม่เหมือนบุรุษอย่างพวกท่าน หากพวกท่านไม่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเหนือใต้หรือที่ใดๆ ล้วนเป็นที่ให้พวกท่านไปหลบได้ทั้งนั้น หรือไม่ก็หาหญิงคู่คิดสักคนและปลูกบ้านอยู่ด้วยกันอีกหลังหนึ่งข้างนอก แต่พวกข้านั้นไม่ว่าจะเดินไปไหนมาไหนก็มีแค่บ้านหลังนี้ ทำได้แค่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้เท่านั้น ต่อให้อยากจะจบชีวิตลง ยังกลัวว่าจะทำให้ผู้ใหญ่เสียใจ กลัวว่าจะทำให้คนที่รักตัวเองต้องได้ชื่อว่าเป็นคนชั่วร้าย ชื่อเสียงเสียหาย ข้าพูดเอาไว้ก่อนล่วงหน้า เวลานี้ท่านไม่พูดกับพวกผู้ใหญ่ให้ชัดเจน รอให้คุณหนูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้แต่งเข้ามาแล้ว หากท่านกระทำกับนางอย่างอยุติธรรมแม้เพียงเล็กน้อย ข้าจะบอกท่านยาย ท่านป้าใหญ่ ท่านลุงใหญ่และพี่ชายเก้าในทันที หากไม่โบยจนท่านต้องนอนอยู่บนเตียงก็ต้องลอกหนังของท่านอยู่ดี…ไม่ได้ เช่นนี้ล้วนเป็นการปล่อยท่านไปอย่างง่ายดายเกินไป ถึงเวลานั้นข้าจะขอให้จี๋อิ๋งช่วยออกหน้า จัดการท่านอย่างรุนแรงสักครั้งหนึ่ง…”
เฉิงอี้ได้ยินแล้วขนหัวลุกซู่ ร้องเสียงดังว่า “นี่! เจ้ากลายเป็นคนชั่วร้ายอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อใด! เหมือนดอกไม้ที่มีหนามโผล่ขึ้นมาก็ไม่ปาน คงมิใช่เพราะว่าอยู่กับภรรยาสาวชั่วร้ายอย่างจี๋อิ๋งผู้นั้นนานเกินไป จนจิตใจชั่วร้ายตามนางไปด้วยหรอกกระมัง…”
โจวเสาจิ่นไม่รอให้เขาพูดจบก็ถลึงตามองเขาอย่างดุร้ายครั้งหนึ่ง
ถึงแม้ว่าสายตาอบอุ่นอ่อนโยนนี้จะไม่มีความน่ากลัวเลยสักนิด แต่ท่าทางเอาแต่ใจนั้นก็ทำให้เฉิงอี้ต้องลูบท้ายทอย กล่าวตะกุกตะกักว่า “เจ้าอย่าเอาแต่คิดว่าข้าเลวร้ายถึงเพียงนั้นได้หรือไม่…ข้าเองก็เพียงพูดไปอย่างนั้นก็เท่านั้น! เจ้าไม่เคยชื่นชอบของอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายกลับไม่ได้มาอย่างที่ปรารถนาจึงทำได้เพียงคิดถึงอยู่ในใจเป็นบางคราเท่านั้นหรืออย่างไร”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นางนึกถึงเฉิงฉือ
เฉิงฉือกับนาง ชั่วชีวิตนี้ก็เป็นได้แค่คนที่คิดถึงอยู่ในใจเท่านั้น
เก็บเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ
ไม่ว่าใครก็ไม่อาจให้รู้ได้
ตายไปก็ต้องไม่มีผู้ใดรู้
เมื่อความคิดดังกล่าววาบผ่านเข้ามา นางรู้สึกเศร้าใจอย่างห้ามไม่อยู่ หยดน้ำตาเท่าไข่มุกรินไหลออกมาไม่หยุดหยดแล้วหยดเล่า
โจวเสาจิ่นเป็นคนบอบบางอ่อนหวานมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็เป็นดื้อรั้น ต่อให้หกล้มลงบนพื้นจนฝ่ามือถลอกนางก็ไม่ร้องเลยสักนิด การที่จู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เฉิงอี้ได้ประสบพบเจอ
เขาลนลาน
คิดจะล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้นาง ปรากฏว่าในกระเป๋าไม่ได้พกอะไรมาด้วย จึงคิดจะใช้แขนเสื้อเช็ดให้นาง แต่พอมองใบหน้าขาวเนียนละเอียดดุจหยกของนาง แล้วก็มองแขนเสื้อที่ปักลายเมฆมงคลของตัวเองแล้ว ก็กลัวว่าจะทำให้ใบหน้าของนางมีรอยได้
เฉิงอี้ได้แต่เดินวนรอบตัวนางไปมา เดินวนไปด้วยกล่าวแก้ตัวให้ตัวเองไปด้วยว่า “เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลย! ข้าสัญญาว่าจะดีกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ดีหรือไม่ ข้าสัญญาว่าจะไม่คิดถึงจี๋อิ๋งอีกดีหรือไม่ ข้าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ! หลายวันก่อนพี่ชายลู่มาหาข้า บอกว่าท่านป้าใหญ่ไป่ไม่สบาย เขาจึงแอบกลับมาเยี่ยมท่านป้าใหญ่ไป่ นำของฝากของที่นั่นมาฝากเจ้าด้วย ให้ข้านำมาให้เจ้า ข้ายังไม่รับปากเลย…”
ใบหน้าของโจวเสาจิ่นพลันเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา
นางเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ท่านว่าอะไรนะ เฉิงลู่มาหาท่านหรือ เขามาหาท่านตอนไหน มาพูดอะไรกับท่านบ้าง…”
“ชู่ววว!” เฉิงอี้มองไปรอบๆ อย่างร้อนรน “เจ้าเบาเสียงลงหน่อย! เรื่องนี้ข้าไม่ได้บอกใคร ข้ารับปากพี่ชายลู่ว่าจะไม่บอกผู้ใด…”
เจ้าคนไม่รู้จักใช้สมองผู้นี้!
นางมีพี่ชายเช่นนี้ได้อย่างไร!
โจวเสาจิ่นหน้าเคร่งเครียด รีบเช็ดน้ำตา จากนั้นลากเฉิงอี้มุ่งหน้าไปยังศาลาที่อยู่บนยอดภูเขาจำลอง
“ไอ้โหยว!” เฉิงอี้ไม่กล้าขัดขืน ขอความเมตตาไปด้วยตลอดทาง “เจ้ามีอะไรก็พูดกันดีๆ นี่เจ้าจะลากข้าไปที่ใด ข้าแอบวิ่งมาที่นี่ หากถูกใครเห็นเข้า คืนนี้ข้าคงต้องนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงเป็นแน่…”
อาจจะถูกเฉิงเหมี่ยนเฆี่ยนจนนอนไม่ได้
โจวเสาจิ่นไม่สนใจเขา ปีนขึ้นมาจนถึงบนศาลาอย่างเหนื่อยหอบ ยืนอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้ปรับอารมณ์ให้สงบลงมา กล่าวขึ้นว่า “ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ท่านบอกข้ามาให้ชัดเจน! ไม่อย่างนั้นข้าจะไปบอกท่านลุงใหญ่ คืนนี้ท่านก็จะได้นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงเช่นกัน!”
“เจ้า…เจ้ากลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้อย่างไร” ใบหน้าของเฉิงอี้ขาวยิ่งกว่าใบหน้าของโจวเสาจิ่นเสียอีก
ถ้าหากว่าในมือของโจวเสาจิ่นมีแส้คงจะหวดใส่เขาสักครั้งหนึ่งไปแล้ว นางกล่าวขึ้นว่า “ที่ข้ากลายเป็นเช่นนี้ ก็มิใช่เพราะท่านหรอกหรือ ท่านยังไม่รีบบอกข้าอีกว่าตกลงเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่”
เฉิงอี้กล่าวเสียงเบาว่า “เขาเพียงบอกว่าเนื่องจากพวกเขาเป็นคนที่มาศึกษาจากต่างถิ่น สำนักศึกษาเย่ว์ลู่กลัวว่าระหว่างเดินทางไกลจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ ดังนั้นจึงอนุญาตให้พวกเขากลับบ้านปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น แต่เนื่องจากท่านป้าใหญ่ไป่ไม่สบาย เขาวางใจลงไม่ได้จริงๆ จึงแอบหนีกลับมา ยังบอกอีกว่าในบรรดาพี่ชายน้องชายเหล่านี้ มีเพียงข้าที่เก็บความลับได้ ไม่เอาไปพูดไปทั่ว เขาจึงอยากมาเยี่ยมข้า ยังถือโอกาสนำของฝากมาฝากเจ้าด้วย ข้าก็เลยรั้งให้เขาอยู่กินข้าวด้วย แต่ใครจะรู้เขากลับพูดว่าเขากับเจ้าไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กเจ้ามักจะชอบไปคุยกับเขา ให้ข้าเรียกเจ้าไปได้หรือไม่…”
เวลานั้นเขาคิดว่าตัวเองจะต้องหมั้นหมายกับโจวเสาจิ่น จากพี่ชายน้องสาวกลายมาเป็นสามีภรรยา เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย บวกกับรู้สึกว่าคำขอร้องเช่นนี้ของเฉิงลู่ออกจะเกินไปสักหน่อย จึงปฏิเสธไปอย่างแข็งขัน
“พี่ชายลู่พยายามหว่านล้อมทุกวิถีทาง เสียเวลาอยู่ครึ่งค่อนวันข้าก็ไม่ตอบรับ” เฉิงอี้พึมพำกล่าว “ข้าเองก็ไม่ได้เป็นคนที่วางใจไม่ได้อย่างที่เจ้ากล่าวมาขนาดนั้น ข้าเพียงรู้สึกว่าทุกคนต่างเป็นญาติพี่น้องกัน มีอะไรที่พอจะช่วยเหลือเขาได้ก็จะช่วยเขาสักครั้ง อะไรที่ช่วยไม่ได้ก็ไม่อาจกระทำจนไม่เหลือทางลงให้เขา…”
นี่เฉิงลู่ต้องการทำอะไรกันแน่
คิดจะหลอกลวงนางด้วยการสร้างเรื่องคลุมเครือกับนางเหมือนกับชาติก่อน? หรือเพราะชาตินี้สืบจนพบว่าตัวเองอาจจะต้องสูญเสียยศตำแหน่งไป สงสัยในตัวนาง จึงอยากจะมาสืบหาเบาะแสจากตัวนาง?
โจวเสาจิ่นคิดแล้วก็ให้รู้สึกวุ่นวายใจ อยากจะให้ถึงสิ้นปีเร็วๆ หากไร้ซึ่งยศตำแหน่งแล้ว คอยดูว่าเขาจะทำอย่างไร!
อีกทั้งรู้สึกรังเกียจคำหวานหูของเฉิงลู่ยิ่งนัก ที่หลอกลวงเฉิงอี้ไปด้วยอีกคน
แต่นางไม่อาจบอกความจริงกับเฉิงอี้ได้
เฉิงอี้ผู้นี้อายุยังน้อยนัก นางกลัวว่าเขาจะเก็บความลับไม่อยู่ วันใดพลั้งปากออกไปแล้วจะทำให้เสียการใหญ่
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ถึงได้ข่มความเดือดดาลในใจเอาไว้ได้ พยายามพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ปรกติที่สุดว่า “เขาแอบอาจารย์ใหญ่ที่สำนักศึกษาหนีกลับมา ท่านรู้แล้วกลับไม่บอกผู้ใหญ่ นี่ก็ถือเป็นความผิดของท่านด้วยเช่นกัน! ต่อไปท่านห้ามไปมาหาสู่กับเขาอีก ไม่อย่างนั้นหากท่านลุงใหญ่ทราบเรื่องเข้าจะต้องลงโทษให้ท่านไปคุกเข่าสำนึกผิดที่หอบรรพชนเป็นแน่!”
เฉิงอี้อับอาย กล่าวขึ้นว่า “เขากลับสำนักศึกษาเย่ว์ลู่ไปนานแล้ว…ข้าไม่อาจพบหน้าเขาอีกแล้ว!”
“เขาบอกท่านหรือ” โจวเสาจิ่นถาม
เฉิงอี้พยักหน้า
เช่นนั้นเฉิงลู่คคงไม่มาหาเฉิงอี้แล้ว
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ย้ำกำชับเขาอีกหลายประโยคทำนองว่า “ท่านอย่าทำตัวเหลวไหลไปทั่ว” กระทั่งเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว ใกล้จะถึงเวลารับประทานมื้อเที่ยงแล้ว จึงแยกย้ายกับเฉิงอี้
คิดไม่ถึงว่าเมื่อกลับมาถึงเรือนหลักจะได้พบกับเฉิงฉือที่ไม่ได้เจอหน้ามาหลายวัน
นางตะโกนเรียก “ท่านน้าฉือ” เสียงหนึ่งอย่างกักเก็บความยินดีเอาไว้ไม่ได้
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพยักหน้าให้นาง เป็นการกล่าวทักทาย
นางดีอกดีใจประหนึ่งได้น้ำเย็นมาหนึ่งน้ำเต้าก็ไม่ปาน ทำให้อารมณ์ของนางสงบขึ้นไม่น้อย
หลังจากที่ทั้งสองคนรับมื้อเที่ยงเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จแล้ว ตอนที่ย้ายไปดื่มน้ำชาที่ห้องรับแขกเฉิงฉือก็เอ่ยถึงเรื่องถอนหุ้นส่วนออกจากตระกูลหลี่ขึ้นมา
ถึงว่าหลายวันมานี้ไม่เห็นแม้แต่เงาของท่านน้าฉือ
จิตใจของโจวเสาจิ่นสงบลงมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
น้อยครั้งนักที่บุตรชายคนเล็กจะพูดเรื่องพวกนี้กับนาง
นางกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ถอนหุ้นส่วนออกแล้ว จะกระทบกับกิจการของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่หรือไม่”
เฉิงฉือกล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่อยากให้กิจการใหญ่โตไปกว่านี้แล้วขอรับ ต้นไม้ที่อยู่สูงกว่าต้นอื่น มักจะถูกลมพัดก่อนเสมอ ตระกูลเฉิงมาถึงวันนี้แล้ว ก็ควรจะยั้งตัวเองลงสักหน่อยแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าน่าเกรงขามว่า “ในช่วงเปลี่ยนผ่านของสองราชวงศ์ หากข้างนอกเต็มไปด้วยศพผู้คนที่อดอยาก แต่ตระกูลเฉิงกลับยังคงมีชีวิตอยู่อย่างหรูหราฟู่ฟ่า สุดท้ายคงไม่วายนำไปสู่ความหายนะได้ ให้ถือประสบการณ์ของผู้อื่นเป็นบทเรียน ถือเอาสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาเป็นครู เจ้าพิจารณาได้ถูกต้องแล้ว ทางด้านของพี่ชายใหญ่ของเจ้า เจ้าก็เอ่ยเตือนเขาด้วยสักประโยค ข้าได้ยินคนพูดกันว่า พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าปล่อยเงินกู้ร่วมกับตระกูลหยวน นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก!”
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก
คิดไม่ถึงว่าหยวนซื่อจะปล่อยเงินกู้
มินาชาติก่อนนางถึงได้มีเงินมากมายยิ่งนัก!
ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือโมโหด้วยเรื่องนี้หรือไม่
‘ความหายนะ’ ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถึงมันเรื่องอะไรกันแน่
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เฉิงฉือก็ลุกขึ้น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าทราบแล้วขอรับ! พระอาทิตย์ตอนเที่ยงเช่นนี้กำลังร้อนแรง ท่านพักผ่อนก่อนเถิด! ข้ากลับไปพักสักครู่แล้วจะกลับไปที่ร้านอีก พรุ่งนี้ยังต้องจัดการเรื่องเงินที่ถอนหุ้นออกมาอีกขอรับ”
โจวเสาจิ่นไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสั่งการก็ช่วยเลิกผ้าม่านขึ้นให้เฉิงฉือ
เฉิงฉือหันมาพยักหน้าให้นางยิ้มๆ แล้วออกไปจากเรือนหลักอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นใจสั่นสะท้าน ก้มหน้าก้มตากลับมาที่เรือนหลัก
ผ่านไปเจ็ดถึงแปดวัน แม่นมกับพ่อบ้านที่คุ้มกันหีบสัมภาระของหยวนซื่อ พร้อมด้วยสาวใช้อีกสองสามคนก็เดินทางกลับมาถึงก่อน หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว แม่นมของหยวนซื่อก็มาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว พอเห็นโจวเสาจิ่นที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวนางก็ไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด
โจวเสาจิ่นบังเกิดความตระหนก จดจำมันเอาไว้ในใจ
หลังจากแม่นมผู้นั้นทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินจับไข้ตอนอยู่ที่จิงเฉิง ทำให้รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย และก็กลัวว่าจะล่าช้า จึงให้บ่าวเร่งนำของฝากของทุกคนในบ้านกลับมาก่อน คาดว่าฮูหยินยังต้องใช้เวลาอีกสักเจ็ดถึงแปดวันกว่าจะเดินทางมาถึงเจ้าค่ะ”
อีกเจ็ดถึงแปดวัน เช่นนั้นก็ผ่านพ้นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ไปแล้ว
โจวเสาจิ่นมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ขมวดคิ้วน้อยๆ จนแทบจะมองไม่เห็น นางกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อตัดสินใจว่าจะกลับมา แล้วเหตุใดถึงไม่ออกเดินทางให้เร็วขึ้นสักหน่อย”
แม่นมผู้นั้นมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
แม่นมผู้นั้นรีบก้าวออกไปสองสามก้าว เอ่ยเสียงประหนึ่งแมลงหวี่ว่า “หัวหน้าคุมสอบกับรองหัวหน้าคุมสอบประจำการสอบระดับภูมิภาคของทางใต้ถูกกำหนดออกมาแล้ว เหลือเพียงรอองค์ฮ่องเต้ทรงลงตราประทับเท่านั้น ด้วยเรื่องนี้ฮูหยินถึงได้กลับมาล่าช้าเจ้าค่ะ”
ดูทีว่าบุตรสะใภ้ของตัวเองผู้นี้คงอยากจะให้บุตรชายสอบให้ได้ตำแหน่งเจี้ยหยวน[1]กระมัง!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปล่งเสียง “อ้อ” เสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจียซ่านถูกอาสี่ของเขาส่งไปอ่านตำราที่เจ่าหยวน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นกังวลใจมาก รอให้จัดการเรื่องที่เรือนเสร็จแล้ว จะให้ที่โรงเกี้ยวจัดเกี้ยวไปส่งเจ้าก็แล้วกัน!”
แม่นมกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงได้ถอยออกไป
โจวเสาจิ่นรู้สึกอากาศปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย
นางไม่ชอบคนของหยวนซื่อเป็นอย่างยิ่ง
ตกบ่าย แม่นมเอาของขวัญของหยวนซื่อมามอบให้ทุกคน
ไม่ต้องกล่าวถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัว ปี้อวี้และคนอื่นๆ แม้แต่ของโจวเสาจิ่นก็มีด้วยเช่นกัน
…………………………………………………………………..
[1] เจี้ยหยวน ผู้ที่สอบผ่านการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูเป็นลำดับที่หนึ่ง