ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 331 เย็นชา
หยวนซื่อเป็นสะใภ้ใหญ่ของจวนหลัก โจวเสาจิ่นมาอาศัยอยู่ที่จวนหลัก หยวนซื่อต้องรู้อยู่แล้ว แต่การรู้ประเภทนี้กลับทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ
นางให้ชุนหว่านนำปิ่นไข่มุกที่หยวนซื่อให้มาไปเก็บไว้อีกที่หนึ่ง เตรียมเอาไว้สำหรับมอบเป็นรางวัลให้ผู้อื่น
เนื่องจากคุณหนูของตระกูลกู้มีอายุไล่เลี่ยกันหลายคน เฉิงอี้เองก็ไม่เด็กแล้ว ตระกูลเฉิงและตระกูลกู้ทั้งสองตระกูลจึงเชิญคนที่เกี่ยวกับข้องกับงานแต่ง ตรวจสอบดวงชะตา และเริ่มกำหนดเรื่องหมั้นหมายกันอย่างรวดเร็ว
ส่วนฮูหยินใหญ่เหมี่ยนนั้นกลับลากโจวเสาจิ่นไปดูเรือนหลังใหม่ที่สร้างให้เฉิงเก้า ยังชี้ไปยังห้องข้างที่ยังยุ่งเหยิงอยู่หลายห้องนั้นของเรือนหลังใหม่ของเฉิงเก้าพลางกล่าว “สองปีมานี้ได้ปันผลจากร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ดีนัก ลุงใหญ่ของเจ้ากับข้าจึงปรึกษากัน ให้ปรับปรุงบริเวณนั้นไปด้วย สำหรับสร้างเรือนใหม่ให้อี้เกอเอ๋อร์ เช่นนี้แล้วพวกเราก็ไม่ต้องปรับปรุงเรือนไปอีกอย่างน้อยห้าสิบปี” กล่าวจบ ทอดถอนใจกล่าวอีกว่า “หวังว่าพวกเขาพี่น้องจะสามัคคีปรองดองกัน ช่วยกันทำให้กิจการของตระกูลรุ่งเรืองยิ่งขึ้น”
ตอนนี้นางวางโจวเสาจิ่นเอาไว้ในตำแหน่งบุตรสาวของตัวเองกลายๆ โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คิดว่าต่อไปต้องกตัญญูต่อฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและฮูหยินผู้เฒ่ากวนให้มากถึงจะถูก ดังนั้นจึงควรจะมาอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและฮูหยินผู้เฒ่ากวนบ่อยๆ
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เป็นคนนิสัยดีมาก พี่สะใภ้เก้าก็เป็นบุตรสาวของตระกูลเหอที่ผูโข่ว ทั้งสองตระกูลล้วนเป็นตระกูลบัณฑิตรู้หนังสือ พวกนางจะต้องเข้ากันได้ดีอย่างแน่นอน ท่านป้าใหญ่รอใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขก็พอแล้วเจ้าค่ะ!”
คำพูดของนางทำให้ใบหน้าของฮูหยินใหญ่เหมี่ยเผยรอยยิ้มออกมา กล่าวขึ้นว่า “ข้าหวังให้เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวออกมา ข้าแต่งเข้ามาที่ตระกูลเฉิงหลายปีขนาดนี้ ล้วนใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านยายของเจ้ามาโดยตลอด ก็หวังว่าพวกนางจะใกล้ชิดสนิทสนมกับข้าด้วย” กล่าวจบ นางร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ใกล้จะถึงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์แล้ว จวนหลักมีการเตรียมการอะไรหรือไม่ ท่านยายของเจ้าตั้งใจจะรับเจ้ากลับมาฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ด้วยกันที่เรือนเจียซู่ นางให้ข้ามาถามเจ้าสักหน่อย หากเจ้ามีการเตรียมการอื่นเอาไว้แล้ว พวกเราทางด้านนี้ก็จะจัดงานให้เร็วขึ้นสักวันหนึ่ง ทุกคนจะได้กลับมารวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตากัน รอให้ถึงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ปีหน้า พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองของเจ้าแต่งเข้ามาแล้ว ก็คงจะเป็นความครึกครื้นอีกแบบหนึ่งแล้ว”
ถึงแม้บุตรสะใภ้จะดี แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้แต่งเข้ามา ยังไม่ได้รู้จักกัน จะเปรียบกับโจวเสาจิ่นที่เติบโตกับตนมาตั้งแต่เล็กๆ ได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยากจะให้พี่ชายสวี่กลับมาฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ แต่ท่านน้าฉือกล่าวว่า เทศกาลวันไหว้พระจันทร์นั้นมีเป็นประจำแต่วันเวลานั้นมีไม่มากนัก ให้พี่ชายสวี่ตัดสินใจเอาเอง ฟังจากความหมายของพี่ชายสวี่แล้ว ช่วงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์นั้นเขาจะยังคงรั้งอยู่ที่เจ่าหยวน ไม่กลับมาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้เจอพี่ชายสวี่มานานแล้ว จึงอยากจะไปฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ที่เจ่าหยวนเป็นเพื่อนพี่ชายสวี่ ท่านน้าฉือไม่ได้กล่าวอะไร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวที่ชัดเจน ข้ากลัวว่าจะเป็นเพราะพวกเขาเป็นห่วงข้า จึงคิดอยู่พอดีว่าอยากจะมาปรึกษาท่านป้าใหญ่ อยากจะมาฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์เป็นเพื่อนท่านกับท่านยายเจ้าค่ะ…”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนดีใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปบอกท่านยายของเจ้า ท่านยายของเจ้าทราบแล้วจะต้องดีใจมากเป็นแน่”
โจวเสาจิ่นรีบเอ่ยห้ามนางไว้ก่อนว่า “เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้คุยกับฮูหยินผู้เฒ่าและท่านน้าฉือเลยเจ้าค่ะ! รอให้ข้าแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านน้าฉือก่อน ท่านค่อยบอกท่านยายก็ยังไม่สาย”
“ข้าทราบแล้ว!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวยิ้มๆ “ข้าให้คนไปจองปูกับหอยเป๋าฮื้อที่ร้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดตรงสะพานประตูเหนือของเมืองมา เจ้าร่างกายอ่อนแอ กินปูไม่ได้ แต่กินหอยเป๋าฮื้อได้…” จากนั้นลากนางไปดูเรือนหลังใหม่ของเฉิงเก้าอีกกว่าครึ่งค่อนวัน รั้งให้นางอยู่รับมื้อเที่ยงที่เรือนหานชิวแล้วถึงปล่อยนางกลับ
เนื่องจากโจวเสาจิ่นยังเป็นกังวลเรื่องเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ตอนบ่ายจึงไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “น้าฉือของเจ้าให้ข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเจียซ่านที่เจ่าหยวน เขาจะอยู่ฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ที่จวน แต่ข้าจะทิ้งเขาไว้ที่เรือนหานปี้ซานเพียงลำพังได้อย่างไร บวกกับเจียซ่านเองก็ใกล้จะต้องลงสนามสอบแล้ว ไม่ใช่เวลาจะไปรบกวนเขาจริงๆ ข้าคิดไปคิดมา จึงตัดสินใจว่าจะรั้งอยู่ที่นี่ฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์เป็นเพื่อนน้าฉือของเจ้า ในเมื่อยายของเจ้าจะรับเจ้าไปฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ข้าว่าไม่สู้พวกเราทั้งสองครอบครัวมาฉลองวันไหว้พระจันทร์ด้วยกันดีกว่า ข้าจะเชิญยายของเจ้าเอง ทุกคนมาสนุกสนานกัน ก็ครึกครื้นไม่น้อย!”
เมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวชื่นชอบความเงียบสงบ
ที่อยู่ฉลองวันไหว้พระจันทร์ที่ซอยจิ่วหรูในครั้งนี้ โดยมากก็คงเป็นเพราะนางกระมัง!
โจวเสาจิ่นรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ไปบอกฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอารมณ์เบิกบาน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันที่สิบสี่เดือนแปดทุกคนมาที่เรือนเจียซู่ ส่วนวันที่สิบห้าเดือนแปดพวกเราไปที่เรือนหานปี้ซาน จะได้สนุกสนานกันทั้งสองวัน!”
โจวเสาจิ่นย่อมดีใจเป็นอย่างมาก
เฉิงฉือเองก็ไม่ได้ว่าอะไร
เรื่องนี้จึงกำหนดตามนี้
กระทั่งวันที่สิบสี่เดือนแปดพวกนางไปที่เรือนเจียซู่ โจวเสาจิ่นอยู่คุยเรื่องสัพเพเหระเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยน ส่วนเฉิงเหมี่ยน เฉิงฉือ เฉิงเก้าและเฉิงอี้นั่งล้อมวงอยู่อีกโต๊ะถกเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
ตอนแรกโจวเสาจิ่นยังเป็นกังวลว่าเฉิงฉือจะนิ่งเงียบ คิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะพูดคุยอย่างรื่นไหล อีกทั้งยังมีอารมณ์ขัน เย้าแหย่จนทุกคนต่างหัวเราะกันไม่หยุด
แรกเริ่มนางเองก็หัวเราะตามไปด้วยจนน้ำตาเกือบจะเล็ดออกมา ต่อมาเงียบงันลงเล็กน้อย
ท่านน้าฉือดีเพียงนี้ กลับถูกลิขิตให้นางกับเขาไร้วาสนาต่อกัน
ถูกลิขิตให้เป็นคนที่ต่อให้นางยอมลดตัวต่ำจนถึงดินก็ยังทำได้แค่มองอยู่ไกลๆ เท่านั้น
วันต่อมาคนจากจวนสี่มาฉลองวันไหว้พระจันทร์ที่จวนหลัก ตอนที่ทุกคนมานั่งชมจันทร์และกินขนมไหว้พระจันทร์ในสวนนั้น ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ ก็พูดถึงเรื่องงานแต่งของเฉิงเก้าขึ้นมา
เฉิงฉือได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “เสาจิ่นเองก็ถึงเวลาต้องเรียนรู้เรื่องการจัดการงานบ้านงานเรือนแล้ว เรื่องจัดเตรียมงานแต่งนี้ก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและค่อนข้างซับซ้อน ข้าว่าไม่สู้ให้เสาจิ่นไปช่วยท่าน นางก็จะได้เรียนรู้อะไรไปด้วยพอดี”
ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามด้วย
โจวเสาจิ่นมองไปที่เฉิงฉืออย่างซาบซึ้งใจครั้งหนึ่ง
เช่นนี้เมื่อเฉิงสวี่สอบเสร็จแล้ว นางก็จะได้หลบเลี่ยงเฉิงสวี่ได้พอดี
***
ผ่านพ้นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์แล้ว ตระกูลเฉิงก็ไปส่งสินสอดที่ตระกูลกู้
โจวเสาจิ่นเองก็ตามไปด้วย นางกับกูที่สิบแปดและกูที่ยี่สิบพากันกล่าวหยอกเย้ากูที่สิบเจ็ดไปยกใหญ่ เมื่อกลับมาถึงเรือนหานปี้ซานกลับพบว่าหยวนซื่อกลับมาแล้ว ปิดประตูคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่พอดี
นางกลับไปที่เรือนฝูชุ่ยเงียบๆ
กระทั่งปี้อวี้มาเชิญนางไปรับประทานมื้อเที่ยง นางถึงได้ไปที่เรือนหลัก
หยวนซื่อดูมีชีวิตชีวากว่าตอนอยู่ที่ซอยจิ่วหรู สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหังโจวไร้ลวดลายสีเขียวอมฟ้า กระโปรงแปดจีบสีถั่วเขียว เส้นผมดำนั้นม้วนขึ้นเป็นมวยดอกโบตั๋น ปักปิ่นไข่มุกใต้ขนาดเท่าเม็ดบัวและปิ่นอัญมณีขนาดเท่าไข่นกพิราบเอาไว้
เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นนางก็รีบแย้มรอยยิ้มยินดีออกมา กล่าวขึ้นว่า “ไม่เห็นเพียงปีเดียว เสาจิ่นยิ่งอยู่ก็ยิ่งงดงามขึ้นมากนัก”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พร้อมกับก้าวออกไปทำความเคารพหยวนซื่อ
หยวนซื่อยิ้มพร้อมกับหันไปกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “เพียงแต่ว่ายังคงพูดน้อยเหมือนเดิม!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเสียงเรียบว่า “เด็กสาวนั้น หากเอาแต่ร้องเจื้อยแจ้วทั้งวันเหมือนนกกระจอก ก็ไร้สาระเกินไป พูดให้น้อยลงสักสองประโยคจะดีกว่า”
หยวนซื่อหน้าร้อนผะผ่าว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลุกขึ้น เอ่ยกับเจินจูว่า “สั่งให้บ่าวรับใช้ตั้งโต๊ะได้!”
เจินจูรับคำแล้วถอยออกไป
โจวเสาจิ่นเข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยความเคยชิน คิดไม่ถึงว่าหยวนซื่อก็เข้าไปประดองด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทั้งสองคนไปทางซ้ายคนหนึ่งทางขวาคนหนึ่ง จึงไม่ได้ชนกัน
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับเอามือวางบนแขนของโจวเสาจิ่น กล่าวกับหยวนซื่อว่า “เจ้าเองก็ใกล้จะเป็นแม่สามีของผู้อื่นแล้ว เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเด็กๆ เหล่านี้ทำเถิด!”
หยวนซื่อประเดี๋ยวหน้าแดงประเดี๋ยวหน้าขาวซีด ขานรับอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ” แล้วเดินตามอยู่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ตามกฎของเรือนหานปี้ซานแล้วรายการอาหารจะจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าห้าวัน ถ้าหากระหว่างนั้นอยากกินอะไรเพิ่มก็ให้ห้องครัวทำให้ แต่ต้องบอกห้องครัวล่วงหน้าก่อนหนึ่งถึงสองชั่วยาม ไม่เช่นนั้นจะต้องรอเป็นมื้ออาหารในรอบถัดไปแทน และบนโต๊ะอาหารของพวกนางยังคงเป็นรายการอาหารเหล่านั้น แม้แต่ผักก็ไม่มีเพิ่มมาแม้แต่จานเดียว นางชำเลืองมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับนั่งอย่างสงบนิ่งอยู่หน้าโต๊ะ
ที่แท้เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้สั่งให้ในครัวเพิ่มรายการอาหารมาตั้งแต่แรก
เมื่อเห็นหยวนซื่อได้รับการปฏิบัติที่เย็นชาเช่นนี้แล้ว โจวเสาจิ่นรู้สึกมีความสุขกับคราวเคราะห์ของผู้อื่นเล็กน้อย
ทั้งสามคนรับประทานอาหารกันโดยไม่พูดไม่จา หยวนซื่อรอจนฮูหยินผู้เฒ่ากัวดื่มชาเสร็จแล้ว ก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา เอ่ยขึ้นว่า “ตอนบ่ายข้าจะไปเจ่าหยวนสักครั้ง ตั้งใจว่าจะอยู่ที่นั่นสักช่วงหนึ่งเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า ทั้งไม่ถามว่านางจะไปอย่างไร และไม่ถามว่านางจะไปอยู่ที่นั่นกี่วัน
หยวนซื่อพลันรู้สึกอับอายเล็กน้อย รีบทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
สื่อมามาออกไปส่งหยวนซื่อ หลังจากกลับมาแล้วก็กระซิบเกลี้ยกล่อมฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ฮูหยินเองก็ทำเพื่อคุณชาย…ผู้อื่นคิดยังคิดไม่ได้เลยเจ้าค่ะ! หากมิใช่ฮูหยิน ก็คงหาบทความหรืองานเขียนของหัวหน้าคุมสอบและรองหัวหน้าคุมสอบที่เขียนในเวลาปรกติไม่ได้เจ้าค่ะ…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็น กล่าวขึ้นว่า “ต้องเรียนรู้จักการเป็นคนก่อนแล้วค่อยไปทำอย่างอื่นทีหลัง การพยายามทุกวิถีทางเพื่อฉกฉวยผลประโยชน์เช่นนี้ เส้นทางนี้จะเดินไปได้ไกลอย่างนั้นหรือ”
สื่อมามาไม่กล้าเอ่ยคำใด หันไปส่งสายตาให้โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
เนื่องจากโจวเสาจิ่นมาจากครอบครัวขุนนาง ได้ยินไม่กี่ประโยคก็เข้าใจแล้ว
นางก้าวออกไปเติมน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ ยามปรกติพี่ชายสวี่ก็ตั้งใจอ่านตำราเป็นอย่างยิ่ง บัณฑิตนั้นไม่มีที่หนึ่ง ส่วนนักรบไม่มีที่สอง ท่านป้าใหญ่จิงทำเช่นนี้ก็เพื่อให้มั่นใจมากขึ้น หากท่านรู้สึกว่าเช่นนี้ไม่ดี รอให้พี่ชายสวี่สอบเสร็จแล้ว ท่านค่อยเรียกพี่ชายสวี่มาอบรมสั่งสอนสักครั้งหนึ่งก็ได้เจ้าค่ะ”
จะให้ดีที่สุดก็คือให้เขาไปคุกเข่าสำนึกผิดที่หอบรรพชนเป็นการลงโทษ
ความจริงแล้วคำพูดนี้ของโจวเสาจิ่นพูดออกมาอย่างเรียบเฉยและไร้แรงผลักดันใดๆ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองดวงตาใสแจ๋วและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้งของนางแล้ว ในใจก็อ่อนยวบลง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ทำไมข้าจะไม่รู้! เพียงแต่รู้สึกว่าเขาช่างไม่เหมือนน้าฉือของเจ้า…หัวหน้าคุมสอบในตอนนั้นเป็นบิดาของสหายร่วมชั้นของลุงรองเว่ยของเจ้า ลุงใหญ่จิงกับลุงรองเว่ยของเจ้าใช้เวลาเกือบสองเดือนช่วยจัดตำราให้น้าฉือของเจ้า แต่น้าฉือของเจ้ากลับไม่มองเลยสักนิด เขาบอกว่า ดูการกระทำของคนก็รู้ได้แล้วว่าเขาจะเขียนบทความอะไรออกมา หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยนี้ยังไม่มีวิสัยทัศน์ แล้วจะมีชีวิตอยู่ในแวดวงของเหล่าขุนนางได้อย่างไร เช่นนั้นไม่สู้พักอยู่ที่บ้านเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า…
…พี่ชายสวี่ของเจ้า ไม่มีความกล้าหาญอย่างที่น้าฉือของเจ้ามี!…
…เกรงว่าต่อไปคงยากที่จะได้รับตำแหน่งเข้าไปอยู่ในราชสำนัก!”
แต่คนส่วนใหญ่ก็น่าจะไม่มีความสามารถและความกล้าหาญเช่นนี้อยู่แล้วมิใช่หรือ!
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด แต่ก็ไม่คิดจะช่วยพูดให้เฉิงสวี่
แต่ข่าวความเคลื่อนไหวของเจ่าหยวนทางด้านโน้นก็มีมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินอยู่เนืองๆ นางเองก็พลอยได้ฟังคร่าวๆ ไปด้วย จึงได้รู้ว่าเพื่อให้เฉิงสวี่สอบได้ตำแหน่งดีๆ แล้ว ตอนอยู่ที่จิงเฉิงนั้นหยวนซื่อขอให้เฉิงเว่ยช่วยเขียนแนวข้อสอบให้ตรงกับแนวของหัวหน้าคุมสอบในครั้งนี้มาให้สามหน้ากระดาษเต็มๆ…ได้รู้ว่าเฉิงสวี่อ่านตำราทุกวันไม่หยุดไม่หย่อนจนเกือบจะเป็นไข้…ที่เจ่าหยวนมีต้นไม้มาก หยวนซื่อกลัวว่าเสียงจักจั่นจะรบกวนสมาธิของเฉิงสวี่ จึงให้ฮวนสี่และคนอื่นๆ ไปจับพวกมัน ตอนนี้ที่เจ่าหยวนไม่ได้ยินเสียงจักจั่นแม้แต่ตัวเดียว…หยวนซื่อคอยดูแลการต้มน้ำทำน้ำแกงอยู่ในห้องครัวด้วยตัวเองทุกวัน เฉิงสวี่อยากกินอะไรก็ทำให้เขาทุกอย่าง…
โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก
กระทั่งถึงเวลาที่ดอกเบญจมาศหลากหลายสีแข่งกันเบ่งบานในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เฉิงสวี่ก็ลงสนามสอบ