ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 332 โอ้อวด
โจวเสาจิ่นออกไปแต่เช้าและกลับดึกทุกวัน อยู่ช่วยงานฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่เรือนเจียซู่
แต่การสอบขุนนางระดับภูมิภาคเป็นเรื่องใหญ่ และเพื่อความสะดวกแล้ว เฉิงสวี่จึงย้ายกลับมาอยู่ที่เรือนตัวจย้า จึงมีข่าวคราวของเฉิงสวี่ดังมาเข้าหูนางผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ของพวกบ่าวรับใช้
“ฮูหยินหยวนเฝ้าอยู่ด้านนอกสนามสอบด้วยตัวเอง…”
“ว่ากันว่าตอนที่คุณชายใหญ่สวี่ออกมานั้นดูผอมลงไปเท่าตัว แต่สีหน้ากลับดูดีเป็นอย่างมาก มีคนจากสำนักศึกษาตระกูลเฉิงถามคุณชายใหญ่สวี่ว่าการสอบเป็นอย่างไรบ้าง คุณชายใหญ่สวี่ตอบยิ้มๆ ว่าต้องรอให้มีการประกาศผลก่อนถึงจะรู้…”
“คุณชายใหญ่เอาความเรียงที่เขียนตอนอ่านตำราไปให้นายท่านสี่ฉือดู นายท่านสี่ฉือพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง! ก่อนการประกาศผลสอบนี้ยังให้คุณชายใหญ่สวี่พักอยู่ที่เจ่าหยวนสักสองวันอีกด้วย…”
“เมื่อวานฮูหยินหยวนไปจุดธูปให้คุณชายใหญ่สวี่ที่วัด ว่ากันว่าเสี่ยงเซียมซีได้ใบที่ดีที่สุดมา ฮูหยินหยวนดีใจเป็นอย่างมาก บอกว่าหากได้ดังที่ปรารถนา จะปิดทองให้องค์พระโพธิสัตว์…”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวกับโจวเสาจิ่นเป็นการส่วนตัวว่า “ก็เพียงการสอบระดับภูมิภาคเท่านั้น ฮูหยินหยวนดูร้อนใจเล็กน้อย ปรกตินางมิใช่คนเช่นนี้!”
ก็ผู้อื่นพุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งเจี้ยหยวน!
เพราะลำดับที่สองมีดาษดื่น แน่นอนว่าย่อมต้องกระวนกระวายใจอยู่แล้ว!
โจวเสาจิ่นพึมพำอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ร่วมวงวิพากษ์วิจารณ์ด้วย หยิบสมุดบัญชีที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนให้นางเมื่อวานขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ท่านลองดู ใช่ตัวเลขนี้หรือไม่เจ้าคะ!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนดูครู่หนึ่ง ยิ้มพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าเสาจิ่นของพวกเราจะคำนวณเลขได้ดีขนาดนี้แล้ว นี่ตรงกับตัวเลขที่พ่อบ้านให้ข้ามาเมื่อหลายวันก่อนนั้นพอดีเลย”
โจวเสาจิ่นนึกถึงท่าทางดีดลูกคิดของเฉิงฉือขึ้นมา อดรู้สึกเขินอายขึ้นมาไม่ได้
สมุดบัญชีนี้นางใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันถึงจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
นางรีบสลัดเรื่องนี้ทิ้งไป กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านป้าใหญ่ยังมีเรื่องอะไรให้ข้าทำอีกหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพร้อมกับตบมือนางเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “ต้องให้เจ้าลงมือทำเองด้วยหรือ เจ้าเพียงคอยดูอยู่ข้างกายข้าว่าข้าทำอย่างไรบ้างก็พอ รอให้พี่ชายอี้ของเจ้าแต่งงานแล้ว ข้าก็จะได้วางมือแล้ว”
งานแต่งของเฉิงอี้กับกูที่สิบเจ็ดกำหนดเป็นวันที่สิบเดือนสามของปีหน้า
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า
ซื่อเอ๋อร์วิ่งเข้ามา ยังไม่ทันได้ยืนนิ่งๆ ก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “ฮูหยินใหญ่ คุณหนูรอง ข่าวดีเจ้าค่ะข่าวดี คุณหนูใหญ่ตรวจพบชีพจรมงคล อายุครรภ์สามเดือนปลอดภัยแล้ว ถึงได้ให้คนมาแจ้งข่าวเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ” โจวเสาจิ่นกระโดดลุกพรวดขึ้นมา น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
ช่างดียิ่งนัก!
ชาติก่อนพี่สาวแต่งงานไปแล้วถึงสองปีกว่าจะตั้งครรภ์ แต่ปรากฏว่าไม่นานก็แท้งบุตร
ครั้งนี้พี่สาวแต่งเข้าไปไม่ถึงสองเดือนก็ท้องแล้ว…สุดท้ายนางก็เปลี่ยนชะตาของพี่สาวได้ พี่สาวกับพี่เขยก็ไม่ต้องระทมทุกข์แล้ว
นางคว้ามือของซื่อเอ๋อร์เอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ท้องแล้ว ฮูหยินที่ตระกูลสามีดีกับนางหรือไม่ นางมีอาการแพ้ท้องหรือไม่ มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษหรือไม่ ข้าจะให้คนซื้อส่งไปให้”
ซื่อเอ๋อร์ถูกจับเอาไว้แน่น อดเม้มปากหัวเราะไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง บ่าวรับใช้อยู่ข้างกายนายหญิงผู้เฒ่ามานานขนาดนี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เห็นคุณหนูรองตื่นเต้นขนาดนี้…ที่ท่านถามมานี้ข้าล้วนไม่ทราบเจ้าค่ะ คนที่มาแจ้งข่าวคือฉือเซียงคนข้างกายของคุณหนูใหญ่ วันนี้นางเก็บผมขึ้นหมด คาดว่าคงจะแต่งงานแล้ว นายหญิงผู้เฒ่ากำลังสอบถามนางอยู่ ประเดี๋ยวจะต้องมาคารวะท่านอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นท่านก็จะถามรายละเอียดกับนางได้แล้วเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นหลุดหัวเราะออกมา
ท่านป้าใหญ่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก นางก็อ้าปากพูดไม่หยุดแล้ว
นางมองไปยังฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่ยืนแย้มยิ้มอยู่ข้างๆ ครั้งหนึ่งด้วยอาการขัดเขินเล็กน้อย
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนโอบไหล่ของนางเอาไว้กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าสองพี่น้องสนิทสนมชิดเชื้อกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลังจากที่พี่สาวของเจ้าแต่งงานออกไปก็ไม่มีข่าวคราวอะไร ข้าเองก็ร้อนใจตามไปด้วยเป็นอย่างมาก อยากจะส่งคนไปสอบถามดูก็กลัวคนของตระกูลเลี่ยวจะไม่ชอบ อีกทั้งยังกลัวว่าจะถามถึงเรื่องที่ทำให้พี่สาวของเจ้าเสียใจ ตอนนี้ดียิ่งที่พี่สาวของเจ้าตรวจพบชีพจรมงคลแล้ว ต่อไปก็คงจะมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง”
จากมุมมองของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนแล้ว สตรีนั้นกลัวแต่ว่าจะไม่ตั้งครรภ์ ถ้าหากตั้งครรภ์ได้ก็แสดงว่าย่อมให้กำเนิดออกมาได้
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับกลัวว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวจะปฏิบัติกับพี่สาวไม่ดี
จากความทรงจำของนาง ถึงแม้ฮูหยินใหญ่เลี่ยวผู้นี้กับหยวนซื่อจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่นิสัยของทั้งสองคนกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หยวนซื่อใจร้ายซึ่งหน้า ทว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวกลับใจไม้ไส้ระกำอย่างลับๆ อยู่ในใจ
ก่อนที่พี่สาวจะตั้งครรภ์ นางมองพี่สาวด้วยสายตาเย็นชามาโดยตลอด หลังจากพี่สาวตั้งครรภ์แล้ว มามาที่ส่งมาให้ก็เพราะต้องการให้มากะเกณฑ์ชีวิตของพี่สาว ไม่ง่ายเลยกว่าพี่สาวจะจัดการมามาผู้นั้นได้ แต่ก็ต้องเสียบุตรไปด้วย
เรื่องราวหลังจากนั้นจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
หากมิใช่เพราะพี่เขยปฏิบัติต่อพี่สาวอย่างดี เกรงว่าพี่สาวคงไม่มีทางให้กำเนิดเลี่ยวเฉิงฟางผู้เป็นหลานชายของนางได้แล้ว
ไม่รู้ว่าครรภ์นี้ของพี่สาวจะเป็นบุตรชายหรือว่าบุตรสาว
หากว่ายังคงเป็นบุตรชาย ไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่า ‘เฉิงฟาง’ อยู่หรือไม่
ตอนที่นางได้พบฉือเซียงจึงสอบถามอย่างละเอียด
ฉือเซียงนั้นเสื้อผ้าหน้าผมสะอาดสะอ้านเรียบร้อยเป็นระเบียบ สีหน้าสดใสเปล่งปลั่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินใหญ่เกือบจะยกสะใภ้ใหญ่ขึ้นมาบูชาแล้วเจ้าค่ะ ตระกูลเลี่ยวนั้นไม่ว่าจะเป็นตระกูลเดิมหรือตระกูลฝั่งมารดาล้วนจับกลุ่มอยู่รวมกัน เวลาเดินไปไหนล้วนต้องเจ้าหลีกทางให้ข้าข้าหลีกทางให้เจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่จึงสร้างห้องครัวเล็กให้สะใภ้ใหญ่หลังหนึ่ง ทุกๆ วันให้ดูแลอาหารการกินของสะใภ้ใหญ่เพียงเท่านั้น ฮูหยินเจ็ดของตระกูลเลี่ยวกล่าวค่อนแคะว่า ยังไม่รู้ว่าครรภ์นี้ของสะใภ้ใหญ่เมื่อให้กำเนิดออกมาแล้วจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว ฮูหยินใหญ่ด่วนดีใจเร็วเกินไปแล้ว ฮูหยินใหญ่ตอบกลับนางอย่างไม่เกรงใจว่า พวกเราล้วนไร้วาสนา จึงให้กำเนิดแต่บุตรชายคนแล้วคนเล่า คนที่มีวาสนาดีจริงๆ นั้น ล้วนให้กำเนิดบุตรสาวก่อนให้กำเนิดบุตรชายทีหลัง ได้มาเป็นยอดดวงใจของมารดาและช่วยเลี้ยงน้องชายได้พอดี…
…ฮูหยินเจ็ดของตระกูลเลี่ยวให้กำเนิดบุตรชายถึงสี่คน ไม่มีบุตรสาวเลยสักคนเจ้าค่ะ!” ฉือเซียงอธิบาย พร้อมกับเลียนแบบท่าทางของฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่เชิดหน้าขึ้นมองผู้คนไปด้วย
นางทำเอาทุกคนหัวเราะกันดังลั่น
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ่งแล้วใหญ่จับมือของฉือเซียงเอาไว้ เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนี้ก็ดีๆ! พวกเจ้าดูแลสะใภ้ใหญ่ให้ดี ข้าทางนี้ก็จะมีรางวัลให้ด้วย” จากนั้นมอบกำไลทองให้นางหนึ่งคู่เป็นรางวัล
ฉือเซียงรับปากอย่างเอาใจ และกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากวนด้วยความปีติยินดี
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเห็นแล้วจึงมอบกำไลเงินให้หนึ่งคู่
โจวเสาจิ่นตกรางวัลอย่างหน้าใหญ่ใจโตที่สุด นางนำเอาปิ่นไข่มุกที่ฮูหยินหยวนให้นางมาคู่นั้นมอบให้ฉือเซียงเป็นรางวัล
ฉือเซียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ากลับไปคราวนี้คงแย่แน่แล้ว หากสะใภ้ใหญ่มีเรื่องจะใช้งานอีก เกรงว่าทุกคนที่บ้านคงแย่งชิงกันรอฟังคำสั่งของสะใภ้ใหญ่เป็นแน่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น
นางหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “อย่างไรก็ไม่อาจขาดของพวกเจ้าได้”
ฉือเซียงกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
เมื่อเปรียบเทียบกับตอนอยู่ที่ตระกูลโจวแล้ว นางดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เห็นได้ชัดว่าชีวิตของพี่สาวที่ตระกูลเลี่ยวไม่ได้เลวร้ายนัก
โจวเสาจิ่นถามนางว่า “ก่อนหน้านี้ท่านพี่บอกว่าจะไปจิงเฉิง เกรงว่าตอนนี้คงไปไม่ได้แล้วกระมัง เช่นนั้นพี่เขยจะไปจิงเฉิงคนเดียวหรือ”
ฉือเซียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินใหญ่ตั้งใจว่ารอให้สะใภ้ใหญ่คลอดบุตรแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่สะใภ้ใหญ่บอกว่าไม่อาจเหนี่ยวรั้งอนาคตของคุณชายใหญ่ได้ อยากให้พวกบ่าวสองสามีภรรยาไปดูแลรับใช้คุณชายใหญ่ที่จิงเฉิง ตอนที่ข้าเดินทางมาที่นี่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจแน่ชัดเลยเจ้าค่ะ!”
สามีภรรยาหนุ่มสาวนั้น ย่อมปรารถนาให้คนรักอยู่ในอ้อมแขนมากกว่าการต้องพลัดพรากห่างไกลกันนับพันหลี่
เรื่องราวบนโลกใบนี้มีได้มาก็ย่อมมีเสียไป
โจวเสาจิ่นรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย
มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “สะใภ้ใหญ่นั่วมาเจ้าค่ะ!”
สะใภ้ใหญ่นั่วที่ว่าคืออู๋เป่าจาง ผู้เป็นบุตรสาวคนโตของท่านเจ้าเมืองจินหลิงอู๋ซิ่ว และเป็นภรรยาของเฉิงนั่วจวนห้านั่นเอง
นางแต่งเข้ามาเมื่อวันที่แปดเดือนแปด
เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นหญิงหม้าย จึงไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงานของนาง ตอนมาทำความรู้จักญาติพี่น้องในวันถัดมา เฉิงนั่วพาอู๋เป่าจางมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่โจวเสาจิ่นหลบออกไปที่อื่น จะว่าไปแล้ว นับตั้งแต่ที่อู๋เป่าจางแต่งเข้าตระกูลเฉิงมาแล้ว พวกนางก็ยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “นางมาทำไมหรือ”
สาวใช้เด็กกล่าวยิ้มๆ ว่า “บอกว่าทำขนมแป้งข้าวนึ่งที่มีเฉพาะที่บ้านเกิดของนางมาเล็กน้อย ย่อยง่ายยิ่งนัก จึงนำมามอบให้เป็นการแสดงความกตัญญูต่อนายหญิงผู้เฒ่าและฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”
นี่เป็นสิ่งที่นางชอบทำเป็นประจำในชาติก่อน
เทียวโอ้อวดว่าตัวเองมีคุณงามความดีและความสามารถอย่างไรบ้างไปทั่วทุกที่
นอกจากนี้ชาติก่อน อู๋เป่าจางก็อาศัยความสามารถในการทำขนมแต่ละอย่างมาประจบประแจงให้ผู้อื่นโปรดปราน
โจวเสาจิ่นเบ้ปาก จากนั้นก็ใจเต้นตึกตัก
กระทั่งเมื่อสาวใช้เด็กพาอู๋เป่าจางเข้ามา หลังจากทุกคนต่างกล่าวทักทายกันและกันตามมารยาทเรียบร้อยแล้ว นางถามอู๋เป่าจางยิ้มๆ ว่า “พี่สะใภ้นั่วแต่งเข้ามายังไม่ถึงหนึ่งเดือน เหตุใดถึงนึกทำขนมแป้งข้าวนึ่งขึ้นมาได้ ยังส่งมาให้ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ชิมเป็นพิเศษอีก ข้าช่างไม่คู่ควรรับไว้จริงๆ!”
อู๋เป่าจางที่แต่งงานแล้วนอกจากเก็บผมขึ้นจนหมดแล้ว ที่เหลือก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก
นางยิ้มน้อยๆ ไฝสีแดงตรงหว่างคิ้วของนางเม็ดนั้นขับให้ใบหน้าของนางดูสง่างามมากยิ่งขึ้น “แม่สามีเป็นคนจิตใจกว้างขวางผู้หนึ่ง ปฏิบัติกับข้าประหนึ่งเป็นบุตรสาวแท้ๆ แล้วก็ไม่ได้มาตั้งกฎกะเกณฑ์ชีวิตข้าด้วย ข้าจึงคิดว่า ข้าไม่อาจอยู่โดยไม่ทำอะไรเลยเช่นนี้ได้ ประจวบเหมาะกับที่เมื่อวานมีคนจากบ้านเดิมมาที่เมืองจินหลิง รู้ว่าข้าแต่งงานแล้ว จึงส่งข้าวสารของบ้านเดิมมาให้เล็กน้อย ข้าเห็นว่าข้าวสารพวกนี้สดใหม่ยิ่งนัก นึกถึงตอนเด็กๆ ที่ท่านย่าชอบกินขนมแป้งข้าวนึ่งที่ทำจากข้าวประเภทนี้เป็นที่สุด จึงลองทำเล็กน้อย เชิญให้ทุกคนลองชิมดู ดูว่าจะถูกปากหรือไม่”
โจวเสาจิ่นลองชิมตามฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไปหนึ่งคำ กล่าวชมว่า “ขนมแป้งข้าวนึ่งนี้อร่อยยิ่งนัก! ทำอย่างไรหรือ ช่วยบอกวิธีทำให้ข้าด้วยได้หรือไม่ ถึงเวลาข้าจะได้ทำให้ทุกคนได้ลองชิมดูบ้าง”
เหมือนกับชาติที่แล้ว อู๋เป่าจางไม่ยอมบอกเคล็ดลับนี้ของตนให้ผู้อื่นฟัง
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากคุณหนูรองอยากฝึกทำ ข้ายินดีสอนให้ทุกอย่างที่ข้ารู้ เพียงแต่ว่าการทำขนมพวกนี้เป็นเรื่องยุ่งยากอย่างยิ่ง ไม่พูดถึงอย่างอื่น ขนมแป้งข้าวนึ่งนี้ต้องกรองน้ำออกจากแป้งข้าว ต้องตื่นขึ้นมาโม่แป้งตอนยามสามของกลางดึก ลำบากยิ่งนัก เมื่อใดที่คุณหนูรองอยากกินไม่สู้มาบอกข้า ข้าช่วยทำให้เจ้าจะดีกว่า”
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อว่านางจะตื่นขึ้นมาโม่แป้งตอนยามสามของกลางดึกด้วยตัวเอง!
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนางกล่าวเช่นนี้ โจวเสาจิ่นจึงเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “คิดไม่ถึงว่าขนมแป้งข้าวนึ่งนี้จะทำยากขนาดนี้! ข้าจะกล้าตะกละอยากกินอีกได้อย่างไร”
อู๋เป่าจางกำลังเป็นกังวลว่าจะหาที่ให้ตัวเองยืนอยู่ในตระกูลเฉิงอย่างมั่นคงได้อย่างไรอยู่พอดี ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวรับประกันว่าไม่ลำบากอะไรเลยครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อให้โจวเสาจิ่นไม่ต้องการ นางก็จะทำไปมอบให้ผู้อื่นอยู่ดี
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้าใช้ข้าวทำให้ข้าสักสิบจิน[1]ก็แล้วกัน! ถึงเวลาข้าจะส่งไปให้พี่สาวของข้าด้วยสักเล็กน้อย”
ข้าวสิบจิน แค่โม่แป้งก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันแล้ว
อู๋เป่าจางรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก่อนหน้านี้นางได้รับปากไปแล้ว อีกอย่างนางไม่จำเป็นต้องโม่แป้งด้วยตัวเองจริงๆ สักหน่อย จึงตอบรับไปอย่างยิ้มๆ
เห็นว่าโจวเสาจิ่นต้องการส่งไปให้โจวชูจิ่นที่กำลังท้องกำลังไส้ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงไม่ได้ว่าอะไร
โจวเสาจิ่นกล่าวกำชับชุนหว่านว่า “ประเดี๋ยวเจ้าตามสะใภ้ใหญ่นั่วไปด้วย ดูว่าสะใภ้ใหญ่นั่วโม่แป้งอย่างไร กรองน้ำออกจากแป้งอย่างไร จดจำเอาไว้ให้ได้ ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปรบกวนสะใภ้ใหญ่นั่วบ่อยๆ อีก”
รอยยิ้มของอู๋เป่าจางพลันแข็งค้างขึ้นเล็กน้อย
แต่โจวเสาจิ่นไม่สนใจเรื่องพวกนี้
นางแสร้งกล่าวกับอู๋เป่าจางด้วยท่าทางไร้เดียงสาว่า “ข้าได้ยินว่าพี่สะใภ้นั่วยังทำบะหมี่เส้นแบน ข้าวแรมฟืนและเกี๊ยวน้ำเก่งยิ่งนัก ข้าล้วนไม่เคยกินมาก่อน ขนมแป้งข้าวนึ่งที่พี่สะใภ้นั่วทำมีรสชาติดีถึงเพียงนี้ ของกินเล่นเหล่านั้นก็น่าจะทำได้อร่อยไม่แพ้กันอย่างแน่นอน ชุนหว่าน เจ้าต้องประจบเอาใจสะใภ้ใหญ่นั่วให้ดีๆ ถึงแม้จะเรียนทำได้ไม่ครบทุกอย่าง อย่างน้อยก็ต้องเรียนทำกลับมาให้ได้สองถึงสามอย่าง ถ้าหากเรียนสำเร็จ ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าเป็นปิ่นปักผมหนึ่งคู่”
…………………………………………………………………….
[1] จิน หนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม