ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 333 สั่งสอน
อู๋เป่าจางหัวเราะไม่ออก
โจวเสาจิ่นรู้ได้อย่างไรว่านางทำของกินเล่นเหล่านั้นได้
นางให้ชุนหว่านมาเรียนทำขนมแป้งข้าวนึ่งกับตน ตนได้พูดจาโอ้อวดไปก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าให้บ่าวรับใช้ข้างกายช่วยโม่แป้งและกรองน้ำออกจากแป้งให้ล่ะก็ เมื่อชุนหว่านกลับไปจะต้องเอาไปพูดกับโจวเสาจิ่นเป็นแน่ โจวเสาจิ่นไม่เพียงเป็นที่ชื่นชอบของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเท่านั้น ยังได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย ถ้านางไปแอบไปกระซิบกระซาบต่อหน้าผู้ใหญ่สักหนึ่งหรือสองประโยค คนของตระกูลเฉิงทั้งบนและล่างจะมองนางอย่างไร
แต่ข้าวสารทั้งหมดสิบจิน…
เหงื่อเย็นผุดออกมาเต็มหน้าผากของนาง
มิใช่ว่าต้องใช้แรงของนางไปครึ่งชีวิตหรอกหรือ
โจวเสาจิ่นทำเช่นนี้โดยไม่ตั้งใจหรือตั้งใจกันแน่
นางเพ่งสายตามองไปที่โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นแย้มยิ้มมองนางด้วยแววตาใสแจ๋วดุจน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ดวงตาดำตัดขาวกระจ่างใสเสียจนราวกับจะสะท้อนเงาคนออกมาได้ บริสุทธิ์ไร้เดียงสาประหนึ่งเด็กน้อย
เด็กสาวเช่นนี้จะมาเล่นงานนางได้อย่างไร
อู๋เป่าจางรีบสลัดความสงสัยของตัวเองทิ้งไปในทันที
แต่ขนมแป้งข้าวนึ่งสิบจินนั้นจะทำอย่างไรดี
นางใช้สมองขบคิดอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกสาแก่ใจอยู่ในใจเล็กน้อย
มิใช่ว่าเจ้าต้องการแสร้งเป็นคนดีหรอกหรือ เช่นนั้นข้าก็จะสนองให้เจ้าเอง ให้เจ้าได้เสแสร้งเสียให้พอ
ไม่เพียงให้อู๋เป่าจางทำขนมแป้งข้าวนึ่งสิบจินเท่านั้น ยังจะให้ชุนหว่านไปเรียนทำของกินเล่นกับนางด้วย บีบบังคับให้นางลงมือทำด้วยตัวเอง ดูว่านางยังจะโอ้อวดตัวเองต่อหน้าผู้ใหญ่อีกหรือไม่!
โจวเสาจิ่นหันไปมองชุนหว่าน
ชุนหว่านงุนงงไปหมดแล้ว
ตนเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายคุณหนูรอง ดูแลเรื่องพวกอาหารและเสื้อผ้าให้คุณหนูรอง จะให้ทิ้งเรื่องทั้งหมดนี้แล้วไปเรียนทำขนมแป้งข้าวนึ่งกับสะใภ้ใหญ่นั่ว…ขนมแป้งข้าวนึ่งของสะใภ้ใหญ่นั่วทำได้ไม่เลวก็จริง แต่โรงครัวของเรือนชั้นนอกก็ทำออกมาได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังถูกปากของทุกคนที่ซอยจิ่วหรูมากกว่าขนมแป้งข้าวนึ่งของสะใภ้ใหญ่นั่วเสียอีก คุณหนูรองต้องการส่งขนมแป้งข้าวนึ่งไปให้คุณหนูใหญ่ ไม่บอกให้แม่ครัวใหญ่ที่โรงครัวของเรือนชั้นนอกทำ แต่ให้นางไปเรียนทำกับสะใภ้ใหญ่นั่ว…นี่มิใช่ว่าเรื่องราวกลับตาลปัตรไปหมดแล้วหรอกหรือ!
แต่ชุนหว่านเคารพเชื่อฟังโจวเสาจิ่นเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ในเมื่อโจวเสาจิ่นสั่งการลงมาแล้ว นางจึงขานรับพร้อมกับยิ้มตาหยี ยอบตัวถอนสายบัวให้อู๋เป่าจาง กล่าวขึ้นว่า “สะใภ้ใหญ่นั่ว ข้าเป็นคนมือเท้าเชื่องช้าโง่เขลายิ่งนัก หากมีตรงจุดใดที่ทำไม่ถูกต้อง ท่านดุด่าได้เลยเจ้าค่ะ”
อู๋เป่าจางรีบกล่าว “แม่นางชุนหว่านกล่าวหนักไปแล้ว แต่หวังว่าความสามารถเล็กๆ น้อยๆ นี้ของข้าจะเข้าตาเป็นที่พึงใจของคุณหนูรองของพวกเจ้า”
เมื่อก่อนโจวเสาจินเป็นคนที่พูดไม่เก่งผู้หนึ่ง ดังนั้นโจวชูจิ่นจึงเลือกสาวใช้ที่เข้าสังคมเก่งมาให้นาง
ชุนหว่านได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “สะใภ้ใหญ่นั่วถ่อมตัวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ! หากว่าคุณหนูรองของพวกข้าไม่ชื่นชมฝีมือของสะใภ้ใหญ่นั่ว ก็คงไม่ยอมให้ข้าทิ้งงานจำนวนมากที่เรือนไปเรียนทำขนมแป้งข้าวนึ่งกับท่านหรอกเจ้าค่ะ กลัวแต่ว่านี่จะเป็นสูตรลับที่สืบทอดกันมาของตระกูลสะใภ้ใหญ่นั่ว โชคดีที่ปรกติแล้วคุณหนูรองของพวกข้าไม่ได้ออกไปไหน จึงไม่มีทางที่จะนำเอาสิ่งที่สะใภ้ใหญ่นั่วสอนมาไปหาประโยชน์อย่างแน่นอน สะใภ้ใหญ่นั่วสอนข้าอย่างวางใจได้เลยเจ้าค่ะ!”
อู๋เป่าจางได้ยินแล้วไม่ชอบใจยิ่งนัก
คิดไม่ถึงว่าชุนหว่านที่ดูน่ารักและบอบบางผู้นี้ เมื่อเปล่งคำพูดออกมากลับทิ่มแทงผู้คนประหนึ่งมีดก็ไม่ปาน
ไหนจะพูดว่าสูตรลับที่สืบทอดกันมาของตระกูลบ้างล่ะ ไหนจะบอกว่าโดยปรกติคุณหนูรองไม่ได้ออกไปไหนจึงไม่มีทางที่จะนำเอาสิ่งที่สะใภ้ใหญ่นั่วสอนมาไปหาประโยชน์อย่างแน่นอนบ้างล่ะ
บิดาของตัวเองเป็นเจ้าเมืองขั้นสี่ผิ่น มิใช่คนหาบเร่ขายของตามถนนอะไรสักหน่อย
นางกล่าวเช่นนี้ มิเท่ากับลอบเปรียบเปรยว่านางมีพื้นเพต่ำต้อยหรอกหรือ
ยังพูดว่าให้ตนสอนนางอย่างวางใจอีก
หากนางทำไม่เป็น มิเท่ากับว่าเป็นเพราะตนไม่ยอมสอนนางหรอกหรือ
อู๋เป่าจางหันไปมองโจวเสาจิ่นอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นยืนยิ้มตาหยีอยู่ตรงนั้น ดูเงียบสงบดุจพระจันทร์เสี้ยวดวงหนึ่ง ดูราวกับว่าฟังความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของชุนหว่านไม่ออก
นางรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกอย่างช่วยไม่ได้
โจวเสาจิ่นผู้นี้ ช่างเป็นคนงามที่ไร้ความสามารถผู้หนึ่งจริงๆ!
หากมิใช่เพราะมีโจวชูจิ่นคอยปกป้องนาง เกรงว่านางคงถูกผู้อื่นกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแล้วกระมัง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกปวดแปลบในใจยิ่งนัก
ถึงแม้พี่ชายอย่างอู๋ไท่เฉิงจะดีกับนาง คอยปกป้องนางทุกอย่าง แต่วิสัยทัศน์คับแคบเกินไป อีกทั้งยังไม่มีความอดทน มักจะสร้างปัญหาอยู่บ่อยๆ ต้องให้นางช่วยจัดการสะสางปัญหาให้ด้วยซ้ำ
บิดาของโจวเสาจิ่นผู้นี้ก็เป็นเพียงเจ้าเมืองขั้นสี่ผิ่นผู้หนึ่ง มารดาแท้ๆ เสียชีวิตและบิดาแต่งงานใหม่เหมือนกัน แม้แต่พี่ชายสักคนก็ไม่มี ทว่ากลับมีชีวิตที่ดีกว่านางมาก ติดตามพี่สาวร่วมบิดามาอาศัยอยู่ใต้ชายคาของยายที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเลยแม้แต่น้อย แต่บิดากลับเป็นห่วงพวกนางสองพี่น้องอยู่ตลอด คอยส่งสิ่งของมาให้บ่อยๆ พี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนในบ้านยังปฏิบัติกับนางเสมือนนางเป็นอัญมณีล้ำค่า กลัวว่านางจะได้รับความลำบากต่างๆ นานา ได้ยินมาว่าแม้แต่เฉิงลู่ก็ยังเคยสนใจนางด้วย…คนเรานี้ต่อให้มีเงื่อนไขชีวิตคล้ายกันแต่ชะตาชีวิตก็ไม่เหมือนกัน
ชะตาชีวิตของโจวเสาจิ่นดีขนาดนี้
นางกล่าวกับชุนหว่านยิ้มๆ อย่างอดไม่ได้ว่า “เพียงของกินเล่นเท่านั้น! หากข้าไร้น้ำใจ คงไม่ตอบตกลงสอนเจ้าหรอก!”
ชุนหว่านรีบกล่าว “สะใภ้ใหญ่นั่วอย่าตำหนิเลยเจ้าค่ะ! เป็นบ่าวที่ไม่รู้จักพูด” กล่าวจบ ก็ยอบกายถอนสายบัวให้นางสามครั้ง
อู๋เป่าจางเองก็ไม่เหมาะที่จะคิดบัญชีกับนาง เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดภาพจำว่านางเป็นคนจิตใจคับแคบในสายตาของผู้ใหญ่ จึงพูดคุยและหัวเราะกับชุนหว่านไปอีกสองสามประโยค นัดแนะเวลาเรียนทำขนมแป้งข้าวนึ่งกันเรียบร้อยแล้วก็กล่าวขอตัวลา
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “อากาศช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงนี้ร้อนยิ่งนัก ทำขนมแป้งข้าวนึ่งมากขนาดนั้นเกรงว่าจะทิ้งเอาไว้จนเน่าเสียเปล่าๆ หากเจ้าชอบกินจริงๆ บอกสื่อมามาคนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักคำ ไปบอกให้โรงครัวที่เรือนชั้นนอกทำให้เจ้าก็ได้แล้ว อย่างไรเสียสะใภ้ใหญ่นั่วก็เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า!”
จวนสามคิดจะให้โรงครัวที่เรือนชั้นนอกทำอะไรให้นิดๆ หน่อยๆ ยังต้องพูดขอร้องดีๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ยัดเงินให้ด้วยถึงจะได้ จวนสี่กับจวนห้าไม่เข้าใกล้สิ่งนี้ที่หาเรื่องอับอายให้ตัวเอง ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงได้กล่าวเช่นนี้
โจวเสาจิ่นทำเพียงแสร้งกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “สิบจินนั้นเป็นจำนวนมากหรือเจ้าคะ ตกลงว่าสิบจินนั้นเป็นจำนวนเท่าไรกันแน่หรือเจ้าคะ”
ชาติก่อนตอนที่นางเพิ่งแต่งเข้าตระกูลหลินไปนั้น ด้วยไม่รู้ว่าข้าวสารหนึ่งจินมีจำนวนเท่าไร เคยทำเรื่องน่าขบขันด้วย ต่อมาเมื่อนางเสนอให้มู่อี๋เหนียงเป็นคนดูแลงานบ้าน ฮูหยินผู้เฒ่าหลินถึงได้ไม่ดึงดันอีกต่อไป คาดว่าคงคิดเหมือนกันว่านางไม่เหมาะสมที่จะเป็นนายหญิงของบ้าน ถึงได้หยุดคัดค้านกระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็ตะลึงงัน จากนั้นหัวเราะดังลั่นออกมา ชี้ไปที่นางแต่เอ่ยกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “ข้าว่าเจ้าคงต้องใช้เวลาสั่งสอนนางอีกสักหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นเมื่อนางออกเรือนไปแล้วเกรงว่าจะถูกพวกพ่อบ้านในบ้านเชิดเป็นหุ่นเชิดเอาได้”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนขานรับคำ สีหน้ามีความขมขื่นสายหนึ่งพาดผ่าน
ก่อนหน้านี้มิใช่ว่านางไม่คิดจะสอน แต่ว่าหนึ่งเป็นเพราะธุระเรื่องงานแต่งของเก้าเกอเอ๋อร์มีเยอะ จึงยุ่งมาก และสองเป็นเพราะคิดว่าโจวเสาจิ่นจะมาเป็นบุตรสะใภ้คนรองของนาง อีกทั้งยังมีหญิงสาวจากตระกูลเหอรับมืออยู่เบื้องหน้า การคำนวณเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านของตัวเองเหล่านั้น ต่อไปตนค่อยๆ สอนโจวเสาจิ่นไปช้าๆ ก็ได้…แต่ใครจะรู้ว่าแผนการกลับไม่แน่ไม่นอนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้!
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากวนถามถึงเรื่องการเตรียมงานแต่งงานของเฉิงอี้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้วขึ้นมา จึงลืมเรื่องนี้ไปเสีย เรื่องทำขนมแป้งข้าวนึ่งสิบจินจึงตกไปอยู่บนศีรษะของอู๋เป่าจางด้วยประการฉะนี้
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่ลืม
เมื่อกลับถึงห้องนางไล่คนข้างกายอื่นออกไปแล้วกระซิบกล่าวกับชุนหว่านเป็นการส่วนตัวว่า “…อยากเป็นจุดสนใจก็เป็นจุดสนใจไป แต่นางกลับชอบเหยียบผู้อื่นขึ้นไปเพื่อให้ตัวเองได้เป็นที่สนใจ ข้ากับนางไม่ได้มีเรื่องขุ่นเคืองหรือเกลียดชังกัน แล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องแข่งขันกันด้วย เรื่องอะไรจะยอมให้นางมาใช้ข้าเป็นหินให้นางเหยียบด้วยเล่า ครั้งนี้เมื่อเจ้าไปถึงแล้วต้องคอยระวังสอดส่องให้ดี จับตาดูว่านางโม่แป้งสิบจินนั้นด้วยตัวเองหรือไม่ หากนางเล่นตุกติก เจ้าก็กล่าวย้ำเตือนนาง บอกว่าจะกลับมาบอกข้า”
นับตั้งแต่ที่โจวเสาจิ่นรู้ว่าอู๋เป่าจางกับเฉิงลู่ร่วมมือกันมานานแล้ว ก็สงสัยว่าชาติก่อนสองคนนี้ก็คงจะร่วมมือกันมานานโดยที่ตนไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ความทุกข์ยากลำบากที่เคยได้รับในชาติก่อนผุดขึ้นมาในหัวของนางไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางจะปฏิบัติกับอู๋เป่าจางอย่างสุขสงบได้
แน่นอนว่าอู๋เป่าจางไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวโจวเสาจิ่นในชาติก่อน
แต่ชาตินี้นางย้ายไปอยู่ที่เรือนหานปี้ซานแล้ว อู๋เป่าจางจึงไม่หวาดกลัวนางไม่ได้
ชุนหว่านถึงได้เข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
ที่แท้สะใภ้ใหญ่นั่วกับคุณหนูรองมีความขุ่นแค้นกันมาตั้งแต่ที่ยังไม่ออกเรือนแล้ว ไม่แปลกที่ครั้งนี้คุณหนูรองจะให้นางไปเรียนทำขนมแป้งข้าวนึ่งกับสะใภ้ใหญ่นั่ว ก็เพราะต้องการสั่งสอนสะใภ้ใหญ่นั่วนี่เอง
นางกล่าวรับปากอย่างแข็งขันว่า “คุณหนูรอง ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไรแล้วเจ้าค่ะ! สรุปก็คือ หากสะใภ้ใหญ่นั่วมาโอ้อวดตัวเองต่อหน้าท่านเช่นนี้อีก พวกเราก็จะทำให้นางต้องกินผลไม้รสขมที่นางเป็นคนหว่านด้วยตัวเองโดยที่บ่นไม่ได้แม้แต่คำเดียวเลยเจ้าค่ะ”
ชุนหว่านช่างไม่เสียแรงที่เป็นสาวใช้ใหญ่คนสนิทของนาง!
โจวเสาจิ่นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มตาหยี ให้นางไปหยิบเงินจากหีบของตัวเองมาสิบเหลี่ยง กล่าวขึ้นว่า “มีเงินก็สั่งให้ผีโยกหินโม่แป้งได้ เจ้าเอาไปติดสินบนคนข้างกายของสะใภ้ใหญ่นั่ว”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ!” ชุนหว่านรับเงินไป
โจวเสาจิ่นบอกนางอีกว่า “อู๋เป่าจางผู้นี้เป็นคนเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก พรุ่งนี้เช้าเจ้าจงนำของขวัญไปคารวะฮูหยินใหญ่เวิ่นตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าต้องการขอบคุณที่สะใภ้ใหญ่นั่วจะสอนเจ้าทำขนมแป้งข้าวนึ่ง ทำให้เรื่องนี้เป็นที่รู้โดยทั่วกัน ให้สะใภ้ใหญ่นั่วรู้ว่านางไม่มีทางหลบเลี่ยงได้”
ชุนหว่านทำเรื่องพวกนี้ได้ดีกว่าโจวเสาจิ่นเสียอีก เสนอความคิดให้นางว่า “เนื่องจากบ่าวนั้นต้อยต่ำ ไม่สู้เชิญฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพาข้าไปดีกว่า ด้วยนิสัยของฮูหยินใหญ่เวิ่นแล้ว หากมีเรื่องที่อาจจะตกเป็นที่สนใจเช่นนี้ นางจะต้องจับตามองสะใภ้ใหญ่นั่วเอาไว้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ความคิดของเจ้าดี!” โจวเสาจิ่นกล่าว “แต่ข้าไม่อยากดึงพวกผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เจ้าว่า แอบไปเชิญให้ซางมามาไปด้วยเป็นอย่างไร”
“เช่นนั้นไม่สู้ให้ซางมามาไปบอกสื่อมามาสักคำจะดีกว่าเจ้าค่ะ” ชุนหว่านกล่าว
ทั้งสองคนกระซิบกระซาบอยู่ภายในห้องกว่าครึ่งค่อนวัน ชุนหว่านเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว ต้องการให้คนออกไปซื้อของขวัญ ทั้งสองคนถึงได้จบบทสนทนาลง คนหนึ่งไปที่เรือนชั้นนอก ส่วนอีกคนหนึ่งเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องอย่างเบิกบาน
ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ก็ต้องให้อู๋เป่าจางได้เจอดีสักครั้งหนึ่ง!
โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็รู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างมาก อยากจะหาใครสักคนมาพูดคุย เพื่อแบ่งปันความยินดีของตัวเองสักหน่อยหนึ่ง
นางนึกถึงเฉิงฉือขึ้นมาในทันใด!
ตนไม่ได้เจอท่านน้าฉือมาหลายวันแล้ว
นางยู่ปากยืนลังเลอยู่กลางห้องกว่าครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ห้ามเท้าของตัวเองไม่ได้ เดินไปที่เรือนหลีอินจนได้
***
เฉิงฉือกำลังคำนวณบัญชีอยู่ เงยหน้าขึ้นมาเห็นโจวเสาจิ่นยื่นศีรษะเข้ามาครึ่งหัว
เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้
เด็กน้อยผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อไรกัน มานานเท่าไรแล้ว แล้วเหตุใดถึงไม่เข้ามา
เขานึกถึงก่อนหน้านี้ตอนที่เขากับเว่ยตงถิงและคนอื่นๆ กำลังคุยธุระกันอยู่แล้วนางพุ่งตัวเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว…แล้วก็นึกถึงนิสัยที่คล้ายลูกกระต่ายของโจวเสาจิ่น…หรือว่าช่วงที่ผ่านมาตนเย็นชากับนางก็เลยทำให้นางตกใจกลัวไปแล้ว?
สีหน้าของเฉิงฉือผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว หันไปกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าคงมิได้ไปมีเรื่องอะไรมาหรอกกระมัง”
โจวเสาจิ่นเห็นเขาปฏิบัติกับนางอย่างใจดีและอ่อนโยนอย่างที่เคยเป็นมา นึกถึงคำพูดของซางมามาที่เพิ่งพูดกับนางเมื่อครู่ว่า คนผู้นี้ไหนเลยจะมีความสุขได้ทุกวัน หรือใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มได้ทุกเวลากันเจ้าคะ หลายวันก่อนนายท่านสี่ยุ่งอยู่กับการคำนวณบัญชีกับตระกูลหลี่จนไม่ได้หลับไม่ได้นอน บัญชีนั้นหากคำนวณผิดไปเล็กน้อย จะมิใช่แค่จำนวนหลายสิบเหลี่ยงหรือหลายร้อยเหลี่ยง แต่เป็นจำนวนถึงหลายพันเหลี่ยง หลายหมื่นเหลี่ยงเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้นายท่านสี่ไหนเลยจะมีอารมณ์มาแย้มยิ้มกับผู้ใดได้ นั้นแล้ว ความกล้าของนางก็เพิ่มมากขึ้น เม้มปากยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไป
เฉิงฉือวางสมุดบัญชีในมือลง พยายามให้ตัวเองดูอบอุ่นมากยิ่งขึ้น กล่าวขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
โจวเสาจิ่นจึงปีติยินดีอย่างลิงโลดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เล่าเรื่องที่อู๋เป่าจางมาประจบประแจงฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างไรบ้าง และตัวเองเตรียมจะเอาคืนอู๋เป่าจางอย่างไรบ้างให้เฉิงฉือฟัง
เฉิงฉือเห็นความภาคภูมิใจฉายอยู่บนสีหน้าของนางหลายส่วน และทั้งร่างยังดูมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน จึงรู้สึกยินดีตามนางไปด้วย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นโบกมือ กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ข้าคนเดียวก็จัดการได้แล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือหัวเราะฮ่า
แต่เมื่อโจวเสาจิ่นนึกถึงความเก่งกาจของเฉิงฉือ ก็รู้สึกลังเลใจขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือมีวิธีที่ดีกว่านี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
…………………………………………………………..