ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 350 ราคาที่ต้องจ่าย
“ไม่ใช่!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองเฉิงสวี่อย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ข้ามิได้บอกให้เจ้าไปขอร้องใต้เท้าโจว ข้ากำลังบอกให้เจ้าใช้ชีวิตต่อจากนี้กับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นให้ดีต่างหาก!”
“ท่านย่า!” เฉิงสวี่ตะโกนออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอีกว่า “ถ้าหากตระกูลเฉิงกับตระกูลหมิ่นสองตระกูลยังมิได้ส่งของหมั้นให้กัน ข้าก็อาจจะสนับสนุนให้เจ้าไปหาใต้เท้าโจว แต่ตอนนี้งานแต่งของเจ้ากับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การที่เจ้าจะถอนหมั้น เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมาบ้างหรือไม่”
เฉิงสวี่อดถามเสียงค่อยไม่ได้ว่า “มิใช่ว่ายังมิได้วางของหมั้นชุดเล็กเลยมิใช่หรือขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ายกยิ้มขึ้นมา พลางกล่าวว่า “ใช่ ยังไม่ได้วางของหมั้นชุดเล็ก แต่พวกเจ้าได้เทียบดวงชะตาและส่งของหมั้นไปให้ฝ่ายเจ้าสาวแล้ว ตามหลักแล้ว หากว่าตอนนี้เจ้าถูกคนทำร้ายจนเสียชีวิต หากคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นไม่แต่งงานกับป้ายวิญญาณของเจ้าแล้วครองตัวเป็นหม้ายอยู่ในตระกูลเฉิง ก็ต้องให้บิดาและพี่น้องออกหน้ามาหารือกับตระกูลเฉิงของพวกเรา ให้คืนทะเบียนสมรสแก่คุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่น เพื่อเปิดโอกาสให้คุณหนูใหญ่หมิ่นได้คุยเรื่องแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่ถ้าหากตระกูลเฉิงของพวกเราไม่ยินยอม คุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นก็มิอาจออกเรือนได้ ตอนนี้เจ้ารู้แล้ว ยังอยากจะไปหาใต้เท้าโจวอยู่อีกหรือไม่”
ดวงตาของเฉิงสวี่ฉายแววละอาย แม้มิได้เอ่ยตอบกลับไป แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็เผยแววดื้อรั้นออกมาหลายส่วน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้ว่าเขายังไม่ยอมตัดใจ ก็ทอดถอนใจ พลางกล่าวว่า “หากเจ้าต้องการถอนหมั้นให้ได้ ก็ทำได้…”
ดวงตาของเฉิงสวี่เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ของตระกูลหมิ่นดำรงตำแหน่งเลขานุการในสำนักกิจการชายแดนมาหกปีแล้ว ปรารถนาจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้ช่วยของสำนักกิจการชายแดน ทว่าในบรรดาญาติพี่น้องไม่กี่คนในตระกูลของพวกเราที่เป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักนั้น ปู่รองของเจ้าที่แม้แต่ตำแหน่งจี้จิ่วก็ยังลาออก ก็คงไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่อื่น ส่วนอารองของเจ้าเหตุเพราะพ่อของเจ้า อาจจะถูกโยกย้ายไปต่างเมืองก็เป็นได้ ถ้าหากถูกย้ายไปต่างเมือง อย่างน้อยก็ต้องวางแผนให้ได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองที่มีป้อมปราการสักแห่งถึงจะถูก อารองหยวนของเจ้าเองก็เป็นผู้ที่พยายามสร้างผลงานอีกคนหนึ่ง มีวุฒิเป็นจิ้นซื่อเหมือนกัน ตอนนี้เป็นนายอำเภอคนหนึ่งแล้ว ตามความคิดเห็นของปู่รองของเจ้า ทางที่ดีควรวางแผนให้อารองของเจ้าเป็นผู้ว่าราชการเมืองเจ้อเจียงหรือไม่ก็ฝูเจี้ยน เพราะเมืองแรกจะได้ปกครองเมืองที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในแผ่นดิน ส่วนเมืองที่สองนั้นถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากองค์ฮ่องเต้และราชสำนัก แต่กลับกระทำการใดๆ ได้สะดวกยิ่ง หากว่าอารองของเจ้าได้ย้ายไปเจ้อเจียง เช่นนั้นก็ต้องหาทางให้อารองหยวนของเจ้าย้ายไปหวาถิงหรือซงเจียง แต่ถ้าหากอารองของเจ้าไปฝูเจี้ยน ก็โยกย้ายอารองหยวนของเจ้าไปโจวซานหรือหนิงโป เช่นนี้ พ่อของเจ้าจะมีอารองของเจ้าเป็นกำลังเสริม ส่วนอารองของเจ้าก็จะมีอารองหยวนของเจ้าคอยเกื้อหนุนซึ่งกันและกันอีกทอดหนึ่ง ยามกระทำสิ่งใดก็จะทำได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น…
…รออีกสักสองสามปี หลังจากที่เจ้าสอบผ่านได้วุฒิจิ้นซื่อแล้ว อารองของเจ้าก็จะมีประวัติการทำงานต่างถิ่น กรมขุนนางก็มิอาจใช้เรื่องที่พ่อของเจ้าเข้าสู่ราชสำนักมาเป็นข้ออ้าง ไม่ว่าอย่างไรอารองของเจ้าก็น่าจะได้เป็นหนึ่งในเสนาบดีทั้งเก้า…
…จากนั้นก็โยกย้ายอารองหยวนของเจ้าไปเป็นเจ้าเมืองในพื้นที่เช่นหูก่วงหรือเต๋อโจว ภายหลังเมื่อเจ้ากลายเป็นขุนนางคนหนึ่งในหกกรม สถานการณ์นี้ก็จะค่อยๆ คลี่คลายลงแล้ว…
…ความจริงข้อนี้พวกเราต่างเข้าใจดี คนอื่นก็เข้าใจเช่นกัน…
…นายท่านห้าของตระกูลหมิ่นอยู่ในสำนักฮั่นหลินมาสิบกว่าปีแล้ว เป็นฉวนหลู[1] ของปีนั้น อีกทั้งคุณสมบัติของเขายังเหนือกว่าอารองของเจ้า ในตอนนี้ตระกูลหมิ่นมีหมิ่นเจี้ยนสิงเป็นจ้วงหยวนคนหนึ่งที่ดำรงตำแหน่งเปียนซิว[2] ในสำนักฮั่นหลิน การที่นายท่านห้าของตระกูลหมิ่นรั้งอยู่ในสำนักฮั่นหลินต่อไปจึงไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว ตอนนี้เขาจึงเล็งตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองเจ้อเจียง…
…หากว่าเจ้าถอนหมั้นจากตระกูลหมิ่นโดยไร้สาเหตุเช่นนี้ แม้ตระกูลหมิ่นจะยินยอม แต่พวกเขาจะต้องขอให้พวกเราช่วยให้นายท่านห้าตระกูลหมิ่นได้รับตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองเจ้อเจียงเป็นแน่…
…ถึงตอนนั้นหากว่าอารองของเจ้าไม่ได้รับตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองฝูเจี้ยน พ่อของเจ้าที่อยู่ในราชสำนักก็จะโดดเดี่ยวยิ่งนัก…
…นอกจากนี้ด้วยการสนับสนุนจากตระกูลเฉิงและตระกูลหยวน ตระกูลหมิ่นจะได้รับตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองเจ้อเจียงอย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ไม่ต้องมากระวนกระวายแต่อย่างใด…
…ในอีกไม่กี่ปี หมิ่นเจี้ยนสิงก็คงถูกปล่อยตัวออกมาจากสำนักฮั่นหลิน อย่างต่ำก็คงได้รับตำแหน่งอยู่ในหกกรม ส่วนนายท่านห้าตระกูลหมิ่นก็จะมีประวัติการทำงานอยู่ต่างถิ่น กลับเมืองหลวงมาแย่งชิงตำแหน่งเสนาบดีทั้งเก้าได้…
…ตระกูลนี้ล้มหายตายจากตระกูลโน้นก็แข็งแกร่งขึ้น ถึงเวลานั้นเกรงว่าตระกูลเฉิงของพวกเราคงจะถูกตระกูลหมิ่นกดข่มเอาไว้เสียแล้ว…
…เจียซ่าน เจ้ายังต้องการจะถอนหมั้นตระกูลหมิ่นอยู่อีกหรือไม่”
นัยน์ตาของเฉิงสวี่ฉายแววลังเลสายหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวต่ออีกว่า “เจ้าอาจจะโต้แย้งว่า ขุนนางใหญ่ซ่งจิ่งหรานผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นจี้เซียง[3] นั้นก็มีชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่มิใช่ว่าเขาได้เป็นถึงเจ้ากรมการคลังและที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งตะวันออกหรอกหรือ คำพูดนี้ไม่ผิด เจ้าเองก็อาจจะได้รับแต่งตั้งเข้าสู่ราชสำนักได้เหมือนกัน แต่ใต้เท้าซ่งผู้นั้นระหว่างที่เดินบนเส้นทางนี้ เคยให้บิดาหรือพี่น้องของเขาเสียสละตนเองและหลีกทางให้เขาบ้างหรือไม่ แล้วเหตุใดพ่อกับอาของเจ้าต้องเสียสละตนเองและหลีกทางให้เจ้าเพราะเรื่องส่วนตัวของเจ้าด้วยเล่า เจ้าเป็นเช่นนี้ มีค่าพอต่อบิดาผู้ให้กำเนิดเจ้าและซอยจิ่วที่เลี้ยงดูเจ้ามาหรือไม่ ต่อให้วันหนึ่งเจ้าได้เป็นราชเลขาธิการ ยามที่เจ้ากราบไหว้บรรพชนเจ้าจะทำใจสงบต่อหน้าบรรดาบรรพบุรุษเหล่านั้นที่หลับใหลอยู่ในหอบรรพชนได้อยู่หรือ ยามที่เจ้าสวมเสื้อผ้าไหมลายปักกลับบ้านเกิดจะทำใจสงบต่อหน้าบรรดาญาติพี่น้องที่ฝากความหวังไว้กับเจ้าอย่างล้นหลามเหล่านั้นได้อยู่หรือ”
หางตาของเฉิงสวี่มีน้ำตาร่วงลงมาหยดหนึ่ง
นานครู่ใหญ่กว่าเขาจะถามเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านย่า ไม่มีทางอื่นแล้วหรือขอรับ”
“ย่อมมี!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอบ “เพียงเจ้าออกจากซอยจิ่วหรูกับตระกูลเฉิงเสีย นับแต่นี้ไม่ถือว่าเป็นบุตรหลานของตระกูลเฉิงอีกต่อไป เท่านี้เจ้าก็ไปขอพบใต้เท้าโจวที่เป่าติ้งได้แล้ว…”
“ท่านย่า!” นัยน์ตาของเฉิงสวี่มีลำแสงรางๆ เปล่งออกมาอีกครั้งหนึ่ง เขาเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “แต่ใต้เท้าโจวจะตอบรับข้าหรือไม่ขอรับ”
“ไม่รู้!” ในใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเย็นเยือก ทว่าน้ำเสียงกลับอบอุ่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม “เจ้าออกไปจากตระกูลเฉิง บางทีใต้เท้าโจวอาจจะคิดว่าในเมื่อเจ้าละทิ้งผลประโยชน์ของตระกูลไปอย่างไม่ไยดีได้ หลังจากแต่งกับเสาจิ่นแล้วก็อาจจะทอดทิ้งนางไปอย่างไม่ไยดีได้ด้วยเช่นกัน…”
“ไม่ ข้าไม่มีทางทำอย่างนั้นขอรับ!” เฉิงสวี่ยืนกรานเสียงแข็ง
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่คล้อยตาม กล่าวต่อไปว่า “…แล้วไม่ยอมยกบุตรสาวให้เจ้า แต่บางทีเขาอาจจะคิดว่าเพื่อให้ได้แต่งกับเสาจิ่นแล้วเจ้ายอมละทิ้งทุกอย่าง เป็นคนที่สัตย์ซื่อกับความรู้สึกผู้หนึ่ง อาจจะยกเสาจิ่นให้เจ้าก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่เป็นการตัดสินใจของเจ้าเองทั้งสิ้น เจ้าจะต้องแบกรับผลการกระทำจากการตัดสินใจของเจ้าเอง ดังนั้นตอนที่เจ้าตัดสินใจจะถอนหมั้นจากตระกูลหมิ่นเจ้าจะต้องขบคิดให้ดี ถ้าหากออกจากตระกูลเฉิงไปแล้วไม่ได้แต่งงานกับเสาจิ่น เจ้าจะเสียใจภายหลังหรือไม่ แต่ถ้าหากไม่ออกจากตระกูลเฉิง เจ้าก็คงไม่มีทางได้แต่งกับเสาจิ่น เจ้าจะยอมได้หรือไม่…”
“ข้าไม่ยอมๆ!” เฉิงสวี่ตอบเสียงเบา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจ้องมองเฉิงสวี่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าดูเจ้าแล้ว ซ้ายก็ไม่เอา ขวาก็ไม่เอา ทั้งอยากจะเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูต่อไป และก็อยากจะแต่งกับโจวเสาจิ่นผู้งดงามดั่งใจหวังด้วย ทว่าในโลกนี้มีเรื่องที่สมบูรณ์เพียบพร้อมเช่นนั้นที่ไหนกัน ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ไปต่อสู้เพื่อตัวเอง ตอนนี้ทำตัวเองจนมาอยู่ในจุดนี้แล้วกลับไม่ยินยอมอีก…
…เจียซ่าน ความจริงแล้วนี่ก็คือคนขี้ขลาดตาขาวที่พวกเรามักจะพูดถึงกันนั้นนั่นเอง! สิ่งที่เจ้าปรารถนาเจ้าไม่กล้าไปต่อสู้ให้ได้มา ตอนที่มารู้สึกเสียใจภายหลังกลับไม่ยอมแบกรับผลที่ตามมา คนเช่นเจ้า ต่อให้วงศ์ตระกูลปูถนนทองคำให้เจ้าเส้นหนึ่ง เจ้าก็คงจะเดินไปอย่างไม่เต็มใจนัก สุดท้ายก็คงถูกคนที่จับจ้องเหล่านั้นเบียดจนตกลงมา”
เฉิงสวี่มองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างตกตะลึง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวด้วยสีหน้าสงบว่า “เจียซ่าน เจ้าพักรักษาตัวให้ดี แล้วเตรียมตัวแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นเสีย! โอกาสบางโอกาสครั้นสูญเสียไปแล้ว ก็จะสูญเสียไปตลอดกาล เจ้าเพียงต้องจดจำเอาไว้ว่า พ่อกับอาของเจ้าต่างไม่ติดค้างอะไรเจ้า ไม่ได้มีหน้าที่ต้องมาแบกรับผลการกระทำที่เกิดจากความเอาแต่ใจตัวเองของเจ้าแทนเจ้า เรื่องที่เจ้าก่อไว้ เจ้าต้องรับผิดชอบเอง อย่าลากผู้อื่นลงน้ำไปด้วย”
นัยน์ตาของเฉิงสวี่ค่อยๆ มืดมนลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหมุนกายแล้วออกจากห้องหลังฉากกั้นไป เรียกปี้อวี้กับเฝ่ยชุ่ยเข้ามาว่า “สองวันนี้พวกเจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ปรนนิบัติคุณชายใหญ่ให้ดีก็พอ รอให้บาดแผลของคุณชายใหญ่ใกล้จะหายดีแล้ว พวกเจ้าก็น่าจะได้เวลาออกเรือนแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะตกรางวัลอย่างงามให้เอง”
ทั้งสองคนยอบกายทำความเคารพพร้อมกัน พลางกล่าวว่า “มิกล้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าตกรางวัลอย่างงามให้หรอกเจ้าค่ะ นี่เป็นสิ่งที่พวกบ่าวสมควรทำอยู่แล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าแล้วไปที่ห้องหนังสือข้างๆ
โอกาสบางโอกาสครั้งสูญเสียไปแล้ว ก็จะสูญเสียไปตลอดกาล
พ่อกับอาของเจ้าต่างไม่ติดค้างอะไรเจ้า ไม่ได้มีหน้าที่ต้องมาแบกรับผลการกระทำที่เกิดจากความเอาแต่ใจตัวเองของเจ้าแทนเจ้า
บางทีใต้เท้าโจวอาจจะคิดว่าในเมื่อเจ้าละทิ้งผลประโยชน์ของตระกูลไปอย่างไม่ไยดีได้ หลังจากแต่งกับเสาจิ่นแล้วก็อาจจะทอดทิ้งนางไปอย่างไม่ไยดีได้ด้วยเช่นกัน จึงไม่ยอมยกบุตรสาวให้เจ้า!
บางทีเขาอาจจะคิดว่าเพื่อให้ได้แต่งกับเสาจิ่นเจ้ายอมละทิ้งทุกอย่าง เป็นคนที่สัตย์ซื่อกับความรู้สึกคนหนึ่ง อาจจะยกเสาจิ่นให้เจ้าก็ได้
***
ในหัวของเฉิงสวี่มีเสียงดังอึ้ออึง ถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก้องสะท้อนอยู่เป็นพักๆ
ภายในโถงนั่งเล่น อู๋เป่าจางยืนอยู่กลางห้องโถงขณะตอบคำถามของเฉิงฉือ “ข้าคิดว่าสะใภ้เก้าเพิ่งจะแต่งงานเข้ามา ประจวบกับไม่มีอะไรทำในช่วงบ่าย อีกทั้งภายในจวนมีแต่น้องสาวเจียกับคุณหนูรองตระกูลโจวเพียงสองท่านที่เป็นคุณหนู ตอนที่ข้ายังเป็นคุณหนูก็สนิทสนมกับพวกนางเหมือนกัน จึงอยากจะนัดทั้งสองคนไปนั่งเล่นกับสะใภ้เก้าด้วยกัน ถือเป็นการต้อนรับสะใภ้เก้าที่แต่งเข้าซอยจิ่วหรูไปในตัว ใครจะรู้ว่าพอเข้าโพรงหินไปกลับเจอ…” ดวงหน้าของนางแดงเถือก ท่าทางกระดากอายมากจนพูดอะไรต่อไปไม่ได้อีก
ทว่าเฉิงฉือเสมือนไม่รู้ว่านางกำลังกังวลเรื่องอะไร เอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าเห็นอะไรอย่างนั้นหรือ ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเป็นคนในตระกูล บอกมาตามตรงได้ก็ไม่เป็นไรหรอก!”
ท่าทางเหมือนต้องการซักถามให้ถึงที่สุดประหนึ่งจะทุบหม้อดินให้แตกอย่างไรอย่างนั้น
อู๋เป่าจางอดวิพากษ์อยู่ในใจไม่ได้
เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะพูดให้เฉิงสวี่เสียหายหรืออย่างไร
ทว่าตอนที่นางเห็นดวงหน้าสงบนิ่งราวกับมีแผนการอยู่ในใจของเฉิงฉือแล้ว นางก็ใจเต้นขึ้นมา
แผนการนี้เป็นเรื่องของจังหวะเวลา สถานที่และการสนับสนุนจากทุกๆ ฝ่าย เฉิงลู่มั่นใจว่าจะสำเร็จถึงเก้าในสิบส่วน ปรากฏว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขาขึ้นมา…ผู้ใดจะรู้ว่าในนั้นเกิดความผิดพลาดอะไรบ้าง
เห็นได้ชัดว่าจวนรองกับจวนสามทำเป็นพูดจาดีน่าฟัง แต่ความจริงแล้วกลับไม่อาจควบคุมสถานการณ์ในตอนนี้ได้เลย!
แม้ว่านางอยากจะเห็นโจวเสาจิ่นอับอาย แต่ก็ไม่ปรารถนาจะดึงตัวเองเข้าไปเกี่ยวพันด้วยแต่อย่างใด
“ข้าเห็นจี๋อิ๋งทุบตีคุณชายใหญ่สวี่เจ้าค่ะ!” เพียงไม่กี่ลมหายใจ อู๋เป่าจางก็ตัดสินใจเลือกจุดยืนของตนเอง กล่าวอย่างตรงไปตรงมาและสำรวมกิริยาว่า “คุณชายใหญ่สวี่พยายามต่อยกลับไปสองสามหมัด แต่ถูกจี๋อิ๋งทุบตีจนล้มลงกับพื้น ร้องโอดครวญและไม่ขยับตัว จี๋อิ๋งราวกับยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ เตะคุณชายใหญ่สวี่แรงๆ ไปอีกสองสามที ถึงจะหยุดเจ้าค่ะ”
เฉิงสือและคนอื่นๆ โวยวายขึ้นมาในทันใด
เฉิงฉือเสมือนไม่ได้ยินอะไรเลยทั้งสิ้น เอ่ยถามอู๋เป่าจางต่อว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวกับสาวใช้ข้างกายของนางคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่”
อู๋เป่าจางจำใจตอบว่า “ชุนหว่านเอาตัวบังหน้าโจวเสาจิ่น ยืนมองดูจี๋อิ๋งทุบตีคุณชายใหญ่สวี่อยู่ข้างๆ เจ้าค่ะ”
เฉิงฉือถามอีกว่า “ชุนหว่านเอาตัวบังหน้าโจวเสาจิ่น นางกางแขนสองข้างปกป้องโจวเสาจิ่น หรือว่าโอบไหล่โจวเสาจิ่น”
หากว่าโจวเสาจิ่นถูกเฉิงสวี่ล่วงเกิน ชุนหว่านคงจะกางแขนสองข้างปกป้องโจวเสาจิ่นกระมัง
อู๋เป่าจางตอบไปว่า “นางกางแขนสองข้างปกป้องโจวเสาจิ่นเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือจึงกล่าวว่า “เจ้าหลบไปอยู่ที่ห้องข้างสักครู่หนึ่งก่อน”
อู๋เป่าจางทำความเคารพ แล้วถอยออกไป
เฉิงสือคิดว่าเฉิงฉือจะซักถามฮวนสี่กับต้าซูผู้เป็นบ่าวข้างกายของเฉิงสวี่ แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงฉือกลับเรียกชุนหว่านเข้ามา จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ตามที่อู๋เป่าจางให้การให้ชุนหว่านฟังรอบหนึ่ง สุดท้ายถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าถึงกางแขนสองข้างปกป้องคุณหนูรองตระกูลโจวหรือ”
ตอนนั้นนางกับคุณหนูรองกำลังกอดกันอยู่อย่างตัวสั่น ไม่ได้กางแขนสองข้างปกป้องคุณหนูรองตระกูลโจวสักหน่อย!
ชุนหว่านค่อนข้างงุนงง
แต่เมื่อนางก็นึกถึงถ้อยคำที่ซางมามากำชับนางระหว่างที่เรียกตัวนางมาจากเรือนหานปี้ซานเมื่อครู่แล้ว นางตอบไปทันทีว่า “หมัดและเท้าไร้ดวงตา ข้ากลัวว่าระหว่างที่แม่นางจี๋อิ๋งกับคุณชายใหญ่สวี่ชกต่อยกันอยู่นั้น คุณหนูรองตระกูลโจวของพวกข้าจะโดนลูกหลงไปด้วยเจ้าค่ะ!”
………………………………………………………………….
[1] ฉวนหลู (传胪) คือ ผู้ที่สอบผ่านได้วุฒิจิ้นซื่อขั้นสองหรือสามเป็นอันดับที่หนึ่ง สำหรับผู้ที่สอบผ่านได้วุฒิจิ้นซื่อขั้นหนึ่งเป็นสามอันดับแรก จะเรียกว่า จ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวา ตามลำดับ
[2] เปียนซิว (编修) เป็นผู้เรียบเรียงและรวบรวมตำราพงศาวดารต่างๆ
[3] จี้เซียง คือ ฉายาของผู้เก่งกาจในด้านการคิดคำนวณ และกลายเป็นฉายาเรียกที่ปรึกษาที่ได้รับการยกย่องเชิดชูในราชสำนัก