ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 355 เป่าติ้ง
โจวเสาจิ่นสั่นศีรษะ โยนความคิดดังกล่าวทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ประคองพี่สาวเดินไปยังห้องข้างที่โจวชูจิ่นจัดเตรียมเอาไว้ให้นางช้าๆ
ชุนหว่านและอีกสองสามคนช่วยล้างหน้าล้างตาให้นาง
โจวชูจิ่นนั่งมองอยู่บนตั่งหลัวฮั่น กล่าวกับนางว่า “เจ้าอยู่ที่นี่เพิ่มสักสองสามวันได้หรือไม่ พวกเราพี่น้องไม่ได้นั่งพูดคุยกันดีๆ มานานแล้ว”
โจวเสาจิ่นเองก็อยากจะอยู่เจิ้นเจียงเพิ่มอีกสักสองสามวัน แต่นางรู้ดี ชาติก่อนตระกูลเลี่ยวมิได้ชื่นชอบพี่สาวของนางสักเท่าไร ถึงแม้ชาตินี้จะเปลี่ยนไปแล้ว แต่เบื้องบนพี่สาวยังมีฮูหยินผู้เฒ่า ต่ำลงมายังมีแม่สามี ยังไม่อาจเป็นนายหญิงของบ้านได้ หลายปีมานี้นางอยู่ที่ซอยจิ่วหรูถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงฉือตามใจ จึงมีอารมณ์เอาแต่ใจอยู่บ้าง ไม่อยากมองสีหน้าของคนตระกูลเลี่ยว ยิ่งไม่ต้องการทำให้พี่สาวต้องลำบากใจ มิสู้รอให้พี่สาวคลอดบุตรชายแล้วหาวิธีรบเร้าให้พี่สาวไปอยู่จิงเฉิง ถึงเวลานั้นพวกนางสองพี่น้องก็จะได้ไปเจอกันที่จิงเฉิงบ่อยๆ และได้อยู่ด้วยกันดีๆ แล้ว
“รอให้ถึงตอนที่ท่านพี่คลอดหลานชายข้าค่อยมาอยู่ด้วยหลายๆ วันดีกว่าเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ท่านพ่อยังรอข้าอยู่ที่เมืองเป่าติ้ง! ข้ากลัวว่าเขาจะรอจนร้อนใจเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นเป็นคนฉลาด เพียงคิดทบทวนก็เข้าใจความกังวลใจของน้องสาวแล้ว
นางอดไม่ได้บิดผ้าเช็ดหน้าในมือเบาๆ
รอให้วันใดที่นางได้เป็นนายหญิงของบ้านก็ดีเอง พี่น้องสองคนอยากจะอยู่ด้วยกี่วันก็ได้ ผู้ใดจะกล้าติฉินนินทา?
ถึงแม้ฝานหลิวซื่อจะไม่ได้หลักแหลมเท่าซางมามา แต่เรื่องการรับมือกับเรื่องของคนต่างๆ เหล่านี้กลับเชี่ยวชาญยิ่งนัก
เพียงนางเห็นสีหน้าของโจวชูจิ่นก็รู้ถึงความคิดของโจวชูจิ่นแล้ว รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนายิ้มๆ ว่า “คุณหนูใหญ่…มิใช่สิ ดูปากของข้าสิเจ้าคะ ควรจะเรียกว่าต้ากูไหน่ไน[1]ถึงจะถูก นายหญิงผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนล้วนให้นำของมาฝากท่านเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีเสื้อผ้าที่คุณชายใหญ่เก้ากับคุณชายรองอี้สวมใส่ตอนเป็นเด็กอีกด้วย ยังบอกมาเป็นพิเศษว่าให้ท่านเอาไปหนุนเอาไว้ใต้หมอนทุกคืน ข้าจะไปหยิบมาให้ท่านเดี๋ยวนี้ ให้ฉือเซียงช่วยเก็บเอาไว้ให้ท่านดีๆ นะเจ้าคะ”
ว่ากันว่าทำเช่นนี้แล้วจะคลอดได้บุตรชาย
โจวชูจิ่นขานรับอย่างยินดี จากนั้นก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องเสื้อผ้าเด็กที่โจวเสาจิ่นนำมาด้วย
นางเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดถึงมากมายขนาดนี้ กลางคืนเจ้าได้นอนหลับดีๆ บ้างหรือไม่”
โจวเสาจิ่นเม้มปากลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคนที่โรงตัดเย็บของซอยจิ่วหรูเป็นคนทำให้ มิใช่ฝีมือของข้าหรอกเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นรู้ดีว่าคนที่โรงตัดเย็บของซอยจิ่วหรูนั้นแม้แต่เฉิงเหมี่ยนของจวนสี่ก็ยังไปชี้นิ้วสั่งไม่ได้ จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนั้นข้ากำลังตัดชุดให้หลานชายอยู่ หวังเหนียงจื่อที่โรงตัดเย็บนำชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพอดี พอรู้ว่าข้ากำลังตัดชุดให้บุตรของท่านพี่ที่ยังไม่คลอด นางก็เอ่ยเสนอความช่วยเหลือออกมาเอง ข้าเห็นว่าฝีมือของนางนั้นเยี่ยมยอดยิ่ง จึงขานรับไป ให้ชุนหว่านนำผ้าไปให้นางเพิ่มอีกหลายพับ เดิมทีตั้งใจจะให้นางเป็นการขอบคุณ ผู้ใดจะรู้ว่านางไม่เอาเลยสักพับ ทำเป็นเสื้อผ้าให้หลานชายทั้งหมดทุกพับ ยังมอบจี้เงินลายวานรขี่หลังอาชามาให้ข้าอีกชิ้นหนึ่งด้วย บอกว่าให้เป็นของขวัญครบรอบเดือนของหลานชาย ให้ท่านมิต้องปฏิเสธ…ข้าก็เลยนำมาพร้อมกันในครั้งนี้ด้วยเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นไหนเลยจะฟังไม่ออก นี่เห็นๆ อยู่ว่าหวังเหนียงจื่อผู้นั้นคิดจะประจบน้องสาวนั่นเอง
หลังจากที่นางจากมาแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างกันแน่ เหตุใดถึงทำให้คนที่มีหน้ามีตาในโรงตัดเย็บยังเริ่มปฏิบัติกับเสาจิ่นอย่างพิเศษแล้ว
หลังจากไปพบฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินใหญ่ของตระกูลเลี่ยวแล้ว โจวเสาจิ่นปฏิเสธงานเลี้ยงต้อนรับของฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินใหญ่ของตระกูลเลี่ยวไปอย่างสุภาพ จากนั้นไปรับประทานมื้อเย็นที่ห้องรับแขกของโจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาว
หลังจากรับประทานมื้อเย็นและดื่มน้ำชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวชูจิ่นไล่คนที่รับใช้อยู่ภายในห้องออกไป ถามนางอย่างจริงจังว่า “เจ้าบอกความจริงข้ามา เหตุใดจู่ๆ ถึงจะไปเมืองเป่าติ้ง ก่อนนี้มิใช่ว่าเจ้าต้องการรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูหรอกหรือ ท่านพ่อเองก็เห็นด้วย…หรือว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัว…”
“มิใช่เจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีกับข้ายิ่งนัก ประหนึ่งเป็นย่าแท้ๆ…” เพียงแต่ว่านางตกหลุมรักท่านน้าฉือ ทุกวันจึงราวกับนั่งอยู่บนเบาะเข็มก็ไม่ปาน จึงอยู่ต่อไปไม่ได้อีก “เพียงแต่ว่าเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย วันแขวนผ้าแดงมงคลในวันที่สองหลังงานแต่งงานของพี่ชายเก้านั้น ไม่รู้ว่าผู้ใดวางยาหลอนประสาทลงในน้ำชาของพี่ชายสวี่ พี่ชายสวี่สะลึมสะลือมิได้สติ พวกข้าผ่านไปพบเข้าที่โพรงหินตรงภูเขาจำลองข้างทะเลสาบตรงนั้น เขาเข้าใจผิดคิดว่าจี๋อิ๋งเป็นข้า ต้องการลากตัวจี๋อิ๋งกลับไปที่เรือนหานปี้ซาน จี๋อิ๋งคิดว่าพี่ชายสวี่คิดจะหลู่เกียรติของนาง ระหว่างที่ขัดขืนนั้นได้ทุบตีพี่ชายสวี่ที่แขนขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงนั้นไป ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจัดให้พี่ชายสวี่พักอยู่ที่ห้องหลังฉากกั้นในห้องชั้นในของตัวเอง ข้าคิดว่าหากข้าอยู่ที่เรือนหานปี้ซานต่อไปคงไม่ค่อยดีแล้ว จึงเขียนจดหมายไปให้ท่านพ่อ อยากไปเยี่ยมท่านพ่อและน้องสาวที่เพิ่งคลอดมาใหม่ จะได้อยู่ฉลองปีใหม่ด้วยกันพอดีด้วยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นตัดสินใจแล้ว หากมีคนถามถึงเรื่องในวันนั้นขึ้นมา ก็จะตอบเช่นนี้
โจวชูจิ่นยังสับสนเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นซางมามาและผู้คุ้มกันที่เห็นได้ชัดว่ามิใช่คนของตระกูลโจวเหล่านั้นแล้ว นางคิดว่าหากน้องสาวทำให้จวนหลักไม่พอใจ จวนหลักก็คงไม่ปฏิบัติต่อน้องสาวเป็นอย่างดีเช่นนี้ นางจึงไม่ซักไซ้ไล่เลียงเรื่องพวกนี้อีก ถามถึงความเป็นอยู่ของโจวเสาจิ่นในช่วงนี้ขึ้นมา
โจวเสาจิ่นยิ้มร่าขณะพูดคุยเรื่องส่วนตัวกับพี่สาว กระทั่งตีกลองบอกเวลายามสาม ฉือเซียงเข้ามาเร่งเร้าให้โจวชูจิ่นไปพักผ่อน โจวชูจิ่นถึงได้กล่าวขึ้นว่า “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี่”
เลี่ยวเส้าถังไปเรียนที่จิงเฉิงแล้ว แต่เนื่องจากโจวเสาจิ่นเป็นแขกเดินทางมาไกล ต่อให้โจวชูจิ่นอยากจะนอนพูดคุยเรื่องส่วนตัวอยู่บนเตียงเดียวกับโจวเสาจิ่น อย่างไรก็ไม่อาจไม่จัดเตรียมห้องรับรองแขกให้โจวเสาจิ่น
ฉือเซียงขานรับคำยิ้มๆ ไปจัดเตียงนอนให้สองพี่น้องพร้อมกับชุนหว่าน
สองพี่น้องจึงพูดคุยกันอีกกว่าครู่ใหญ่ หลังจากนัดแนะว่าจะไปเจอกันที่จิงเฉิงเรียบร้อยแล้ว ก็ชวนกันหาเรื่องมาพูดคุย จนไม่รู้ว่าพากันหลับไปตั้งแต่เมื่อใด
เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น คุณหนูหลายท่านของตระกูลเลี่ยวก็ทะยอยกันมาเยี่ยมโจวเสาจิ่น
ด้วยปิ่นระย้าทองแท้ฝังทับทิมที่อยู่บนศีรษะของโจวเสาจิ่นและเสื้อเพ่ยจื่อผ้าโปร่งสีชมพูของนางตอนที่ไปพบฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเลี่ยวนั้นล้วนทำให้คุณหนูหลายท่านของตระกูลเลี่ยวลอบประหลาดใจอย่างหวั่นเกรงอยู่ในใจ ไม่กล้าใช้สายตาของสตรีจาก ‘จวนขุนนางขั้นสี่ผิ่น’ มองโจวชูจิ่นที่มีตำแหน่งเป็นสะใภ้ใหญ่อีก วันนี้เห็นโจวเสาจิ่นเพียงหวีผมขึ้นเป็นมวยธรรมดาๆ มวยหนึ่ง ทว่ากลับประดับปิ่นดอกอวี้หลันสีฟ้าเอาไว้ดอกหนึ่ง และสวมรองเท้าที่ปลายรองเท้าฝังไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัวคู่นั้น แผ่แสงนวลสงบออกมาท่ามกลางลำแสงมืดสลัวที่อยู่ภายในห้อง สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นตั้งใจให้เป็นเช่นนี้
ชาติก่อนคนของตระกูลเลี่ยวมักจะคิดอยู่ตลอดว่าชาติกำเนิดของพี่สาวไม่โดดเด่น กลัวว่าพี่สาวจะให้ความช่วยเหลือตระกูลเดิม นางมาในครั้งนี้ก็เพื่อป่าวประกาศเกียรติยศให้เด่นชัด เวลาให้รางวัลไม่เพียงให้เงินสิบเหลี่ยงบ้าง ห้าเหลี่ยงบ้างเท่านั้น เสื้อผ้าเครื่องประดับก็เลือกที่เรียบง่ายทว่าหรูหรามากที่สุดด้วย เพื่อเป็นการหนุนหลังให้พี่สาว
ฝานหลิวซื่อมิได้ล่วงรู้ถึงอะไรเลย ทว่าไม่นานซางมามาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นที่ผิดแปลกไปได้อย่างชัดเจนแล้ว
นางให้คนปล่อยข่าวหนึ่งออกไป
ยังไม่ถึงตอนเที่ยง ฮูหยินของเฉินซู่หมิงปลัดเจ้าเมืองเจิ้นเจียงและฮูหยินของเกาเย่าเจ้าเมืองเจิ้นเจียงต่างส่งเทียบมาเชิญโจวเสาจิ่นไปรับประทานอาหารที่จวน
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ตกว่าพวกนางรู้ได้อย่างไรว่าตนผ่านทางมาที่เจิ้นเจียง ยังเชิญตนไปกินข้าวอีกด้วย
แน่นอนว่านางปฏิเสธไปอย่างสุภาพ ส่งของขวัญตอบแทนไปให้สองชิ้น
ทว่าเรื่องนี้กลับแพร่กระจายไปทั่วจวนตระกูลเลี่ยว
กระทั่งตอนที่นางลุกขึ้นกล่าวอำลาในช่วงบ่ายนั้น อาสะใภ้สองสามท่าน รวมถึงพวกพี่สะใภ้และน้องสามีที่ยังไม่ออกเรือนทั้งหลายของโจวชูจิ่นต่างออกมาส่งนาง ฮูหยินผู้เฒ่าเลี่ยวผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่ส่งนางออกจากเรือนที่พักอาศัยของตนด้วยตัวเอง
โจวเสาจิ่นออกมาจากตระกูลเลี่ยวด้วยรอยยิ้ม
แต่เมื่อนางกลับขึ้นมาถึงบนเรือสำราญก็ลากซางมามาไปสอบถาม “พวกนางส่งเทียบเชิญมาให้ข้าได้อย่างไร”
โดยเฉพาะฮูหยินของเกาเย่า บิดาของนางคือชวีหยวน เป็นเจ้ากรมโยธา ที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งจิ่นเซิน และเป็นญาติกับฮูหยินผู้เฒ่าของเหลียงกั๋วกง ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่ได้ดูเป็นคนยินดีรับแขกประเภทนั้นอีกด้วย
ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่เคยเขียนจดหมายมาให้ใต้เท้าเกา ขอให้เขาช่วยดูแลท่านระหว่างที่ท่านแวะมาพักที่เจิ้นเจียงให้มากสักหน่อย ส่วนฮูหยินของใต้เท้าเฉินผู้นั้น ข้าก็ไม่ทราบว่าเป็นมาอย่างไรกันแน่เจ้าค่ะ!”
“อ้อ!” โจวเสาจิ่นรับคำเรียบๆ เสียงหนึ่ง ให้ซางมามาออกไป จากนั้นดวงหน้าก็แย้มยิ้มมีชีวิตชีวาขึ้นมา หัวเราะร่าพร้อมกับล้มตัวลงนอนบนเตียง
***
การเดินทางหลังจากนั้นราบรื่นตลอดทั้งทาง ไม่ได้พานพบกับเรื่องหรือคนอย่างกะทันหันอะไรอีก
สิบหกวันต่อมา พวกเขาก็มาถึงเทียนจิน
ผู้ช่วยส่วนตัวของโจวเจิ้นพาคนมารออยู่ที่ท่าเรือเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นผู้คุ้มกันสิบกว่าคนที่ติดตามมาด้วยแล้ว เขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก
หลี่ฉางกุ้ยรีบกล่าวอธิบายว่า “เป็นคนของตระกูลเฉิง”
ผู้ช่วยส่วนตัวถึงได้รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง หลังจากให้การต้อนรับอย่างกระตือรือร้นไปแล้วก็อดหันไปมองรถม้าที่โจวเสาจิ่นนั่งอยู่อีกสองสามครั้งไม่ได้ เดิมทีรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่เจ้านายให้มารับบุตรสาวผู้หนึ่งอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ ทว่าตอนนี้กลับเปลี่ยนท่าทีแล้ว การกระทำดูระมัดระวังมากขึ้นกว่ายามปกติอยู่หลายส่วน
นั่งรถม้าลำบากกว่านั่งเรือ โชคดีที่เพียงห้าวันพวกเขาก็มาถึงเมืองเป่าติ้งแล้ว
โจวเจิ้นไม่ได้ไปเช่าบ้านอีกหลังอยู่ด้านนอก แต่อาศัยอยู่ในที่ว่าการอำเภอ
วันนี้มิใช่วันหยุด เขายังคงว่าความอยู่บนบัลลังก์ศาล หลี่ซื่อพาสาวใช้และป้ารับใช้หนึ่งกลุ่มใหญ่มารอต้อนรับโจวเสาจิ่นอยู่ที่ปากประตูเรือนชั้นใน
เมื่อโจวเสาจิ่นมองเห็นเด็กสาวตัวน้อยหน้าตาน่ารักดุจหยกขาวแกะสลักที่ถูกคนอุ้มอยู่ด้านหลังของหลี่ซื่อผู้นั้นแล้ว ก็รู้สึกหลงรักน้องสาวต่างมารดาของตัวเองผู้นี้ในทันที
หลังจากคารวะหลี่ซื่อตามมารยาทแล้ว นางอดไม่ได้ลูบเส้นผมดำเงาของเด็กสาวตัวน้อยเบาๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่คงเป็นโย่วจิ่นน้องสาวของข้ากระมัง”
หลี่ซื่อรีบบอกให้โจวโย่วจิ่นเรียกพี่สาว
โจวโย่วจิ่นเชื่อฟังยิ่งนัก เรียก “พี่สาว” ออกมาคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงเด็ก จากนั้นฝังใบหน้าเข้ากับหน้าอกของแม่นมอย่างเขินอาย
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก
หัวใจทั้งดวงของหลี่ซื่อถึงได้วางลงมา เดินไปยังเรือนปีกตะวันออกพร้อมกับโจวเสาจิ่น เอ่ยอธิบายอย่างขออภัยว่า “ในที่ว่าการนี้คับแคบยิ่งนัก พอทราบว่าเจ้าจะมา นายท่านได้ให้คนไปสืบดูว่าด้านนอกมีบ้านดีๆ ปล่อยให้เช่าบ้างหรือไม่ เพียงแต่ว่านายท่านเป็นพ่อเมืองแม่เมืองของที่แห่งนี้ เรื่องที่ต้องตรึกตรองมีมาก รวมถึงชั่วขณะนี้ก็ยังหาสถานที่ที่เหมาะสมไม่ได้ คงต้องพักอยู่ในที่ว่าการสักสองสามวันไปก่อน รอให้หาสถานที่ที่เหมาะสมได้แล้วพวกเราก็จะย้ายไปทันที”
โจวเสาจิ่นเข้าใจว่าเป็นเพราะตนพาคนมาด้วยเยอะเกินไป หน้าแดงเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ผู้คุ้มกันเหล่านั้นเป็นคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจัดเตรียมให้ เมื่อส่งข้ามาถึงที่ก็น่าจะกลับไปแล้ว ส่วนคนรับใช้ของข้าเหล่านั้น ทุกคนเบียดเสียดกันหน่อยก็ได้แล้ว ให้ผ่านไปสักช่วงหนึ่งข้าจะส่งกลับไปที่จินหลิงสักสองสามคนก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ “ไม่มีเหตุผลอะไรให้ส่งคนรับใช้ข้างกายของคุณหนูรองกลับไปเลยแม้แต่น้อย”
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน โจวเจิ้นกลับมาถึงเรือนพักด้านหลังก่อนเวลา
โจวเสาจิ่นออกไปต้อนรับอย่างดีอกดีใจ แนะนำซางมามากับเสี่ยวถานให้บิดารู้จักเป็นพิเศษ
เนื่องจากผู้หนึ่งเป็นคนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้ อีกผู้หนึ่งเป็นคนที่เฉิงฉือมอบให้ โจวเจิ้นพูดคุยกับพวกนางอย่างให้ความสนิทสนมไปสองสามประโยค ถึงได้ให้ทั้งสองคนออกไป แล้วพาโจวเสาจิ่นไปพูดคุยกันที่ห้องหนังสืออย่างยิ้มแย้ม
หลี่ซื่อคอยกำกับให้สาวใช้และป้ารับใช้ภายในบ้านจัดเก็บห้องข้างให้โจวเสาจิ่นด้วยตัวเอง ส่วนโจวเจิ้นกับโจวเสาจิ่นนั้นพูดคุยกันอยู่ในห้องหนังสือแล้ว
“ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้เจ้าต้องมาเป่าติ้งอย่างรีบร้อนเช่นนี้” โจวเจิ้นสีหน้าเคร่งเครียด ดูขึงขังและเอาจริงเอาจัง
เรื่องบางอย่างปิดบังพี่สาวเอาไว้ได้ ทว่ากลับไม่อาจปกปิดบิดาได้ นอกจากนี้นางยังติดหนี้น้ำใจของท่านน้าฉือจำเป็นต้องให้บิดาช่วยตอบแทนให้อยู่อีก!
โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้โจวเจิ้นฟังอย่างกระสับกระส่าย
……………………………………………………………….
[1] ต้ากูไหน่ไน คำเรียกขานบุตรสาวคนโตที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว